หน้าเว็บ

อุบัติรัก


--- 10 ปี ผ่านไป ---
            ตรู๊ด... ตรู๊ด...
            "ห้องไอทีค่ะ" ท่ามกลางหลายชีวิตในห้องสี่เหลี่ยม กลับเป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่รับโทรศัพท์
            "น้องวี ขึ้นมาดูคอมพิวเตอร์ให้พี่หน่อยค่ะ พี่ปริ้นส์ไม่ออก อีกครึ่งชั่วโมงพี่ต้องใช้แล้วด้วย รีบขึ้นมาด่วนเลยนะจ๊ะ" เสียงของน้ำหวาน เลขานุการสาวของท่านประธานบริษัทดังมาตามสายอย่างร้อนรน ไม่ปล่อยให้เมธาวีได้พูด สายก็โดนตัดทิ้งซะก่อน
            จากเด็กสาวได้เปลี่ยนมาเป็นหญิงสาวผู้มาดมั่น เมธาวีเพิ่งจะเรียนจบจากสถาบันอุดมศึกษาภายในประเทศออกมาได้ประมาณเดือนหนึ่ง ก็ได้ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ของบริษัทแห่งนี้
            ระหว่างรอลิฟท์จากชั้น 1 ขึ้นมาชั้น 24 ที่เมธาวีทำงานอยู่ เธอก็เอาแต่จ้องนาฬิกาข้อมือ เพราะตอนนี้ผ่านไปได้ 5 นาทีแล้ว ลิฟต์ก็ยังคงอยู่ที่ชั้น 1 และไม่มีทีท่าจะขยับสักนิด เธอชั่งใจอยู่นานว่าจะเดินขึ้นไปชั้นที่ 30 ชั้นสำหรับผู้บริหารสูงสุด หรือจะรอให้ลิฟท์มาถึงดี เวลาก็เริ่มกระชั้นชิดเข้ามา เมธาวีจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้บันไดหนีไฟแทน
            "อีก 6 ชั้น เอาก็เอา" เพราะต้องการไปถึงชั้นที่ 30 ที่น้ำหวานอยู่ให้เร็วที่สุด เมธาวีจึงวิ่งขึ้นบันไดแต่เพิ่งผ่านไปได้แค่ 3 ชั้น ก็ต้องเปลี่ยนจากวิ่งเป็นก้าวแบบข้ามขั้น ไม่ทันไรเมธาวีก็ต้องเปลี่ยนเป็นเดินแทน
            อีกชั้นเดียวก็จะถึงแล้ว เธอก้าวขาอย่างเชื่องช้าพลางให้กำลังใจตนเองไปด้วย
            ปึ้ก!
            เมธาวีไม่ทันมองทางข้างหน้าจึงเดินชนเข้ากับใครบางคนจนหงายหลังเกือบจะตกบันได แต่ก็โชคดีที่มีมือหนึ่งคอยดึงแขนเธอไว้ไม่ให้ตกลงไป เธอจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
            "ระวังหน่อยสิคุณ ขึ้นบันไดก็หัดมองข้างหน้าบ้าง" เสียงทุ้มตำหนิเมธาวีอย่างไม่ไว้หน้า
            "คุณ..." เมธาวีตั้งใจจะตอกกลับซะหน่อย คนเดินขึ้นบันไดมาเหนื่อยๆ แค่มองเห็นขั้นบันไดเป็นขั้นไม่ตาลายก็ดีเท่าไหร่แล้ว กล่าวหาว่าเธอไม่มองข้างหน้าเขาก็ไม่มองเหมือนกันแหละ ถ้ามองก็ต้องหลบเธอได้สิ
            ว่าแต่เธอตัวเองก็เหมือนกันล่ะน่า...ไม่มองทาง
            ทว่า...พอได้มองเห็นหน้าชายหนุ่มที่ช่วยเธอไว้ได้ชัดๆ เมธาวีก็ถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวคร้ามแดด จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้า ดวงตาที่ถึงจะดูดุไปหน่อยแต่กลับยิ่งมีเสน่ห์ อืมม... หล่อชะมัด
            "นี่คุณ ผมจะปล่อยมือแล้วนะ ยืนดีๆ หน่อยสิ" ชายหนุ่มมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายอย่างยิ่ง แต่ก็ยังไม่วายจะเตือนหญิงสาวตรงหน้าเพราะเธอยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบบันได
            เมธาวีดึงสติกลับมาก็เห็นว่าครึ่งฝ่าเท้าของตัวเองกำลังเหยียบบันไดอีกครึ่งเหยียบความว่างเปล่า เธอจึงรีบเปลี่ยนมายืนให้มั่นคงและเกาะราวบันไดไปด้วย
            เมื่อเห็นว่าเธอยืนมั่นคงดีแล้ว ชายหนุ่มก็ปล่อยมือ แล้วเดินลงบันไดไปอย่างเร่งรีบไม่สนใจเธออีก
            'อะไรของเขาเนี่ย' เมธาวีคิดในใจ แต่ก็ยังไม่วายสงสัย ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่ตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาแล้ว เมื่อคิดได้เมธาวีก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไป

            "พี่น้ำหวานขอโทษนะคะที่ช้า"
            "ไม่เป็นไรน้องวี ยังไงก็รีบหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะมีประชุมแล้ว เอกสารยังไม่ได้ปริ้นออกมาเลยสักแผ่น" เลขานุการสาวกล่าวอย่างเร่งรีบ
            เมธาวีไม่ทันได้หาสาเหตุ น้ำหวานก็บอกขึ้นมาก่อนว่า
            “กระดาษมันติดน้องวี พี่เอาออกไม่เป็น”
            “ค่ะ”
            เครื่องปริ้นที่น้ำหวานใช้อยู่ไม่ใช้เครื่องปริ้นใหญ่สำหรับสำนักงาน แต่เป็นขนาดเล็กที่เหมาะสำหรับใช้งานส่วนบุคคล เมธาวีไม่เคยจับเครื่องปริ้นตัวนี้มาก่อน เธอจึงลองมองหาจุดที่คิดว่ามันน่าจะเปิดออก
            เธอลองเปิดฝาด้านหลังปริ้นเตอร์ ซึ่งก็พบว่ามีกระดาษติดอยู่จริงๆ เมธาวีจึงดึงกระดาษออก แต่เครื่องก็ยังแจ้งว่ายังมีกระดาษติดอยู่ข้างใน
            เธอลองเปิดฝาหน้าและดึงถาดหมึกออกดู ...ก็ไม่รู้หรอกนะว่าต้องดึงยังไง แต่สุดท้ายก็หลุดติดมือเธอออกมาอยู่ดี แล้วพอส่องเข้าไปดูข้างในปริ้นเตอร์ เธอก็เห็นกระดาษสีขาวๆ คาอยู่ในเครื่องจริงๆ เธอจึงเอามือล้วงเข้าไปแล้วใช้นิ้วคีบแผ่นกระดาษออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีกระดาษอยู่ในเครื่องอีกเธอก็จัดการสอดถาดหมึกปริ้นเตอร์เข้าที่เดิม
            "เรียบร้อยแล้วค่ะ งั้นวีไปแล้วนะคะ"
            "ขอบใจนะน้องวี เกือบไม่ทันประชุมซะแล้วสิ" น้ำหวานพูดออกมาอย่างโล่งอก ถ้าเอกสารเสร็จไม่ทันเธอต้องโดนตำหนิแน่ๆ
            เมธาวีรอจนเลขานุการสาวปริ้นเอกสารครบทุกแผ่นแล้วค่อยเดินไปที่ลิฟต์เพื่อจะกลับไปที่ชั้น 24 ที่เธอทำงานอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าลิฟต์ยังอยู่ที่ชั้น 1 ไม่เขยื้อนไปไหน เธอจึงตัดสินใจเดินลงบันไดอีกรอบ
            'คงไม่เจอใครที่บันไดอีกนะ' เมธาวีเดินลงบันได อย่างสบายๆ เพราะไม่ต้องรีบและเหนื่อยอย่างตอนขาขึ้น แต่แล้วเธอกลับก้าวพลาดลื่นตกบันได ขณะที่กำลังจะหล่น ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาพอดี ทำให้เมธาวีหล่นทับใส่ผู้ชายคนนั้นเข้าเต็มแรง
            "โอ้ย!"
            'เสียงคุ้นๆ อย่าบอกนะว่า...' เมธาวีเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้โชคร้าย
            "เฮ้ย คุณอีกแล้ว ตายจริง เจ็บไหมเนี่ย ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ" เมธาวีขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เพราะทำให้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเดือดร้อนเป็นครั้งที่สองแล้ว
            "ผมไม่เป็นไร แต่คุณลุกออกจากตัวผมก่อนเถอะ  ...อ้าว คุณนั่นเอง" เมื่อมองหญิงสาวตรงหน้าชัดๆ ก็เห็นว่าเป็นคนเดียวกับคนที่เขาช่วยไว้เมื่อสักครู่ "เดินลงบันไดหัดมองข้างหน้าซะบ้างสิคุณ"
            "ฉันขอโทษนะ แล้วคุณเป็นอะไรมากมั้ย เจ็บตรงไหนรึเปล่า" เมธาวีถามอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้หล่นมาจากที่สูงมากนัก แต่ก็แรงพอที่จะทำให้คนตรงหน้าเจ็บได้ และคราวนี้...เธอผิดเต็มประตู
            ชายหนุ่มส่ายหัว เขาไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แต่สีหน้านั้นแสดงอาการเหนื่อยหน่ายเต็มที
            "ผมรีบ" แล้วชายหนุ่มก็เดินขึ้นบันไดไปโดยไม่สนใจเธออีกครั้ง
            "โหยย.. คนเขาก็ขอโทษแล้วนี่นา ยังจะมาทำหน้าบึ้งใส่อีก" เมธาวีบ่นกับตัวเอง ที่จริงเธอก็ผิดอย่างที่เขาว่าแหละ แต่ก็ไม่น่าจะมาตีหน้าบึ้งใส่เธอนี่นา อุบัติเหตุไม่มีใครเขาอยากให้เกิดขึ้นหรอกน่า "เซ็งชะมัด"

            "ว้าย! คุณเมศร์ ไปฟัดกับใครที่ไหนมาคะ ทำไมเยินไปทั้งตัวแบบนี้" น้ำหวานตกใจที่เห็นเสื้อผ้าเจ้านายตนเองดูยับเยินต่างจากปกติ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ตอบ กลับเดินเข้าห้องทำงานซึ่งมีป้ายติดว่า 'ประธานกรรมการ'

            ราเมศร์  อัศวเทวา ชายหนุ่มที่สาวๆ ค่อนเมืองต่างลงความเห็นว่าน่าหลงใหลที่สุด นอกจากรูปทรัพย์ที่โดดเด่นแล้ว อำนาจเงินที่เขามีอยู่ในมือ ก็น่าหลงใหลไม่แพ้กัน จึงไม่น่าแปลกใจที่มักจะมีหญิงสาวมากมายมาเสนอตัวให้ แต่ก็ใช่ว่าชายหนุ่มจะไม่สนใจ เขาสนใจเกือบทุกคนที่เข้าหา แต่ก็ทิ้งทุกคนเมื่อเขาเบื่อ
            ดูจากเหตุบังเอิญที่ต้องพบหล่อนในเวลาใกล้เคียงกันแล้ว คงไม่พ้นพวกผู้หญิงทั่วไปที่เข้ามาใกล้ชิดเขา แต่น่าเสียดายหล่อนเข้ามาผิดเวลาไปหน่อย ดันเข้ามาตอนที่เขากำลังยุ่งและอารมณ์ไม่ดี ถ้าเป็นเวลาอื่น เขาก็คงเล่นกับเธอด้วยไปแล้ว ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้จะไม่ใช่ผู้หญิงที่หน้าตาสะสวยอะไรมากมาย แต่เขาก็ไม่รังเกียจอยู่แล้ว
            ราเมศร์สำรวจดูสภาพของตนเองก็พบว่าเสื้อผ้านั้นยับย่นไปหมด ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียหนักกว่าเก่าเพราะอีกไม่กี่นาทีเขาต้องเข้าห้องประชุมแล้ว
            "บ้าชิบ!" เขาต้องไปประชุมในสภาพยับเยินอย่างนี้น่ะเหรอ ยิ่งคิดยิ่งอารมณ์เสีย
           
            เสียงเพลงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเมธาวีดังขึ้น หน้าจอแสดงชื่อ อัครพล เพื่อนรักของเธอนั่นเอง
            "ว่าไงแก" เมธาวีกรอกเสียงไปตามสาย
            "วี เลิกงานแล้วเจอกันไหนดี จะได้คุยเรื่องงานกัน"
            "ร้านเดิมแล้วกันแก เลิกงานแล้วฉันจะไปทันที"
            "เร็วๆ นะแก"
            "จ้าๆ ได้ๆ" เมธาวีตัดสายทิ้งแล้วทำงานต่อจนเลิกงาน จากนั้นจึงนั่งแท็กซี่ไปยังร้านอาหารเจ้าประจำของตนกับเพื่อนทันที แต่เมื่อไปถึงเมธาวีก็เห็นเพื่อนรักนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
            อัครพลเป็นเพื่อนที่สนิทกับเธอที่สุด เธอกับอัครพลเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม จนถึงมหาวิทยาลัย อัครพลเรียนบริหารธุรกิจส่วนเธอเรียนด้านไอที ถึงแม้ทั้งสองจะเรียนอยู่กันคนละคณะแต่ก็มักจะหาเวลามาเจอกันเป็นประจำ และตอนนี้อัครพลก็กำลังวางแผนทำธุรกิจโดยมีเธอเป็นคนออกทุนให้ ในตอนแรกอัครพลคัดค้านที่จะให้เธอเป็นคนออกทุน แต่ก็ต้องยอมเพราะเธอบอกเขาไปว่า
            “ฉันรวย”
            อัครพลถึงได้ยอมสงบปากสงบคำเสียบ้าง
            "พล แกก็รู้ว่าฉันมีเงินมีมากซะด้วย แต่ฉันไม่มีหัวด้านธุรกิจ ส่วนแก..แกมีสมอง แต่ไม่มีเงิน ฉันถึงจะเป็นคนออกทุนให้แก ส่วนแกก็เป็นมันสมองให้ฉัน" ยังไม่ทันที่อัครพลจะพูดแย้ง เมธาวีก็พูดดักไว้ก่อน
            "ฉันรู้นะว่าที่ทำเนี่ย มันเสี่ยงมาก แต่ฉันเชื่อในตัวแกนะพล ฉันเชื่อว่าแกทำได้ ทำได้ดีมากด้วย" เมธาวีพูดจาหนักแน่น ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ หรือแค่คำพูดเพื่อเอาใจ แต่เธอเชื่อเช่นนั้นจริง เธอเชื่อว่าเพื่อนของเธอต้องทำได้
            เมธาวีเห็นว่าอัครพลยังมีสีหน้าไม่สบายใจเธอจึงพยายามพูดให้เขาคลายกังวล
            "เอาน่า...อย่าคิดมากเลย เงินทองมัวแต่เก็บไว้มันก็ไม่งอกเงยสิแก ดอกเบี้ยธนาคารรึก็ต่ำ สู้เอามาให้แกลงทุนเพิ่มทรัพย์สินให้ฉันในวันข้างหน้าดีกว่าเป็นไหนๆ"
            แค่คำพูดของเพื่อน เพียงเท่านี้ก็สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนให้อัครพล ทำงานอย่างหนัก เพื่อเพื่อนที่เชื่อมั่นในตัวเขา ถึงต้องทำงานถวายหัวเขาก็ยอม
            "งั้นวี แกเอาไปดูซะ" อัครพลยื่นแฟ้มเอกสารขนาดใหญ่เป็นแผนธุรกิจที่เขาเขียนขึ้นมาให้เพื่อนสาว
            "ฉันดูไม่รู้เรื่อง" เมธาวีเปิดอ่านผ่านๆ ตา เธอไม่รู้เรื่องจริงๆ ยิ่งดูยิ่งงง
            "ฉันก็รู้ ว่าแกดูไม่รู้เรื่อง แต่แกต้องหัดเอาไว้ถ้าคิดจะทำธุรกิจ"
            “เจ้าค่ะ คุณพล”
            เมธาวีและอัครพลยังคงสนทนากันถึงเรื่องงาน เรื่องทั่วไป สัพเพเหระ รวมถึงเรื่องไร้สาระ จนเวลาผ่านไปดึกดื่นค่อนคืน ทั้งสองถึงรู้สึกตัวเพราะรอบข้างผู้คนได้เริ่มทยอยกลับบ้านกลับช่องกันหมดแล้ว
            "ดึกขนาดนี้เชียว" อัครพลก้มดูนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกที "ฉันนั่งแท็กซี่ไปส่งแกแล้วกัน มันอันตราย" ทุกวันนี้สังคมมีแต่ภยันตรายรอบด้าน แล้วเขาจะละเลยปล่อยให้เมธาวีกลับแท๊กซี่เพียงคนเดียวได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ บ้านของเมธาวีก็ออกจะร่ำรวย รถราก็มีให้ใช้หลายคัน แล้วทำไมเพื่อนเขาถึงต้องนั่งแท็กซี่ไปไหนต่อไหนด้วยเล่า
            "ทำไมแกถึงไม่เอารถที่บ้านมาใช้ เป็นผู้หญิงนั่งแท็กซี่บ่อยๆ อย่างนี้อันตรายออก"
            "ฉันนั่งไม่บ่อยหรอกแก ไม่ต้องห่วง ปกติฉันก็ขึ้นรถเมล์ แต่ถ้าวันไหนรีบๆ ฉันถึงใช้บริการแท็กซี่ " เมธาวีพูดออกมาอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ยิ่งทำให้อัครพลไม่เข้าใจคนตรงหน้ายิ่งขึ้น แต่ก็คร้านจะถามออกไปให้มากความ
            ...ถ้ามันไม่เดือนร้อน เราจะไปเดือนร้อนแทนมันทำไม ..ปล่อยมันไปเหอะ

            เมธาวีกลับถึงบ้านหลังล่วงเข้าสู่วันใหม่ได้ครึ่งชั่วโมง คิดว่าทุกคนคงหลับกันแล้วแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของคนที่ไม่อยากเจอหน้าที่สุด
            "หนูวี ไปเที่ยวไหนกลับมาดึกดื่นจ๊ะ"
            "ฉันไปคุยงานกับเพื่อนมาค่ะ" เมธาวีเห็นพ่อนั่งอยู่ไม่ไกลกันจึงต้องตอบกลับแม่เลี้ยงไปอย่างเสียไม่ได้ ไม่งั้นอย่าคิดว่าเธอจะสุงสิงกับนางจิ้งจอกด้วย
            "ทานข้าวแล้วยังลูก" ธีรวุฒิถามเมธาวีอย่างห่วงใย
            "วีทานมาจากข้างนอกแล้วค่ะพ่อ ...ดึกขนาดนี้แล้วพ่อยังไม่นอนเหรอคะ"
            "พ่อรอวีน่ะลูก พ่อมีเรื่องอยากคุยด้วย” ธีรวุฒิพาเมธาวีเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ซึ่งมักจะใช้เป็นห้องทำงานเสมอ
            "มีอะไรรึเปล่าคะพ่อ"
            "พ่อแค่จะปรึกษาวีน่ะลูก พอดี...ลดาเขาอยากจะเรียนต่อ"
            "เรียนต่อเหรอค่ะ ก็ดีนี่คะ แล้วมันมีปัญหาอะไรเหรอคะ" เธอก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหน นาฏลดาน้องสาวต่างแม่ของเธอก็ออกจะเป็นคนเฉลียวฉลาด รักการเรียน แล้วมันจะมีปัญหาอะไร
            "ลดาเขาอยากไปเรียนต่อโทที่อังกฤษ พ่อก็เห็นด้วยนะที่เขาจะไปเรียนต่อที่นู่น" ถึงแม้ว่าผู้เป็นพ่อจะยังพูดไม่จบก็ตาม แต่เมธาวีก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าพ่อต้องการอะไร
            "วีเข้าใจแล้วค่ะพ่อ น้องคนเดียววีส่งเรียนได้ พ่อไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ"
            พ่อไม่มีเงินพอจะส่งเสียนาฏลดาให้เรียนต่อที่อังกฤษประเทศที่ค่าครองชีพสูงขนาดนั้น ถึงพ่อจะเป็นข้าราชการระดับสูง แต่เงินเดือนในแต่ละเดือนก็ไม่มากพอที่จะให้นาฏลดาอยู่ที่อังกฤษอย่างสบายๆ ถึงแม้จะมีเงินมรดกจากแม่ที่พ่อจะได้รับทุกปีก็ตาม แต่ก็คงจะไม่มากพอ พ่อถึงมาพูดกับเธอ เพราะมรดกจากแม่ทั้งหมดเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว
            "ขอบใจนะวี ที่วีรักน้อง" ในตอนแรกธีรวุฒิกังวลเหลือเกินว่าเมธาวีจะไม่ยอมช่วยเหลือ ถึงแม้ว่านาฏลดาจะมีศักดิ์เป็นน้องสาว แต่ก็เป็นน้องสาวต่างแม่ ถ้าเมธาวีจะไม่ช่วยเหลือใดๆ เขาก็ว่าอะไรไม่ได้ แต่พอได้ยินอย่างนี้แล้วเขาก็สบายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
            'แต่ก็แค่น้องคนเดียวนะคะพ่อ ส่วนนางจิ้งจอกน่ะ วีไม่ยุ่งด้วย' เมธาวีทำได้แค่พูดกับตัวเองเท่านั้น  ในตอนแรกเธอคิดว่านาฏลดาเป็นลูกติดแม่เลี้ยง แต่ก็มารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วนาฏลดาก็เป็นลูกสาวของพ่อคนหนึ่ง นั่นก็แสดงว่าระหว่างที่พ่อแต่งงานกับแม่ พ่อก็ยังมีความสัมพันธ์กับนางจิ้งจอกมาตลอด 
            พ่อสวมเขาให้แม่ พ่อหลอกลวงตากับยาย
            ฮึ่ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดี
            เมธาวีรู้ว่าพ่อของเธอกับอรวีแม่เลี้ยงรักกันมาก เธอสังเกตได้ เพราะอรวีคอยดูแลเอาใจใส่พ่อของเธอเหลือเกิน พ่อของเธอก็เช่นกัน แต่สำหรับเธอแล้วอรวีเปรียบได้ดั่งนางจิ้งจอกหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าพ่ออรวีจะทำตัวเป็นปกติ เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน และดูใจดี เวลาพูดจากับเธอก็แสร้งทำเป็นว่าห่วงใย  แต่พอลับหลังใครจะรู้ว่าหล่อนร้ายกาจได้เพียงไร ผิดกับนาฏลดาผู้เป็นลูกสาวเสียจริง
            นาฏลดาเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยเช่นเดียวกับอรวี แต่ผิดกันตรงที่นิสัยใจคอ นาฏลดาอ่อนโยน อ่อนหวาน มีความจริงใจให้กับทุกคนทำให้ไม่ว่าใครอยู่ใกล้เป็นต้องรักต้องชอบลดา เธอก็เช่นกัน
           
            ตอนเช้าเมธาวีกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์ เห็นนาฏลดาแต่งตัว กำลังจะออกจากบ้าน เธอจึงร้องทักไว้
            "ลดา วันนี้วันหยุดนี่ จะไปไหนเหรอ"
            "ลดากำลังจะออกไปเรียนภาษาอังกฤษน่ะ ลดาไปก่อนนะวี เดี๋ยวรถติด ลดาไม่อยากไปสาย" แล้วนาฏลดาก็รีบวิ่งขึ้นรถโดยมีลุงสมคนเป็นขับรถไปส่งที่สถาบันสอนภาษาที่หญิงสาวเรียนอยู่
            ในวันหยุดแบบนี้ธีรวุฒิผู้เป็นพ่อมักจะไปออกรอบกับเพื่อนๆ อยู่เสมอ นาฏลดาก็ออกไปเรียน ทำให้เมธาวีจำใจต้องอยู่บ้านกับแม่เลี้ยงสองคน
            "อุ๊ย วันนี้อยู่บ้านด้วยเหรอเนี่ย" อรวีเดินเข้ามาหาเมธาวีไม่ยอมพลาดโอกาสกระแนะกระแหนหญิงสาวทุกครั้งที่ทำได้ "งั้นก็ดี นี่วี มะรืนนี้ฉันจะต้องออกงานกับคุณวุฒิ ยังไงก็เตรียมเครื่องเพชรให้ฉันสักชุดด้วยล่ะ"
            "ก็ได้" เมธาวีพูดอย่างเหนื่อยหน่าย "แล้วเครื่องเพชรชุดก่อนล่ะ เมื่อไหร่ฉันจะได้คืน" คราวก่อนที่อรวีออกงานกับธีรวุฒิ อรวีได้ยืมเครื่องเพชรจากเมธาวีไป แต่ก็ยังไม่ได้คืนมาเสียที "ที่จริง...เธอก็มีเครื่องเพชรที่พ่อซื้อให้แล้วนี่ แล้วทำไมไม่เอาออกมาใช้ซะล่ะ หรือว่าชอบยืมของคนอื่น"
            ไม่มีซะหรอกที่คนอย่างเมธาวีจะยอมให้น้ำลายเน่าๆ นั่นพ่นใส่อยู่ฝ่ายเดียว
            อรวีหน้าตึงเมื่อนึกถึงเครื่องเพชรที่สามีซื้อให้ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่มันเป็นเครื่องเพชรชุดเล็กราคาไม่กี่แสนที่ใส่ออกงานไปก็ขายหน้าคนอื่นเขาเท่านั้น ทว่าอรวีกลับเลือกที่จะพูดว่า
            "ก็นั่นมันเป็นของที่พ่อเธอซื้อให้นี่นา ฉันก็ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีหน่อยสิ เพราะมันไม่เหมือนชิ้นอื่น"
            เมธาวีรู้ว่าอรวีจงใจจะกระทบเธอ ...ไม่เหมือนชิ้นอื่น? ใช่สิเพราะเครื่องเพชรที่เธอมีเป็นของที่ได้จากแม่ทั้งหมด แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่มีสักชิ้นเดียวที่พ่อจะซื้อให้แม่ มันบอกได้ถึงความรักที่พ่อมีต่ออรวี และความห่างเหินที่พ่อมีต่อแม่ได้ดีเชียวล่ะ
            "ยังไงก็เตรียมไว้ให้ฉันด้วยแล้วกัน" อรวีกล่าวตบท้ายก็จะเดินจากไป สร้างความหงุดหงิดให้เมธาวีเป็นอย่างยิ่ง

            เมธาวีรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เธอพยายามไม่ใส่ใจกับคำพูดของอรวี และพยายามหาอะไรทำให้หายหงุดหงิด แต่จนแล้วจนรอดเมธาวีก็ยังอารมณ์ไม่ดีขึ้น เธอจึงตัดสินใจโทรหาอัครพลเพื่อนคนดีคนเดียวของเธอ เพราะเขามักจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นเสมอ
            "พล กินเหล้ากัน" เมธาวีไม่พูดพร่ำทำเพลง
            "เฮ้ย.. กลางวันแสกๆ จะเมาแต่หัววันเลยเหรอวะ ไปอารมณ์เสียมาจากไหนอีกล่ะสิท่า"
            ...ชิชะ ทำเป็นรู้ดีนะแก
            "แกอยู่ไหนล่ะเนี่ย ฉันไปหาแกตอนนี้เลยดีกว่า" เมธาวีทนไม่ไหวแล้ว เธออยากจะไปหาอัครพลเสียเดี๋ยวนี้
            "ไม่ต้องเลยแก ไม่ต้องมา ฉันนั่งทำงานอยู่ ถ้าแกมาฉันก็ไม่ได้ทำงานพอดี เอาอย่างนี้ละกัน วันนี้ฉันจะไปผับ ถ้ายังไงแกก็ไปหาฉันที่นู่นเอาละกัน" ผับที่อัครพลพูดถึง เป็นผับที่เขาและเมธาวี มักจะไปกันบ่อยๆ
            "ก็ได้ๆ แล้วแต่แกก็แล้วกัน แล้วเจอกันที่ผับเลยละกัน อืม... สองทุ่มนะ" เมธาวีตอบกลับไปเสียงอ่อยๆ จำใจต้องรอจนถึงเวลานัดทั้งที่ตอนนี้เธออยากออกไปข้างนอกเต็มแก่
            ...โอ๊ย! หงุดหงิดๆ

ราตรีกาลมาเยือน แสงไฟหลากสีสันต่างแข่งขันอวดตนผสานกับเสียงเพลงและเสียงดนตรีดึงดูดผีเสื้อราตรีให้เข้าหามาร่วมสนุกสนาน
แต่ใช้ไม่ได้กับเมธาวี
หญิงสาวไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยต่อให้เสียงเพลงจะเร้าใจจนใครต่อใครก็ต้องลุกออกจากเก้าอี้มาโยกย้าย เธอได้แต่จมจ่อมอยู่กับน้ำมึนเมาสีสวยแก้วแล้วแก้วเล่าตรงหน้า
“วี” อัครพลเข้ามานั่งข้างๆ
            "แกมาสาย"
            "โทษที แต่ก็รีบมาที่สุดแล้วนะ ไงล่ะ ทะเลาะกับแม่เลี้ยงมาอีกแล้วล่ะสิท่า" เมธาวีไม่ตอบ กลับยกแก้วดื่มเรื่อยๆ
            "เบื่อนางจิ้งจอก เบื่อชะมัด"
            "ช่างเถอะ ไหนๆ แกก็มานี่แล้ว สนุกเข้าไว้ไม่ต้องไปคิดถึงนางจิ้งจอกนั่นให้รกสมอง มากิน...ไม่มีอะไรเลยนี่หว่า" นอกจากแก้วค็อกเทลของเมธาวีแล้ว ก็ปราศจากอาหารใดๆ อื่นอีก
            “ดึกขนาดนี้มานั่งตั้งนานนี่แกไม่คิดจะสั่งอะไรมากินเลยรึไง”
            “บ่น”
            “หิว!” โว้ย
            เฮ้อ...ขืนอารมณ์แม่คุณยังไม่ดีขึ้น สงสัยคงหมดค็อกเทลไปอีกหลายแก้ว แล้วก็คงหนีไม่พ้นเขาที่ต้องลำบาก เป็นคนแบกเธอกลับบ้าน
            อัครพลกวาดสายตามองไปรอบๆ วันนี้เป็นคืนก่อนวันหยุดคนที่มาเที่ยวจึงเยอะกว่าวันธรรมหลายเท่านัก ยังดีที่เมธาวีมาถึงก่อนเขาจึงมีที่ให้นั่ง ไม่เช่นนั้น ก็คงต้องตระเวนหาร้านอื่นเป็นแน่
            แต่มาก็ส่วนมา ไม่ยอมสั่งอาหารไว้บ้างเล้ย
            ระหว่างมองไปรอบๆ ร้านอัคพลก็สังเกตถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมายังโต๊ะที่ตนนั่งอยู่ มองไม่ยอมละสายตาไปไหน คนที่มองมาเป็นชายหนุ่มที่จัดได้ว่าหน้าตาดี ดูบุคลิกภาพการแต่งกายภูมิฐาน แต่เขาไม่เคยเห็นหน้าคนๆ นี้มาก่อน จึงไม่มีทางเป็นไปได้ว่าเคยรู้จักกัน เพราะฉะนั้นจึงเหลืออีกตัวเลือกหนึ่ง
            ผู้ชายคนนั้นอาจจะรู้จักกับเมธาวีเพื่อนของตน
            "เฮ้ยวี ฉันเห็นมีคนมองมาทางแก แกรู้จักรึเปล่า" อัครพลกระซิบกระซาบพร้อมกับพยักเพยิดให้เมธาวีหันไปดู
             "ไหนๆ อืม...หน้าคุ้นๆ นะเคยเจอที่ไหนนะ...อ๋อ"
            "อะไร คนรู้จักของแกเหรอ"
            "ไม่เชิงหรอก พอดีฉันเดินไปชนเขาเมื่อวันก่อน" เมธาวีพยักหน้าเชิงทักทายไปยังราเมศร์ เพราะเขามองมาทางที่เธอนั่งอยู่ แต่ราเมศร์กลับนิ่งเฉยไม่มีท่าทีตอบกลับใดๆ เธอเลยไม่สนใจหันมาคุยกับอัครพลต่อ คิดว่าเขาคงไม่ได้มองเธอแต่อาจมองอย่างอื่นที่อยู่ในทิศเดียวกันกับที่เธอนั่ง
            จนอัครพลมีสายเรียกเข้า เธอกับเขาจึงต้องยุติการสนทนาลงกลางคัน
            “เร็วๆ นะแก”
            “เออ”
            “มาก็ช้ายังปล่อยให้เพื่อนนั่งหง่าวคนเดียวอีก”
            “เออ รู้แล้ว!” ไอ้นี่บ่นจริง

            ตั้งแต่ราเมศร์เข้ามาในผับ เขาก็เห็นเมธาวีในทันที ไม่ว่าคนจะมากมายแค่ไหน แต่เขากลับสังเกตเห็นเธอได้อย่างง่ายดาย อาจเป็นเพราะเธอดูแตกต่าง ในสายตาของเขาเธอเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่บุคลิกและท่าทางไว้ตัวของเธอทำให้เธอดูโดดเด่นต่างจากผู้หญิงมากมายที่พากันยิ้มแย้มรื่นเริง ผู้ชายหลายคนก็หันมามองเธออยู่บ่อยๆ แต่เธอกลับไม่มีทีท่าสนใจใคร เอาแต่นั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียว จนมีผู้ชายคนหนึ่งมานั่งด้วยและก็เดินออกไปข้างนอก จนตอนนี้เขาเห็นเธอนั่งอยู่เพียงลำพัง
            และเพราะเธอมีทีท่าว่าจำเขาได้ เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา
            "เจอกันอีกแล้ว" ราเมศร์เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน
            "ค่ะ บังเอิญจังนะคะ เอ่อ...วันก่อนยังไงฉันก็ขอโทษอีกครั้งนะคะ" เมธาวีแสดงท่าทีนอบน้อมต่อคนเบื้องหน้า แต่ภายในใจกลับคิดสะระตะ
            'ทำไมวันนี้มาแปลก ทีคราวก่อนตอนที่ชนกันทำท่าเหมือนรังเกียจเธอซะเต็มประดา แต่คราวนี้กลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา'
            "คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ...ที่จริงวันนั้นผมก็หัวเสีย เลยทำให้พูดกับคุณแรงไป แล้ว...คุณไปทำอะไรที่ตึกนั่น"
            "ฉันทำงานอยู่ที่นั่นค่ะ"
            "ทำงาน? ที่อัศวเทวากรุ๊ป?"
            เมธาวีพยักหน้า
            ในเมื่อหล่อนทำงานที่นั่น อย่างนั้นก็ต้องเป็นลูกน้องเขา นี่ก็แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ก็ต้องรู้จักเขาซึ่งเป็นประธานกรรมการ
            "ที่จริงผมก็เข้าออกบริษัทนั้นบ่อยนะ ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณเลยล่ะ"
            “ฉันก็ไปทำงานทุกวัน ทำไมไม่เคยเห็นคุณเลยล่ะ”
            “...” ยียวนชะมัด
            “ขอโทษ ฉันลืมตัวไม่น่าพูดกับคุณอย่างนั้น” เธอเพิ่งจะสำนึกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้มีพระคุณเคยช่วยเหลือไม่ให้เธอตกบันได เธอสำนึกผิดแล้ว เลยหันมาพูดจากับเขาดีๆ แทน
            “ฉันทำงานที่นั่น แต่วันๆ นึงก็อยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์แทบไม่ได้โงหัว ไม่แปลกหรอกที่คุณไม่เจอฉัน ต่อให้คุณไปทุกวันก็ใช่ว่าจะได้เจอฉัน แล้วไม่ใช่แค่ฉันนะ คนอื่นก็เป็นเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่พวกที่มีหน้าที่เซอร์วิส ก็แทบไม่ได้ก้าวออกจากห้องเลยล่ะ”
            “ขนาดนั้น”
            “ที่สุดเลยล่ะ”
            “แล้วทำไมวันนั้นคุณถึงออกมาจากห้องได้ล่ะ”
            “ก็เพราะว่าไม่มีใครว่างแล้วนะสิ ฉันมันผู้น้อยเข้ามาหลังคนอื่น มีปากมีเสียงไม่ได้”
            บางทีเธออาจจะไม่รู้จักเขาจริงๆ ...ถ้าเป็นอย่างที่คิด แสดงว่าผู้หญิงคนนี้นี่ซื่อบื้อมาก ที่ไม่รู้จักเจ้านายใหญ่ของตัวเอง
            "แล้วนี่คุณมากับแฟนเหรอ" ราเมศร์เปลี่ยนเรื่องทันที
            "แฟน? อ๋อ ฮะๆๆ ไม่ใช่หรอกค่ะ นั่นเพื่อนฉันเอง" อัครพลจะเป็นแฟนเธอได้ไงล่ะ ถึงมันจะแมนและก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบผู้หญิง แต่...เพื่อนเธอคงชอบผู้ชายมากกว่า
            ระหว่างที่อัครพลยังไม่กลับมาราเมศร์ก็ทำความรู้จักและคุยกับเมธาวีอยู่นาน เขาสังเกตได้ว่าเธอรู้สึกสนุก และอารมณ์ดี ไม่ว่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือไม่ เขากลับชอบมองเวลาเธอยิ้ม เธอหัวเราะ เธอดูไม่เสแสร้งและเป็นธรรมชาติ มันทำให้เขารู้สึกสดชื่น บางครั้งมันก็ทำให้เขามองเพลิน สงสัยคงต้องขอบคุณฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่คุณเธอดื่มเข้าไปมากมายแล้วแหล่ะ  แต่พอราเมศร์เห็นอัครพลเดินกลับมายังโต๊ะ เขาก็ขอตัวกลับ
            "ไอ้วี ฉันเห็นนะ เล่ามาๆ" อัครพลพยายามจะซักไซร้ หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จเขาก็เดินกลับมาที่โต๊ะคิดว่าเมธาวีอาจจะนั่งคอยเขาจนหงุดหงิดแล้วก็เป็นได้ ...แต่ที่ไหนได้ เขาเห็นเธอกำลังคุยกับผู้ชายนั้นอย่างสนุกสนาน
                        "ไม่มีอะไรมากหรอกแก เขาก็แค่เข้ามาคุยด้วยเฉยๆ แกนั่นแหละ ออกไปคุยโทรศัพท์ตั้งนานสองนาน ทิ้งฉันไว้กับคนอื่น"
            เรื่องงานน่ะแหละแก เหมือนเดิม ปัญหาเดิมๆ ช่างเหอะอย่าไปคิดมากเลย"
            อัครพลและเมธาวีนั่งคุยและดื่มกันอยู่นาน โดยมีสายตาของราเมศร์มองมาโดยตลอด
            "โอย ปวดหัวชะมัดเลย" เมธาวีบ่นออกมาขณะที่ตัวยังอยู่บนที่นอน เพราะเมื่อคืนเธอกับอัครพลนั่งดื่มกันจนร้านปิดแล้วค่อยกลับ ถึงแม้ว่าแอลกอฮอล์ที่เธอดื่มเข้าไปมากมายไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเมามายนัก แต่มันก็มีผลต่อร่างกายในยามเช้าเช่นนี้ได้
            เมธาวีตัดสินใจลุกจากที่นอนไปอาบน้ำ เผื่อร่างกายจะได้สดชื่นขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ลงมาทานอาหาร ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว
            "ลดา ทานข้าวแล้วยัง" เมธาวีเห็นนาฏลดากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาจึงร้องทัก
            "ยังเลยวี ป้าใจกำลังตั้งโต๊ะ เมื่อคืนวีออกไปเที่ยวอีกแล้วใช่ไหม ดูสิตื่นซะเกือบเที่ยงเชียว ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้เข้าเดี๋ยวก็โดนบ่นเอาอีกหรอก" เสียงหวานใสเตือนด้วยความห่วงใย เพราะอะไรนิดหน่อย แม่ก็มักจะเอาเรื่องเมธาวีเป็นประจำ เรื่องนี้เธอก็รู้แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้
            "แล้วนี่ พวกพ่อไปไหนกัน"
            "ก็คงไปออกรอบเหมือนเดิม เห็นว่าเมื่อเช้าท่านอะไรก็ไม่รู้โทรมาชวนคุณพ่อตั้งแต่เช้า คุณแม่ก็เลยตามออกไปด้วย"
            "อีกแล้วเหรอ เมื่อวานก็เห็นว่าไปกันมาแล้วนี่ วันนี้ก็ยังจะไปอีก ไม่เหนื่อยกันบ้างรึไงนะ" เธอไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าการไปเดินตากแดดแล้วตีได้ลูกกลมๆ มันสนุกตรงไหน
            นาฏลดาฟังพี่สาวบ่นก็ได้แต่ยักไหล่ เธอไม่เคยตีกอล์ฟ เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันสนุกตรงไหน
            "เออลดา เดี๋ยววีจะออกไปซื้อของข้างนอก ลดาจะไปด้วยกันไหม"
            "ไม่ดีกว่า วีไปเถอะ ขอลดาอ่านหนังสืออยู่บ้านดีกว่านะ"

            ตอนบ่ายเมธาวีได้ไปเดินจับจ่ายซื้อของใช้ส่วนตัวที่
ซุปเปอร์มาร์เก็ต ขณะกำลังเลือกซื้อของอยู่นั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นใกล้ๆ เมธาวีจึงหันไปมอง ก็เจอชายหนุ่มคนเมื่อคืนเข้า
            "สวัสดีค่ะ" เมธาวีจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าชื่ออะไร จึงเลี่ยงที่จะเรียกชื่อ "บังเอิญอีกรึเปล่าคะนี่"
            "บังเอิญแน่นอน แล้วคุณมาเดินซื้อของคนเดียวเหรอ" ที่ราเมศร์ถามเพราะเผื่อบางทีเธออาจจะมากับผู้ชายคนเมื่อคืน
            "ฉันมาคนเดียวค่ะ แล้วคุณล่ะคะ คงไม่ได้มาคนเดียวเหมือนกันหรอกนะ"
            "ผมมาทานข้าวกับเพื่อนๆ น่ะ ตอนนี้ก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว" อันที่จริงเขามากับลูกน้องแล้วเผอิญเห็นเมธาวี จึงเข้ามาทัก
            "ผมช่วยคุณถือของดีกว่า" ราเมศร์ยื่นมือเข้าไปจะช่วยถือตะกร้า แต่เมธาวีกลับเบี่ยงตะกร้าออก เลี่ยงที่จะให้ราเมศร์ช่วย
            เธอยังไม่รู้จัก ไม่สนิทสนมพอที่จะให้เขามาถือของให้หรอก "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันถือเองได้ มันไม่ได้หนักอะไรมากมาย"
            ราเมศร์มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มีผู้หญิงตั้งมากมายที่อยากเดินเคียงข้างเขาเช่นนี้ แต่ผู้หญิงคนนี้เขาอุตส่าห์เสนอตัวช่วยถือของให้ กลับไม่ยอม
            เหมือนศักดิ์ลูกผู้ชายถูกทำลาย
            ราเมศร์ไม่ละความพยายามในเมื่อเธอบอกปัดความช่วยเหลือจากเขา เขาจึงเลือกเดินเล่นเป็นเพื่อนเธอแทน ในระหว่างที่เดินเลือกซื้อของ เขาก็เป็นฝ่ายชวนเมธาวีคุยไปตลอดทาง
            "คุณเดินตามฉันซื้อของ ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ"
            "ถ้าผมเบื่อ ผมคงไม่เดิมตามคุณหรอก" นั่นสินะ ทำไมเขาไม่เบื่อ นึกแล้วก็แปลกใจตนเองทั้งที่ปกติเขาไม่ชอบที่จะเดินตามผู้หญิงแบบนี้
            "คุณกำลังจีบฉันเหรอ"
            ราเมศร์ฟังแล้วก็ต้องสะอึก
            "ผมไม่เคยจีบใครก่อน" เขาไม่เคยจีบใคร ที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงเป็นฝ่ายวิ่งหาเขาก่อน
            "งั้นฉันคนเป็นคนแรกสินะ" เมธาวีพูดหน้าตาเฉย
            ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ฟังที่เขาบอกรึไงนะ "ผมเปล่าจีบคุณนะ" ราเมศร์ยังคงปฏิเสธหัวชนฝา
            "ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ไม่ได้จีบ ก็ไม่ได้จีบ ...อ๊ะ แล้วเพื่อนๆ ของคุณล่ะคะ คุณไม่ไปหาพวกเขาเหรอ"
            "พวกเขาแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้วล่ะครับ" ราเมศร์ได้สั่งให้ลูกน้องเขาแยกย้ายกันไปทำงาน ไม่ต้องมาวุ่นวายใกล้ๆ ตัวเขา
            "คุณเป็นคนเจ้าชู้หรอกเหรอ" ราเมศร์ฟังแล้วสะอึกอีกรอบ
            "ผมไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้นะ" เขาแค่ไม่ปฏิเสธผู้หญิงที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
            "แต่ดูท่าทางคุณคุ้นเคยกับผู้หญิงมากเลยนะ ฉันว่าคุณต้องเจ้าชู้มากแน่ๆ"
            ผู้หญิงคนนี้ไม่ฟังที่เขาพูดอีกแล้ว "ผมไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้"
            "ค่ะ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่"
            เมธาวีเดินเลือกซื้อของอยู่พักใหญ่จนได้ของที่ต้องการครบหมดทุกอย่าง เธอจึงขอตัวกลับบ้านก่อน
            "ขอบคุณนะคะที่ช่วยเป็นเพื่อนเดินซื้อของตั้งนาน แต่ว่าฉันต้องกลับแล้วค่ะ"
            "คุณมายังไงให้ผมไปส่งไหม" ราเมศร์เสนอตัว
            "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้ ขอตัวก่อนนะคะ"
            ...สุดท้ายเธอก็ยังนึกชื่อเขาไม่ออก

            หลังจากเมธาวีจากไปราเมศร์ก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของตัวเอง เขาไม่เคยที่จะเสนอตัวไปเดินถือของให้ใครมาก่อน แล้วยิ่งเสนอตัวไปส่งเจ้าหล่อนด้วยแล้ว เขายิ่งไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
            ...หรือว่าเขาจะจีบเธอจริงๆ
            ...ไม่หรอกน่า

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์คู่ใจของเมธาวีดังขึ้น แสดงหมายเลขโทรศัพท์ไม่คุ้นตา
            'เบอร์ใครวะ?'
            "สวัสดีค่ะ"
            "สวัสดีครับ คุณเมธาวี" ใครนะ เสียงคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก
            "นั่นใครเหรอคะ?"
            "ผมเอง ราเมศร์ไงครับ อย่าบอกนะครับว่าผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็ลืมผมซะแล้ว" อ๊ะ ที่แท้เขาก็ชื่อราเมศร์นะเอง
            "อ๋อ คุณนะเอง แล้ว...คุณไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหนกันคะ ฉันไม่เคยให้เบอร์คุณไว้นี่นา" เธอจำได้แม่นว่าไม่เคยให้เบอร์เขานี่นา
            "ผมก็มีวิธีของผม เรื่องแค่นี้ไม่เกินความสามารถของผมหรอก"
ราเมศร์กล่าวอย่างโอ้อวด แต่แท้จริงแล้วเขาได้สั่งให้ลูกน้องไปเอาเบอร์มือถือของเมธาวีจากใบสมัครที่เธอกรอกไว้ตอนสมัครงาน
            "อืม...นี่คงเป็นความสามารถของคนเจ้าชู้ใช่ไหมคะ"
            ผู้หญิงคนนี้ยังจะมาหาว่าเขาเจ้าชู้อีกเหรอ
            "ผมว่าผมบอกคุณไปแล้วนะว่าผม.."
            "ไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้" ราเมศร์พูดไม่ทันจบเมธาวีก็แทรกขึ้นมาอย่างรู้ทัน "ค่ะฉันรู้แล้ว แต่หวังว่าคุณคงไม่ใช่สตอล์คเกอร์นะ"
            “ไม่ใช่!
            เขามั่นใจเลยว่าเธอเป็นผู้หญิงยียวน กวนบาทา
            หลังจากถกเถียงกันเล็กๆ เรื่องความเจ้าชู้ของราเมศร์ เขาก็ชวนเมธาวีคุยอยู่นานหลายชั่วโมง และก็เป็นอย่างนี้ในวันต่อๆ มา  ไม่ว่าจะดึกดื่นค่อนคืน ราเมศร์ก็จะโทรหาเมธาวีเสมอ และเมธาวีก็ต้องตื่นมารับโทรศัพท์เขาทุกครั้ง จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของคนทั้งคู่ โดยเฉพาะราเมศร์ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนเองถึงได้ทุ่มเทเวลาอันแสนจะมีค่าให้กับผู้หญิงคนนี้ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กหนุ่มที่เริ่มจะมีความรัก
            'ความรัก? ' ไม่ ไม่ใช่แน่ๆ  ราเมศร์ปฏิเสธความคิดนี้ทันที
            เขาเพิ่งเจอผู้หญิงคนนี้ไม่นาน และเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงในสเปคของเขา เธอไม่ใช่คนสวย แค่ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ ไม่มีอะไรที่เหมาะสมกับเขาเลยสักนิด เขาแค่ชอบที่จะพูดคุยกับเธอ รู้สึกชอบอะไรหลายๆ อย่างในตัวเธอ ใช่แล้ว เขาแค่ชอบ เขาชอบเวลาที่เธอยิ้ม เขาจะรู้สึกสดชื่น ทุกครั้งที่เธอหัวเราะ เขาจะรู้สึกมีความสุข เวลาที่เขารู้สึกอ่อนเพลียจากการทำงาน แค่ได้พูดคุยหรือเห็นหน้าเธอ เขาก็จะรู้สึกผ่อนคลาย และไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศ เขาก็มักจะโทรหาเมธาวีไม่ให้ขาด

            "เมศร์จีบวีจริงๆ ด้วย" เมธาวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี เดี๋ยวนี้เมธาวีและราเมศร์สนิทนสมกันมากขึ้นจึงเรียกชื่อของอีกฝ่ายได้อย่างสนิทสนม
            "อย่าขี้ตู่เอาเองสิวี วีนี่หลงตัวเองชะมัด เมศร์บอกแล้ว ว่าเมศร์ไม่เคยจีบใคร"
            "งั้นเหรอๆ แล้วเมศร์โทรหาวีทำไมล่ะ"
            "ตอนนี้เมศร์อยู่ญี่ปุ่น"
            "ญี่ปุ่น?" ราเมศร์อยู่ญี่ปุ่น เฮ้อ อยู่ญี่ปุ่นแล้วยังอุตส่าห์โทรมาหาเธออีกนะ
            "ใช่ เมศร์เลยโทรมาถามว่าวีจะเอาของฝากอะไร" ราเมศร์มักจะโทรหาเมธาวีทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ และจะอ้างเรื่องของฝากทุกครั้งไป
            “เครื่องสำอาง”
            “ถ้ามั่นใจให้เมศร์ซื้อให้”
            "งั้นขอเปลี่ยนช็อคโกแลตดีกว่า เอาอันที่อร่อยๆ นะ"
            "อีกแล้วเหรอ คราวก่อนก็ช็อคโกแลต" ทุกครั้งที่เขาพูดถึงของฝาก เมธาวีจะขอ ช็อคโกแลต ช็อคโกแลต แล้วก็ ช็อคโกแลต เขาไม่เคยได้ยินเธอร้องขออะไรอย่างอื่นนอกจากช็อคโกแลตเลย
            ยกเว้นคราวนี้ที่มีเครื่องสำอางโผล่มา
            แต่ท้ายสุดก็กลับมาเป็นช็อคโกแลตเหมือนเดิม
            "นี่วีจะกินช็อคโกแลตให้มันครบทุกประเทศเลยรึไง"
            "ก็ถ้าเมศร์ไปรอบโลก วีก็จะกินช็อคโกแลตให้มันครบทุกประเทศนั่นล่ะ"
            "ไม่กลัวอ้วนหรือวีกินแต่ช็อคโกแลต ไม่เอาอย่างอื่นบ้างรึไงอย่างที่พวกผู้หญิงเขาอยากได้กัน พวกเสื้อผ้า เครื่องประดับอะไรพวกนั้น"
            "จะเอาไปทำไม มันกินได้รึไง" ของพวกนั้นเธอมีเยอะแยะ เธอจะต้องการไปอีกทำไม  ขนาดว่าเธอมีตั้งเยอะแยะ เธอไม่เห็นว่าเธอจะได้ใช้ตรงไหน มีแต่เก็บไว้ให้คนอื่นใช้สิไม่ว่า “แล้วพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับที่พูดมานั่น แน่ใจเหรอว่าซื้อมาฝากแล้ววีจะใส่ได้”
            “ของอย่างนี้มันก็ต้องมีครั้งแรก ครั้งนี้ซื้อผิด ครั้งหน้าก็ซื้อให้ถูก”
            “งั้นก็เครื่องสำอางญี่ปุ่น”
            “ถ้าวีไว้ใจ...”
            “ขอช็อคโกแลตเหมือนเดิมดีกว่า”
            "งั้นก็ตามใจวี"
            ราเมศร์สบายใจทุกครั้งที่ได้คุยกับเมธาวี เธอไม่เคยจะถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวของเขา อย่างคราวนี้และคราวก่อนๆ ที่เขาต้องไปติดต่องานที่ต่างประเทศ เขาแค่บอกว่าไปทำงาน เธอก็จะไม่ซักไซ้อะไรจากเขา แต่เธอเองก็ไม่ค่อยจะเล่าหรือพูดถึงเรื่องส่วนตัวของตัวเอง เขาก็ไม่เซ้าซี้ถามเธอเช่นกัน เขาถือว่าเธอเคารพในความเป็นส่วนตัวของเขา เขาก็จะต้องเคารพในความเป็นส่วนตัวของเธอเช่นกัน

            จนเมื่อราเมศร์กลับมาจากญี่ปุ่น เขาได้โทรหาเมธาวีทันที ตอนนี้เขารู้สึกถึงแต่เมธาวี อยากเจอเธอ อยากเห็นหน้าเธอเสียเดี๋ยวนี้
            "วี ของฝากมาถึงแล้วครับ"           
            "ว้าว!" ดูสิ เธอดีใจเหมือนเด็กๆ ได้ขนมอย่างนั้นแหละ
            "งั้นเมศร์จะรอวีที่ร้านเดิมนะ" ใจจริงเขาก็อยากเอาของฝากไปให้เมธาวีถึงบ้าน แต่เขาไม่รู้จักบ้านเธอ เพราะตัวเมธาวีไม่เคยยอมให้เขาไปส่งที่บ้าน หรือไปรับที่บ้านสักครั้ง ถ้าจะให้สืบหาที่อยู่ของเมธาวี เขาก็สามารถทำได้ แต่เพราะคิดว่าเธอคงไม่อยากให้ใครยุ่งเรื่องส่วนตัว เขาเลยไม่เคยเซ้าซี้เธอเรื่องนี้
            เมธาวีมาถึงร้านอาหารบรรยากาศร่มรื่นแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอและราเมศร์มักจะนัดกันมาที่นี่เสมอๆ เมธาวีเดินเข้าไปด้านในสุดอย่างเคยชิน ซึ่งมีซุ้มจัดไว้เป็นส่วนตัว เธอเห็นชายหนุ่มที่นัดไว้นั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงเดินเข้าไปหา
            "เมศร์ ช็อคโกแลตของวีล่ะ"
            "มาถึงก็ทวงแต่ของฝาก" ดูสิกระดี๊กระด๊าทำเหมือนเด็กๆ ไปได้
            สายตาของราเมศร์กำลังจับจ้องเมธาวีที่ตอนนี้กำลังแกะห่อ
ช็อคโกแลตอย่างมีความสุข เขาอ้อมไปด้านหลังแล้วสวมกอดเธอไว้อย่างหลวมๆ
            "เอ๊ะ! เมศร์" เมธาวีสะดุ้ง
            ราเมศร์รีบปล่อยแขนออกจากเมธาวีทันที ทำหน้าเก้อเขิน ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาเข้าไปสวมกอดเธออย่างนี้
            "โทษที เมศร์เผลอไปหน่อย" ราเมศร์ตอบเสียงอ่อยๆ ในตอนท้ายเหมือนจะพูดจะกับตัวเองเสียมากกว่า
            ในจังหวะนี้โทรศัพท์ในกางเกงของราเมศร์สั่นขึ้นมาพอดี เขาจึงปลีกตัวไปรับสาย และปล่อยให้เมธาวีนั่งทานช็อคโกแลตรอไปพลาง
"วี เมศร์ต้องไปก่อนนะมีงานด่วนเข้ามาพอดี" ราเมศร์บอกกับเมธาวีหลังจากคุยโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว
            "เมศร์ไปเถอะ วีก็ว่าจะกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับของฝากนะ" เธอยกถุงของฝากขึ้นมาแล้วยิ้มหน้าบาน
            "งั้นให้เมศร์ไปส่งวีที่บ้านนะ"
            "ไม่ต้องหรอก เมศร์บอกว่ามีงานด่วนไม่ใช่เหรอ รีบไปเถอะ วีกลับเองได้"
            ราเมศร์จนใจที่จะคะยั้นคะยอไปส่งเมธาวี เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงไม่ยอม คงทำได้แค่ตามใจเธอ ทำอย่างที่เธอบอกมาเท่านั้น
                       
            ผ่านไปหลายวันราเมศร์ก็ยังไม่ได้เจอเมธาวีเพราะเขามัวแต่วุ่นกับเรื่องงานโปรเจคใหม่ของบริษัท  วันสุดท้ายที่เจอเธอก็คือวันที่เขาเอาของฝากไปให้ หลังจากนั้นเขาก็ทำได้แค่เพียงโทรไปหาเมื่อมีเวลาว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
            ไม่ใช่สิ เขายังต้องคอยระวังไม่ให้เจอเธอเมื่อเวลาอยู่ที่บริษัทอีก
            แต่ยิ่งเวลาผ่านไปหลายวัน เขาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูกจนบางครั้งพาลใจลอยไปนึกถึงร่างกายนุ่มนิ่มที่เขาเผลอสวมกอดในวันนี้
            ...เฮ้อ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกอยากกอดอีก
            จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เปลี่ยนเป็นเดือนกว่าทุกอย่างจะลงตัวราเมศร์ใช้เวลาไปเพียงแค่สองเดือนเท่านั้นเพื่อจบโปรเจค และเมื่อทันทีที่มีเวลาว่างเขารีบโทรนัดเมธาวี
            "วี เย็นนี้เจอกันที่ร้านเดิมนะ รีบมานะเมศร์หิวข้าวจะแย่แล้ว" ราเมศร์อ้อน
            "ถ้าเมศร์หิวก็ทานไปก่อนสิ อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าวีจะเลิกงาน บางทีวีอาจจะต้องอยู่ทำโอทีด้วย ช่วงนี้ที่ทำงานวีค่อนข้างยุ่ง เห็นว่าเจ้านายใหญ่เขาเร่งงานมา แต่ละแผนกหัวปั่นกันไปหมดเลย แผนกวีก็ไม่เป็นข้อยกเว้น"
            เอิ่ม...
            "แล้วเมศร์จะรอนะ" ราเมศร์รีบตัดบท มัดมือชกทันที
            "เมศร์ เดี๋ยวสิ ฮึ่ย!... วางสายได้ไง แล้วจะทำไงล่ะเนี่ย"
            เมธาวีกดโทรกลับไปหาราเมศร์แต่ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย ในเมื่อจนปัญญาเธอจึงทำได้แค่รีบเคลียร์งานในส่วนของตัวเองให้เสร็จแล้วรีบขึ้นแท็กซี่ไปหาเขา เพราะเวลาขนาดนี้ก็ถือว่าสายมากแล้ว ครั้นจะตะบี้ตะบันโทรไปหาราเมศร์ เขาก็ปิดโทรศัพท์หนีเธอซะนี่ ทำให้เธอต้องตาลีตาเหลือกรีบทำงาน เพราะกลัวว่าราเมศร์จะคอยนาน
            "เมศร์รอวีนานไหม" เมธาวีหอบแฮ่ก
            ราเมศร์ส่ายหัว แล้วมองเมธาวีอย่างขบขันกับท่าทางของเธอ
            ...คงรีบมากเลยล่ะสิ ถึงได้เหนื่อยหอบขนาดนี้
            "ดื่มน้ำก่อนวี" ราเมศร์ยื่นแก้วน้ำเย็นให้ เธอรับไปแล้วดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
            ...โอย เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
            "เมศร์ปิดโทรศัพท์ทำไม วีติดต่อเมศร์ไม่ได้เลยนะ" พอเริ่มจะหายเหนื่อยเมธาวีก็เริ่มวีนราเมศร์ทันที
            "พอดีแบตเตอรี่หมด เมศร์ไม่ได้ตั้งใจนะ" ราเมศร์ตอบปัดไป "ไหนๆ ก็มาแล้วทานข้าวกันเถอะ เมศร์หิวจะแย่แล้ว"
            เมื่อเห็นว่าเมธาวีมาถึง ราเมศร์ก็สั่งให้บริกรนำอาหารที่สั่งไว้มาเสริฟทันที ทำให้ตอนนี้บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารพร้อมที่จะให้ทั้งสองลงมือทานได้ทันที
            ราเมศร์มองดูเมธาวีขณะกำลังทานอาหารอย่างไม่สนใจใคร เธอตักอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็วขนาดเขาที่ว่าหิวแล้ว ยังตักไม่ทันเธอเลย
            "วีทานช้าๆ ก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก" ราเมศร์กล่าวอย่างห่วงใย แต่ใช่ว่าเมธาวีจะสน ตอนนี้เธอหิวจนตาลายแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งหิว จะห้ามเธอให้ทานช้าลงเหรอ
            ฝันไปเถอะย่ะ
            ใช้เวลาไม่นานอาหารมากมายบนโต๊ะก็พร่องไปอย่างรวดเร็ว เขาเห็นว่าเมธาวีอิ่มแล้วจึงพาเธอไปนั่งที่ชานริมน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ซุ้มที่ราเมศร์และเมธาวีนั่งอยู่
            เมธาวีนั่งห้อยขาอยู่ริมชานเอาเท้าราน้ำเล่นอย่างสบายใจ มีราเมศร์นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ห่างกันมากนัก เขาหันไปมองหน้าเมธาวีอย่างต้องมนต์ไม่ยอมหันไปทางอื่น คล้ายกับจะทดแทนส่วนที่เขาไม่ได้เจอเธอเลยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา จนเมธาวีรู้สึกกระดาก
            "ทำไมมองวีอย่างนี้ล่ะเมศร์" มองเธอนานๆ อย่างนี้เธอก็รู้สึกอายเหมือนกันนะ
            "วี...คบกับเมศร์เถอะ" เขาพูดออกไปคล้ายคนละเมอ และเมื่อสติกลับมาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ตนเองพูดออกมาก มองดูเมธาวีเธอเองก็ตกใจกับคำพูดของเขา ...ก็จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร ในเมื่อเขาก็ไม่ต่างกัน
            เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเผลอพูดคำนี้ออกมาได้ แต่...เขากลับไม่เสียใจเลยที่พูดออกไป กลับรู้สึกลุ้นกับคำตอบของเมธาวีมากกว่า บางทีส่วนลึกภายในจิตใจเขาอาจจะต้องการอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้
            "เมศร์ กำลังจีบวีเหรอ"
            "เปล่า" ราเมศร์ปฏิเสธ "เมศร์กำลังขอวีเป็นแฟนต่างหาก คำตอบของวีล่ะ"
            "วี" หญิงสาวรู้สึกสับสน "เมศร์แน่ใจนะ ว่าจะคบกับวี" เธอลังเล ราเมศร์ดูเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่างจากที่ได้สัมผัส ได้รู้จักกัน ราเมศร์เป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนหน้าตาดี  ฐานะดี แล้วผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างเขาจะมาชอบผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอที่ไม่มีอะไรน่าสนใจได้ยังไง
            "เมศร์ก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าวีน่ะกินจุจะตาย ไม่รู้เมศร์จะเลี้ยงไหวรึเปล่า
“!” นี่กำลังหลอกด่าเธอนี่นา
ถึงจะไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้เมศร์อยากให้คนๆ นั้นเป็นวี วีจะคบกับเมศร์ได้ไหม"
            "วี..." หญิงสาวพยักหน้า
            ท่าทางอย่างนี้ “คำตอบคือ...ใช่?”
            เธอพยักหน้าอีกครั้ง
            “อย่างนั้นตอนนี้ เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”
            คราวนี้เมธาวีไม่ได้พยักหน้ากลับก้มหน้างุดแทน เอียงอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขินจนเรียกสายตาเอ็นดูจากชายหนุ่มตัวโตได้
            เมธาวีทำให้ราเมศร์รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แตกต่าง บางทีเธอคงจะเป็นคนพิเศษสำหรับเขาจริงๆ ก็ได้ ตอนนี้ได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เธอเหมือนผู้หญิงที่ผ่านๆ มาของเขาเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น