ความชุลมุนวุ่นวายในดินแดนอีสการ์ดเกิดขึ้นตั้งแต่สองวันก่อน เมื่อท่านผู้เฒ่าได้รับแจ้งข่าวจากทางมิดการ์ดมาว่ารายาผู้นำสูงสุด ผู้ปกครองดินแดนทั้งห้า จะมาเยือนอีสการ์ดแห่งนี้
ข่าวใหญ่นี้ ทำให้จอมเวทย์ พ่อค้า ชาวบ้านทุกคน ต่างร่วมใจกันช่วยงานตระเตรียมงานต้อนรับ และสร้างที่พำนักชั่วคราวหลังใหม่ให้แก่รายาของพวกตน ทั้งเตรียมเสบียง อาหารไว้ให้พร้อมสำหรับกองทหาร และเหล่าองครักษ์ที่ติดตามมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าดินแดนอีสการ์ดนั้นมั่งคั่ง และเจริญรุ่งเรืองเพียงใด ร้านรวงต่าง ๆ จึงพากันนำของจากร้านของตน ออกมาใช้ในงานนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
ยกเว้น
ร้านเหล้าของเจ้าคนแคระ
มันไม่ยอมเสียแม้แต่ขวดเปล่าไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร หากต้องการเหล้าจากมันก็ต้องซื้อเท่านั้น มันไม่ยอมเอาเหล้าให้ใครง่าย ๆ โดยไม่มีค่าตอบแทน
เมื่อมันไม่ยอม ร้านเหล้าเจ้าอื่นจึงเสนอตัว เพราะต้องการให้รายาได้ลิ้มรสเหล้าจากร้านตน
นอกจากจะถือเป็นเกียรติแล้ว ถ้าโชคดีก็อาจได้ส่งเหล้าเข้ามิดการ์ด สร้างกำไรให้เห็น ๆ
แม้ว่าแต่ละคนจะคิดว่าเจ้าคนแคระนั้นโง่เง่า แต่เฟยากลับเห็นด้วยกับมัน ก็เหล้าของเจ้าคนแคระนั้นรสชาติดีกว่าที่ไหน ๆ หากมันยกเหล้าให้โดยไม่คิดเงิน มีหวังว่ามันจะต้องยกเหล้าออกมาเลี้ยงคนทั่วทั้งอีสการ์ดจนหมดแน่
แล้วอาจารย์ของนางก็ต้องอด
“อาจารย์อีกไม่กี่วันรายาก็จะมาถึงอีสการ์ดแล้ว ท่านจะออกไปต้อนรับรายาด้วยกันหรือไม่”
“ข้าไม่ไปหรอกเดวา คนเยอะแยะออกอย่างนั้น ข้าไม่ชอบ”
“ท่านก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในป่าในถ้ำแห่งนี้ ท่านเคยออกไปนอกป่าบ้างหรือไม่อาจารย์”
ชายหนุ่มนั่งคิดย้อนกลับไป ตั้งแต่เขาเข้ามาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ เขาได้ออกจากป่านี้บ้างหรือไม่นะ
อืมม...
“ไม่เคยหรอก”
“ท่านน่าจะออกจากป่าบ้างนะท่านอาจารย์ ข้างนอกน่ะคึกคักกันจะตาย ถ้าท่านออกไปข้าจะเป็นคนพาท่านเที่ยวเอง”
“พูดถึงเรื่องเที่ยว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปทางป่าตะวันตกมาใช่ไหมเดวา” หากเหล่าเซนทอร์ไม่บอกเขาว่านางไปถึงป่าตะวันตกเขาก็คงไม่รู้เรื่อง ว่านางจะซุกซนเที่ยวเล่นไปไกลขนาดนี้
“ข้า...ข้าก็แค่อยากสำรวจป่าแห่งนี้เท่านั้นเอง”
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่ามันอันตราย พวกเซนทอร์แม้จะไม่ดุร้าย แต่พวกเขาก็ไม่ถูกกับมนุษย์เช่นกัน”
“มิน่าเล่า ทีแรกพวกเขาถึงจ้องข้าอย่างกับจะฆ่าจะแกง แต่พอข้าบอกว่าเป็นศิษย์ของท่าน พวกเขากลับเปลี่ยนท่าทีไปเลยนะอาจารย์ แล้ว...ท่านรู้จักพวกเขาด้วยเหรอ พวกเขายังบอกอีกด้วยว่าท่านคือจอมเวทย์เกวล ...ท่านชื่อว่า ‘เกวล’ หรอกหรือ”
เขากำลังจะสั่งสอนลูกศิษย์ตัวน้อยว่าอย่าซุกซนในป่าแห่งนี้มากนัก แต่เจ้าตัวกลับเฉไฉไปเรื่องอื่นเสียนี่
“เจ้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะเดวา ข้าบอกเจ้าหลายหนแล้วว่าป่าแห่งนี้มีแต่อันตราย เจ้าก็ยังเอาแต่ซุกซน โชคดีที่พวกเซนทอร์รู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ข้า พวกนั้นถึงไม่ทำอะไรเจ้า”
“ทำไมล่ะอาจารย์”
“ข้าอยู่ในป่าแห่งนี้มานาน ย่อมต้องผูกมิตรกับผู้อื่นไว้เป็นธรรมดา เจ้าเป็นศิษย์ของข้า พวกนั้นก็เลยคิดว่าเจ้าเป็นมิตรเช่นกัน”
“อย่างนั้นวันหลังข้าก็ไปทางป่าตะวันตกได้อีกน่ะสิ”
“เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่องหรืออย่างไรกัน” เขาห้ามอยู่ปาว ๆ แต่เจ้าลูกศิษย์ตัวดีกลับจะหาเรื่องไปให้ได้ มันน่าเขกกะโหลกเสียจริง ๆ
“เจ้าเป็นใคร”
เสียงปริศนาดังก้องป่า ทักทายเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้มาเยือนป่าต้องห้าม
“ที่นี่เป็นป่าต้องห้าม ผู้ที่เข้ามาในป่าแห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตต้องได้รับโทษ”
เด็กหนุ่มยังคงมองหาต้นเสียงต่อไป แต่รอบ ๆ ตัวเขามีเพียงต้นไม้รกครึ้มเท่านั้น
“ออกไป” เสียงปริศนาออกคำสั่ง
“ข้าหลงเข้ามา หาทางออกไม่เจอ” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดัง
“เพียงเจ้าหันหลังกลับแล้วเดินตรงไป เจ้าจะเจอทางออกเอง”
“ท่านเป็นใคร” เด็กหนุ่มพยายามชวนคุยเพื่อหาต้นเสียงว่ามาจากไหน ทว่ามองดูรอบ ๆ แล้วเขากลับมองไม่เห็นใคร
“ข้า...ข้าเป็นผู้ดูแลป่าแห่งนี้”
เจอแล้ว
เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ เขาเห็นเด็กสาวผมยาวสยายนั่งแกว่งขาอย่างสบายอารมณ์บนกิ่งไม้ใหญ่ กำลังก้มมองดูเขาอยู่
เด็กหนุ่มรีบปีนต้นไม้อย่างคล่องแคล่วขึ้นไปหานางทันที
เด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเหลืองอ่อนดั่งสีทอง เป็นประกายสวยงามจนน่าหลงใหล นางว่าดวงตาของสีน้ำตาลอ่อนของเฟเรียที่ว่างดงามแล้ว ยังสู้ดวงตาของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้
เด็กสาวรีบถอนสายตาจากดวงตาคู่นั้นแล้วตั้งสติไว้ไม่ให้หลงใหลดวงตาคู่นี้อีก
“เจ้าขึ้นมาทำไม ลง...ลงไปนะ เดี๋ยวกิ่งมันก็หักหรอก” กิ่งที่นางนั่งอยู่สูงจากพื้นดินมากนัก หากเกิดพลัดตกลงไปถ้าไม่เสียชีวิตก็ต้องบาดเจ็บหนัก
ซ้ำนางยังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างอาจารย์
เด็กหนุ่มจับจองที่นั่งข้าง ๆ เด็กสาว กิ่งไม้นี้ใหญ่และแข็งแรงพอสำหรับคนตัวโตหลายคน แล้วนับประสาอะไรกับเด็กแค่ 2 คน
“เด็กอย่างเจ้าน่ะหรือผู้ดูแลป่า” เด็กสาวผมสีน้าตาลเข้ม หน้าตาน่ารักดังภาพวาดคนนี้น่ะหรือผู้ดูแลป่า
“ไหนเจ้าบอกว่าหลงทาง ข้าบอกทางออกให้เจ้าแล้ว เจ้าก็รีบออกไปเสียสิ หากใครรู้ว่าเจ้าเข้ามาในป่าแห่งนี้ เจ้าจะต้องได้รับโทษรู้ไหม”
“แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้เล่า” เขาย้อนถาม
“ข้าบอกแล้วว่าข้าคือผู้ดูแลป่าแห่งนี้”
“เด็กอย่างเจ้าน่ะหรือ” เด็กหนุ่มดูถูก
เด็กสาวไม่สบอารมณ์ที่โดนคนแปลกหน้าสบประมาท นางจึงพูดจาตอบโต้อย่างกราดเกรี้ยว
“เด็กอย่างข้าแล้วทำไม อย่างเจ้าไม่เด็กหรือไร เจ้าก็เด็กเหมือนกับข้านั่นแหละ”
เด็กหนุ่มมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างครุ่นคิดแล้วพูดว่า
“ข้าแก่กว่าเจ้า...เจ้านั่นแหละเด็ก”
“ถึงเจ้าจะอายุมากกว่าข้า แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใหญ่เสียหน่อย” เด็กสาวเถียงข้าง ๆ คู ๆ
“ก็ได้ ๆ ข้าก็เด็กเหมือนกัน พอใจเจ้าแล้วใช่ไหม” เด็กหนุ่มยอมแพ้ เพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก ถึงเขาจะพูดอะไรไป นางก็คงเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเคย
“เจ้าชื่ออะไรหรือ ส่วนข้าชื่อคีล เพิ่งเดินทางมาจากนอร์ทการ์ด” เด็กหนุ่มแนะนำตัวตามมารยาท
“ข้าชื่อเฟ...เดวา” นางเกือบหลุดปากบอกชื่อจริงของนางไป ยังดีที่นึกถึงสอนของอาจารย์ได้ ว่าห้ามบอกชื่อจริงแก่คนแปลกหน้า “เจ้ามาจากนอร์ทการ์ดหรือ มิน่าเล่า เจ้าถึงไม่รู้ว่าป่าแห่งนี้ห้ามเข้า...แล้วเจ้ามาที่อีสการ์ดทำไมกัน”
“ข้ามาเปิดหูเปิดตา อันที่จริงข้าเป็นคนมิดการ์ดแต่เมื่อเดือนที่แล้วข้าเพิ่งจะเดินทางไปนอร์ทการ์ดมา แล้วหลังจากนี้ข้าก็จะเดินทางไปเซาท์การ์ดต่อ”
“ว้าว...น่าสนุกจังเลย เจ้าบอกว่าเจ้าเพิ่งเดินทางมาจากนอร์ทการ์ด ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าเล่าให้ข้าฟังบ้างสิ ข้าอยู่แต่ในอีสการ์ดไม่เคยเดินทางไปที่ไหนเลย” เด็กสาวกระตือรือร้นขึ้นมาทันที หลงลืมความตั้งใจที่จะขับไล่เขาออกจากป่าตั้งแต่แรก เพราะนางอยากรู้ว่าที่ดินแดนอื่นจะเหมือนอีสการ์ดหรือไม่
เด็กหนุ่มเห็นสายตาที่เปร่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาว ก็ตั้งใจเล่าในสิ่งที่เขาได้ไปเจอมาจากนอร์ทการ์ดให้ฟัง
นอร์ทการ์ดเป็นเกาะทางทิศเหนือที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับดินแดนใด ๆ การจะเดินทางไปนอร์ทการ์ดต้องใช้เรือ เดินทาง 2-3 วัน หรือขี่รุค (นกยักษ์) ก็จะใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น
คีลเล่าว่านอร์ทการ์ดเป็นดินแดนที่สวยงาม และน่าอัศจรรย์มาก ทั่วทั้งเกาะเต็มไปด้วยผลึกคริสตัล พวกมันราวกับต้นไม้ที่สามารถงอกมาจากพื้นดินได้ และไม่ว่าจะตัดมันออกมาสักเท่าใด มันก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ
ทว่านอร์ทการ์ดที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลึกคริสตัล กลับหาต้นไม้และพืชพันธุ์ได้ยากยิ่ง ทำให้มีปัญหาเรื่องอาหารและเสบียง แต่ทางนอร์ทการ์ดก็ได้ใช้ผลึกคริสตัลที่มีอยู่แลกเปลี่ยนกับอาหารจากดินแดนอื่น ทำให้ปัญหาเรื่องปากท้องของผู้คนบรรเทาลงได้มาก
“ข้าเคยเห็นผลึกคริสตัลที่พวกพ่อค้าเอามาวางขายที่ตลาด มันสวยมากเลย แสดงว่าที่นอร์ทการ์ดต้องเป็นดินแดนที่สวยงามมาก ๆ” เฟยารู้สึกตื่นตาตื่นใจ เมื่อได้ยินว่าดินแดนอื่นไม่เหมือนกับอีสการ์ดของนางเลยจริง ๆ
“ใช่สวยมาก และข้าก็ได้ผลึกคริสตัลจากที่นั่นมาด้วยนะ” คีลล้วงจี้ห้อยคอออกจากมาอกเสื้อให้นางดู
ผลึกคริสตัลแท่งเล็ก ๆ ทรงแปดเหลี่ยมสีใส ๆ หากหมุนดูแต่ละด้านก็จะมองเห็นเป็นสีสันแตกต่างกันออกไปอย่างน่าอัศจรรย์
“ว้าว! สวยมากเลย” แม้นางจะเคยเห็นคริสตัลที่พวกพ่อค้านำมาวางขาย รวมถึงพวกเครื่องประดับคริสตัลของเฟเรียที่ได้มาจากพ่อค้ามหาเศรษฐีคนนั้นแล้ว ก็ยังไม่สวยเท่าจี้ห้อคออันเล็ก ๆ ของคีล
“ถ้าเจ้าชอบข้ายกให้” เด็กหนุ่มถอดสร้อยคอแล้วยื่นให้นาง แต่นางกลับปฏิเสธ “ทำไมเจ้าไม่รับไว้เล่า”
“ข้าชอบดูมากกว่า เพราะข้ามักจะซุ่มซ่ามทำข้าวของเสียหายอยู่เป็นประจำ ข้าจึงไม่ค่อยใส่พวกเครื่องประดับ และข้าก็กลัวทำมันหายด้วย...ข้าขอบใจเจ้ามากนะ”
“ตามใจเจ้าแล้วกัน” เด็กหนุ่มสังเกตเห็นแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านต้นไม้ค่อย ๆ สลัวลงทุกที ถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับ “ฟ้ามืดลงทุกทีแล้วข้าต้องกลับก่อน”
เฟยาเองก็เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว ยิ่งป่าทึบเช่นนี้ยิ่งมืดเร็วกว่าที่คิด
“ที่จริงนอกป่าจะสว่างกว่านี้มากนัก เพราะที่นี่ต้นไม้เยอะจึงบังแสงจากอาทิตย์หมดทำให้มืดเร็วกว่าปกติ แต่ถ้าในป่ามืดสนิทเมื่อไรก็จะน่ากลัวมาก ฉะนั้นข้าจะไปส่งเจ้าเอง” นางรอให้คีลปีนต้นไม้ลงมาก่อนจึงค่อยปีนตามลงมาทีหลัง
เฟยายื่นมือออกมาตรงหน้า พลันเกิดดวงไฟสว่างจ้าดวงใหญ่และร้อนแรง
“ว้าย/เฮ้ย” เด็กทั้งสองร้องออกมาอย่างตกใจ เฟยายังไม่สามารถควบคุมอำนาจเวทย์ของตนเองได้ ดวงไฟที่นางสร้างจึงใหญ่กว่าความตั้งใจมาก หลังจากนั้นนางจึงค่อย ๆ ลงขนาดของมันลงมา
“เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ” คีลโวย
“ข้าขอโทษ ข้ายังควบคุมเวทย์ของตัวเองได้ไม่ดีนัก...เจ้า ไม่มีส่วนไหนถูกเผาใช่ไหม” เฟยามองสำรวจคีล
“ไม่มีๆ ...ว่าแต่” เด็กหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นความผิดปรกติ “เจ้าทำได้อย่างไรลูกไฟใหญ่ขนาดนั้น”
“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก กะว่าจะสร้างลูกเล็กเสียหน่อยพอให้สว่าง มองเห็นทางได้เป็นพอ แต่กลายเป็นแบบนี้ทุกทีเลย”
“เจ้ามีพลังเวทย์มากกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”
“อาจารย์ข้าบอกว่ามันมากเกินไป แล้วข้าก็ควบคุมไม่ได้เสียที”
เฟยาเดินนำทางพาคีลมาจนถึงทางออก แต่ทั้งสองกลับอ้อยอิ่งไม่ยอมจากกันเสียที เฟยาที่เข้ากับใครได้ยาก เพิ่งเคยรู้สึกคุยกับคนอื่นแล้วสนุกสนานเป็นครั้งแรก ส่วนคีลเองก็รู้สึกมีความสุขที่ได้พูดคุยกับเฟยา ทำให้เขารู้สึกว่าวันนี้ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“พรุ่งนี้ข้าขอมาเจอเจ้าอีกได้ไหม”
“ไม่ได้ ป่าแห่งนี้ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามา ข้าเคยบอกเจ้าแล้วนี่”
“ข้าจะไม่ให้ผู้ใดเห็นว่าข้าเข้ามาในป่าแห่งนี้ ข้าอยากคุยกับเจ้าอีก แล้วข้าก็มีเรื่องเล่าให้เจ้าฟังอีกตั้งมากมาย”
“จริงหรือ” เด็กสาวถูกชักจูงอย่างง่ายดาย “ช่วงบ่ายไปแล้วข้าถึงจะเจอเจ้าได้”
“ข้าจะรอเจ้าที่ต้นไม้ต้นเดิม”
“อืม แล้วเจ้าห้ามบอกใครนะว่าเจอข้าที่นี่” นางกำชับ
“แน่นอน”
รุ่งขึ้นเฟยาเข้าป่าตั้งแต่เช้า นางแวะไปดูที่ต้นไม้ใหญ่ต้นเมื่อวานว่าคีลมาถึงหรือยัง เมื่อไม่เห็นใครนางก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที แม้นางจะบอกให้เขามาหลังเที่ยงก็ตาม
นางไปฝึกเวทย์กับอาจารย์ตามปรกติ แต่ใจก็คอยจดจ่อกับเวลาจนไม่มีสมาธิ เลยทำให้ถูกอาจารย์ดุเสียหลายที
“นี่เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน ทำไมถึงไม่มีสมาธิเอาขนาดนี้"
“คือ...ข้า”
“เอาล่ะ ๆ ถ้าวันนี้ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ก็ฝึกไม่ถึงไหนกันพอดี พอแค่นี้แหละ เจ้ากลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาฝึกต่อ แล้วถ้าพรุ่งนี้เจ้าขืนยังเป็นแบบนี้อยู่ ข้าจะทำโทษเจ้า”
“ได้ ๆ อาจารย์ พรุ่งนี้ข้าจะตั้งใจ” พูดจบนางก็รีบวิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ทันที
...แต่เขาก็ยังไม่มา...
ตะวันยังไม่ตรงศีรษะ ยังไม่ถึงเวลานัดหมาย ไม่น่าแปลกที่เขาจะยังไม่มา เฟยาเฝ้ารออย่างจดจ่อแต่เขาก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที จนเลยเวลานัดหมายก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา
“เดวา” เสียงเรียกทักดักก้องกังวาน พร้อมกับพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน และป่าที่เริ่มมืดสลัว
“เดวา” เด็กหนุ่มร้องตะโกนอีกรอบ เขารู้ตัวดีว่าตนเองมาสายขนาดไหน เหตุเพราะเมื่อวานเขาถูกจับได้ว่าแอบหนีเที่ยว วันนี้เลยถูกคุมตัวไม่ให้ออกไปไหน กว่าจะเล็ดลอดสายตาพวกองค์รักษ์ออกมาได้ก็แทบแย่
“โอ๊ย!” เฟยานั่งอยู่บนต้นไม้แล้วปาลูกสนที่เก็บไว้ใส่คีลไม่ยั้ง โทษฐานที่เขาทำให้นางรอ และตอนนี้นางก็โกรธเขามากด้วย
“เจ้ามาสาย” นางยังปาลูกสนใส่เขาไม่หยุด
“ข้าขอโทษ ๆ แต่นี่ข้ารีบมาที่สุดแล้วนะ”
“รีบประสาอะไรของเจ้าถึงมาเอาป่านนี้”
คีลรีบปีนต้นไม้ไปหานาง แต่นางก็ยังไม่ยอมหยุดทำร้ายเขา จนเขาขึ้นไปนั่งข้าง ๆ นาง นางก็เปลี่ยนจากปาลูกสนใส่เขา ตั้งท่าจะผลักเขาตกจากต้นไม้แทน
“หยุดก่อนเดวา ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธที่ข้ามาสาย ข้าขอโทษ แต่ข้ามีความจำเป็นจริง ๆ ข้าถูกขังไว้ในห้องเพราะถูกจับได้ว่าเมื่อวานข้าหนีเที่ยว”
นางชะงักมือไว้
“แล้วมีใครรู้รึเปล่าว่าเจ้าเข้ามาในป่าแห่งนี้”
“ไม่ ข้าไม่ได้บอกใครทั้งนั้น”
“ก็แล้วไป”
“ข้าดีใจจริง ๆ นะ ที่เจ้ายังรอข้าอยู่” คีลพูดจากใจจริง และนอกจากดีใจแล้ว เขายังรู้สึกผิดต่อนาง เขามาสายขนาดนี้แต่นางก็ยังคงรอเขาอยู่ จนเขารู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนไม่ได้เรื่อง
“ข้าก็ดีใจที่เจ้ายังไม่ลืมนัดของเรา ถึงจะมาช้า...ก็อภัยให้ได้ ว่าแต่วันนี้เจ้าจะเล่าอะไรให้ข้าฟังล่ะ”
“พอข้าออกจากนอร์ทการ์ดก็มาที่อีสการ์ดเลย ไม่ได้ไปที่อื่น...อืม ข้าเล่าเรื่องมิดการ์ดให้เจ้าฟังแล้วกัน เพราะข้าอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เด็ก ทุกซอกทุกมุมในมิดการ์ดข้ารู้หมด”
“ก็ดี...แต่เอ๊ะ!” เฟยารู้สึกสะกิดใจและนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้า...เจ้ามากับคณะขององค์รายาหรือ”
เด็กหนุ่มอึ้งไปพักใหญ่แต่ก็พยักหน้ารับในที่สุด
เฟยาคาดเดาเอาจากที่เขาและคนอื่น ๆ พูด นางได้ยินมาว่าก่อนที่องค์รายาจะมาเยือนที่อีสการ์ด ได้เยือนที่นอร์ทการ์ดมาก่อน และคีลก็โผล่มาในช่วงที่คณะขององค์รายามาถึงที่นี่พอดี
“ทำไมเจ้าถึงมากับคณะขององค์รายาได้ เจ้าเป็นใครกัน คีล”
“ข้า”
“อย่าคิดจะโกหกข้าเชียวนะ เมื่อใดข้าจับได้ว่าเจ้าโกหก เมื่อนั้นข้าจะเลิกคบกับเจ้าทันที ถึงข้าจะเป็นคนไม่มีเพื่อน แต่ข้าก็ไม่คิดจะมีเพื่อนที่โกหกข้าหรอกนะ” นางขู่และนางก็ทำจริง หากเขาโกหกนาง
“องค์รายาต้องการรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านแต่ละดินแดน ท่านถึงได้ออกเดินทางไปยังแต่ละดินแดนโดนเริ่มต้นที่นอร์ทการ์ด และท่านก็...พาข้ามาด้วย”
“ทำไมองค์รายาต้องพาเจ้ามาด้วย”
“เพราะข้า...ข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งรายาลำดับที่ 1 น่ะสิ” ถึงคีลจะบอกว่าเขาเป็นผู้สืบทอดลำดับที่ 1 หากในความเป็นจริงแล้ว มีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากรายา ไม่มีใครอื่น หรือลำดับอื่น ๆ ที่เป็นผู้สืบทอดนอกจากเขาอีก
“ไม่จริง ข้าเคยได้ยินว่าองค์รายาไม่มีบุตร”
“ถึงไม่มีบุตร ก็สามารถกำหนดผู้สืบทอดได้ ถึงองค์รายาจะมีบุตร แต่ผู้สืบทอดก็สามารถเป็นคนอื่นก็ได้”
เฟยาครุ่นคิด หากเขาพูดจริงก็หมายถึง... นางกำลังนั่งอยู่กับผู้ที่จะเป็นองค์รายาในอนาคตน่ะสิ
“ข้าต้องทำความเคารพเจ้าไหม” นางลองถามดู เพราะนางไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการยุ่งยาก
“เจ้าไม่ต้องทำความเคารพข้าหรอก แต่เจ้าควรจะให้ความเคารพข้าบ้าง แต่ในฐานะที่ข้าอาวุโสกว่าไม่ใช่เพราะข้าเป็นผู้สืบทอด ถ้าเจ้าเคารพข้าเพราะเหตุผลนั้นข้าคงอึดอัดแย่ ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อน ข้าไม่อยากให้ฐานะมาเป็นช่องว่างระหว่างเรา”
“ก็ดี” นางยักไหล่ “เจ้าพูดแล้วนะว่าข้าไม่ต้องเคารพเจ้าในฐานะผู้สืบทอด”
“แต่เจ้าก็ต้องเคารพข้าบ้างในฐานะที่ข้าอาวุโสกว่า”
เฟยาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ในเมื่อเป็นเพื่อนกันทำไมต้องคำนึงถึงอายุด้วยเล่า
“ข้าอยากรู้ว่าเป็นผู้สืบทอดต้องทำอะไรบ้าง เจ้าเล่าให้ข้าฟังสิ”
“เจ้าไม่อยากให้ข้าเล่าเรื่องของมิดการ์ดแล้วหรือ”
“ก็อยาก แต่ข้าอยากรู้เรื่องนี้ด้วย เจ้าได้อยู่ในปราสาทหรือไม่ ข้าเคยได้ยินว่าที่มิดการ์ดมีปราสาทด้วยแล้วข้างในปราสาทสวยไหม”
นางแสดงความอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้า คีลเห็นแล้วก็นึกเอ็นดูอดทำตามที่นางต้องการไม่ได้
“ก็อย่างที่เจ้าพูดนั่นแหละ ข้าอาศัยอยู่ในปราสาท และปราสาทที่มิดการ์ดก็สวยงามมาก ถ้ามีโอกาสข้าก็อยากพาเจ้าไปดู”
ปราสาทแห่งมิดการ์ดจะสว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน ให้ความอบอุ่นเมื่ออากาศหนาว และให้ความร่มรื่นเมื่ออากาศร้อน เป็นปราสาทที่ใหญ่โตและสวยงามมาก
ในขณะที่คีลเล่าเรื่องปราสาทและมิดการ์ดให้เฟยาฟังรอบตัวเฟยาและคีลก็มืดลงทุกขณะ นางคุยกับเขาได้พักเดียวก็ต้องจากกันอีกแล้ว นางจึงหันไปมองเขาอย่างคาดโทษ
“เพราะเจ้ามาช้า”
“ข้าขอโทษนะเดวา พรุ่งนี้ข้าจะมาให้ตรงเวลา แม้จะถูกขังอยู่ก็ตาม”
“เจ้าต้องรักษาคำพูดนะ” นางดีใจที่ได้ยินว่าเขาจะมาอีก
“ด้วยเกียรติแห่งรายาในอนาคต ข้าสัญญา”
ทั้งสองปีนลงจากต้นไม้เพื่อเตรียมตัวออกจากป่า เฟยาชูแขนขึ้นดังเช่นเมื่อวาน ทว่าคีลกลับห้ามนางไว้ เขากลัวถูกลูกไฟดวงใหญ่ของนางเผาเอาจริง ๆ
“เดี๋ยวก่อนเดวา ข้าเองดีกว่า เจ้าบอกว่ายังควบคุมพลังไม่ได้ เดี๋ยวก็ได้เผลอเผาป่าเข้าหรอก” เด็กหนุ่มร่ายมนต์บทสั้น ๆ ก็พลันเกิดดวงไฟ 2 ลูกสว่างนวลตา คอยส่องแสงนำทางแทนแสงของดวงจันทร์ที่ส่องลงมาไม่ถึง นำทางให้ทั้งคู่จนถึงทางออกของป่า
เมื่อเฟยากลับถึงบ้านก็เห็นครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาดังเช่นทุกวัน วันนี้นางเองก็ถูกท่านพ่อท่านแม่ดุเอาเช่นเคย ที่หายหัวเอาแต่เที่ยวเล่นทั้งยังกลับบ้านในเวลาดึกดื่น แต่นางก็เคยชินเสียแล้ว จึงทำหูทวนลมไว้เสีย เพราะถ้ามัวแต่เก็บเอาทุกคำพูดมาใส่ใจก็มีแต่จะทำให้ตนเองไม่สบายใจเสียเปล่า ๆ
บนโต๊ะอาหารพวกเขาพูดกันถึงเรื่องขององค์รายาและผู้สืบทอด ทำให้เฟยาที่ปรกติมักจะไม่ค่อยสนใจฟัง ต้องหูผึ่ง
“เจ้าได้เจอองค์รายาบ้างหรือไม่เฟเรีย” อัสคาถามลูกสาวอย่างใคร่รู้
“ข้าไม่เคยได้เจอองค์รายาเลยท่านพ่อ พอท่านอาจารย์สอนเวทย์ให้ข้าเสร็จ ท่านก็บอกให้ข้ากลับ หลังจากนั้นท่านอาจารย์ค่อยไปหาองค์รายา แต่ข้าได้ยินมาว่าองค์รายาพาผู้สืบทอดมาด้วย เห็นเขาว่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า หรืออาจจะแก่กว่าข้าไม่กี่ปี”
“รุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าหรือ” อัสคาหยุดมือ วางช้อนซุปลง
“แล้วเจ้าเคยเจอผู้สืบทอดบ้างหรือไม่” เมเรียถามอย่างใครรู้ แต่เฟเรียกลับส่ายศีรษะ
“เฮอะ! ผู้สืบทอดที่รุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าจะเก่งกาจสักเท่าใดกันเชียว” อัสคานึกดูแคลน “เด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกับเฟเรียของเรา ข้าไม่เห็นจะมีใครเก่งกาจเท่า แม้จะเป็นเด็กที่อายุมากกว่าก็ตาม เฟเรียเป็นถึงลูกศิษย์ของท่านผู้เฒ่า ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านผู้เฒ่าเป็นจอมเวทย์ระดับสูงที่เก่งกล้าสามารถ นางได้ท่านสั่งสอนจนตอนนี้เวทย์ของนางได้กล้าแกร่งขึ้นมาก เทียบได้กับจอมเวทย์ระดับล่าง อีกไม่นานนักนางก็จะได้เป็นจอมเวทย์ระดับสูง”
“แต่ว่าท่านพ่อ” เฟยาขัด “ลองเป็นผู้สืบทอดที่องค์รายาเลือกแล้ว เขาก็คงเก่งกาจไม่แพ้ใคร หากเฟเรียได้ท่านผู้เฒ่าสั่งสอน ผู้สืบทอดคนนั้นก็คงได้องค์รายาสั่งสอนเช่นกัน”
ปัง!!!
อัสคาตบโต๊ะเสียงดัง จนคนอื่น ๆ ต่างสะดุ้งไปตาม ๆ กัน
“เจ้าหุบปากไปเลยเฟยา เจ้าก็เห็นอยู่ว่าเฟเรียเก่งกาจเพียงใด แล้วเหตุใดเจ้าต้องเข้าข้างคนอื่น หรือว่าเจ้าอิจฉาเฟเรีย” อัสคาตวาดใส่เฟยาอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้อิจฉาเฟเรียนะท่านพ่อ ข้าแค่พูดไปตามเหตุผลเท่านั้นเอง”
ท่านพ่อไม่เคยเห็นใครดีไปกว่าเฟเรีย ลูกรักของท่านดีที่สุด เก่งกาจที่สุด จนบางครั้งเฟยาอดน้อยใจไม่ได้ที่ท่านพ่อลำเอียง
นางเห็นเวทย์มนต์ของคีลมากับตา ดวงไฟที่สว่างและสวยงามดั่งดวงจันทร์เช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนซึ่งใช้เวทย์มนต์ระดับทั่ว ๆ ไปจะทำได้ เขาต้องเป็นคนที่เก่งกาจแน่ๆ
ส่วนอัสคานั้นกลับคิดต่างออกไป หากองค์รายาได้เจอเฟเรียมาก่อน ท่านอาจจะเลือกให้นางเป็นผู้สืบทอดก็ได้ เพราะบุตรสาวของเขานั้นมีคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะด้านสติปัญญา หรือเวทย์มนต์ก็ตาม นางก็โดดเด่นเหนือใครในทุก ๆ ด้าน
ในวันต่อมา หลังจากเฟยาฝึกเวทย์กับอาจารย์เสร็จ นางรีบไปรอคีลที่ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม แต่เมื่อนางไปถึงก็พบว่าคีลรอนางอยู่แล้ว แต่สภาพของเขาดูอิดโรยต่างจากเมื่อวานไปมาก ดวงตาโหล ขอบตาดำคล้ำ เหมือนคนอดนอนแลดูไม่สดชื่น
“เจ้าอดนอนหรือคีล” เฟยาอดเป็นห่วงไม่ได้
“ข้าแค่นอนน้อยเท่านั้นเอง นี่เดวา...ข้ามีข่าวดีมาบอกเจ้า เจ้าเคยบอกว่าเจ้าควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้ใช่ไหม ข้าหาวิธีช่วยให้เจ้าควบคุมพลังของตัวเองได้แล้วนะ เมื่อวานพอข้ากลับไปก็นึกขึ้นได้วิธีหนึ่ง เลยไปขอค้นพวกตำราจากผู้เฒ่าแห่งอีสการ์ด” คีลรีบบอกนางอย่างกระตือรือล้น เพราะอยากให้นางดีใจ
“หรือว่าเจ้าหาวิธีช่วยข้าทั้งคืน”
“ไม่หรอก ข้าใช้เวลาไม่นานศึกษาตำราพวกนั้น แต่วิธีที่จะช่วยเจ้ามันค่อนข้างยุ่งยาก และซับซ้อน ข้าเลยลองร่ายเวทย์ทั้งคืน แต่ผลออกมาก็ยังไม่เป็นดั่งใจ เจ้าอดใจรอสักนิดนะ ข้าจะช่วยเจ้าให้ได้”
เฟยาซาบซึ้งในน้ำใจของคีลนัก เขาเจอนางแค่ไม่กี่วันแต่เขากลับใส่ใจในคำพูดของนางและยังช่วยเหลือนางโดยที่นางยังไม่ได้ออกปากด้วยซ้ำ
“เจ้าดีกับข้าจริง ๆ ข้าดีใจเหลือเกิน ดีใจจน...จนน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว” นางโผเข้ากอดเขาในทันทีโดยไม่ทันคิดถึงความเหมาะสม นางเพียงดีใจเท่านั้นและนางก็อยากจะขอบคุณเขาเหลือเกิน
“เจ้า...ช่วยออกห่างจากข้าสักนิดเถอะ ข้าว่า...มันชิดเกินไปแล้ว” คีลตั้งตัวไม่ทัน ไม่นึกว่าจะโดนเด็กสาวจู่โจมอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ จนรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังหน้าแดง
“อ...เอ่อ ข้า ข้าขอโทษ” เฟยาเองก็เก้อเขินไม่ต่างจากคีล “เจ้าอดนอนอย่างนี้ ไม่ใช่สิ...เจ้านอนน้อยจนอิดโรยเพราะข้า ข้าว่า”
นางนั่งใต้โคนต้นไม้ หลังพิงกับต้นไม้แล้วเหยียดขา และตบที่ตักขาตัวเองเบา ๆ
“ถ้าเจ้าง่วงนอน เจ้านอนตรงนี้ก็ได้นะ หนุนตักข้าแทนหมอนแล้วกัน ป่าแห่งนี้ร่มรื่นสบายแถมยังไม่สว่างมากนัก ข้าคิดว่ามันต้องทำให้เจ้าหลับสบายแน่ ๆ”
นางไม่รู้จะตอบแทนอะไรเขาได้ สิ่งที่ทำอยู่นี่ก็แค่เรื่องเล็กน้อยที่นางสามารถทำเพื่อเขาได้
คีลเห็นท่าทางของเฟยาก็ตกใจเล็กน้อย แต่เพราะรู้ว่านางหวังดีต่อเขา เขาจึงไม่ปฎิเสธน้ำใจของนาง
“งั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” เขานอนหนุนตักนางและหลับตาลง ใต้เงาต้นไม้ใหญ่ สถานที่อันร่มรื่น ลมโชยเบา ๆ หอมกลิ่นต้นไม้ ดอกไม้ ทำให้เขาผ่อนคลาย และหลับลงในเวลาอันสั้น
เฟยาพยายามนั่งนิ่ง ๆ ขยับตัวให้น้อยที่สุด เกรงว่าหากขยับตัวแรงไปจะทำให้เขาตื่น แต่เขาก็หลับลึกจนนางคาดไม่ถึง และกว่าเขาจะตื่น ในป่าก็มืดมากแล้ว
และเมื่อคีลตื่นขึ้นมาในป่าก็มืดสนิท ถึงเวลาที่เขาและนางต้องแยกย้ายกลับที่พักของตน
“วันพรุ่งนี้ข้าอาจมาพบเจ้าไม่ได้” คีลออกตัว “เรื่องที่ข้าแอบหนีเที่ยวรู้ถึงหูองค์รายาแล้ว ข้าคงออกมาจากที่พักไม่ได้ง่าย ๆ แต่ระหว่างที่ข้ามาหาเจ้าไม่ได้ ข้าจะพยายามฝึกเวทย์ให้สำเร็จ แล้วจะช่วยเจ้าให้ได้” คำพูดของเขาเป็นดั่งคำสัญญาที่ให้ไว้กับเฟยาและโดยเฉพาะกับตนเอง ก่อนจะออกจากอีสการ์ดเขาต้องช่วยนางให้จงได้
“ข้าขอบใจเจ้ามากนะ เจ้าเองก็อย่าหักโหมนักถึงจะช่วยข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เจ้าคิดจะช่วยข้า ข้าก็ซึ้งใจมากแล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้าอดหลับอดนอน หรือล้มป่วยเพราะข้า ถึงอย่างไรข้าก็อยากให้เจ้านึกถึงตัวเองมาก่อน”
“ข้าจะไม่ให้ตัวเองล้มป่วย และข้าจะต้องช่วยเจ้าให้ได้”
แม้ว่าคีลจะบอกกับนางว่าเขาอาจจะมาไม่ได้ แต่นางก็อดที่จะรอเขาไม่ได้ ในส่วนลึกยังคาดหวังว่าเขาจะมา
แต่เขาก็ไม่มา
หนึ่งวันผ่านไปแล้ว
สองวันผ่านไปแล้ว
ล่วงเข้าสู่วันที่สาม นางก็ยังไม่เจอเขาจนกังวลไปหมด
หรือว่าเขาถูกกักอยู่ในที่พักไม่สามารถออกมาได้...ถ้าเป็นเช่นนั้น นางจะได้เจอเขาอีกไหม
คิดได้ดังนั้น ใจนางก็ร้อนรุ่ม อยากรู้ว่าคีลเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้ บางทีเขาอาจจะฝึกเวทย์จนล้มป่วย
เฟยาเริ่มคิดในแง่ร้ายมากขึ้น นางกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับคีล ...นางเป็นห่วงเขา
... นางตัดสินใจแล้ว ...
นางอยากรู้ว่าเขายังสบายดีอยู่หรือไม่ นางจะไปหาเขา
เฟยารีบรุดไปยังที่พำนักหลังใหญ่ขององค์รายา นางสังเกตุการณ์อยู่โดยรอบ แต่อาคารหลังใหญ่กลับไม่มีจุดใดที่ให้นางสามารถแอบลอบเข้าไปได้ ทุกทางเข้าออกมีองค์รักษ์เฝ้าอยู่อย่างน้อย 2 คน แน่นหนาเสียจนนางคิดไม่ออกว่าจะเข้าไปข้างในได้อย่างไร
...แล้วคีลหนีออกมาได้อย่างไร?...
“ทำอย่างไรดีเล่า ท่านคีลไม่ยอมแตะอาหารมาหลายมื้อแล้ว ขืนยังเป็นอย่างนี้ข้ากลัวจะถูกท่านผู้นำกล่าวโทษเอา”
เฟยาได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่ไม่ไกลจากจุดที่นางแอบซุ่มอยู่ เสียงดังเสียจนเรียกความสนใจของนางให้แอบเข้าไปดูใกล้ ๆ อยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
หญิงสาวกลุ่มใหญ่ยืนจับกลุ่มคุยกันจอแจ เฟยาเขยิบเข้าไปใกล้จึงได้ยินว่าพวกเขาพูดถึงคีล
“หรือว่าอาหารไม่ถูกปากท่าน”
“นี่ข้าก็ยกสำรับไปให้ท่านเลือกตั้งมากมาย แต่ท่านก็ไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะแลด้วยซ้ำ”
เมื่อเฟยาได้ยินว่าคีลไม่ยอมแตะต้องอาหาร ก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง นางมองสำรับอาหารที่วางทิ้งไว้ตั้งมากมาย ก็ให้เกิดความคิด
นางเข้าไปหาพวกสาว ๆ ที่ยืนคอตกอย่างเป็นกังวล และเสนอตัวเป็นคนยกสำรับเข้าไปให้
“เจ้าเองหรือเฟเรีย” สาวนางหนึ่งทักเฟยา
“ข้าไม่ใช่เฟเรียหรอก ข้าเฟยา” นางแก้ความเข้าใจผิด บ่อยครั้งนักที่มีคนทักนางว่าเป็นเฟเรีย
“เจ้าแน่ใจหรือเฟยา ที่ข้าถามใช่ว่าข้าขัดข้องที่เจ้าอาสาหรอกนะ ข้ารู้ว่าเจ้าคงอยากเห็นหน้าผู้สืบทอดเหมือนกัน แต่อาหารตั้งมากมายที่พวกข้ายกไปให้ท่าน พวกข้าต้องยกกลับออกมาโดยที่ท่านไม่แตะต้องเลยสักนิด”
“ใช่ ๆ พวกข้าเวียนกันยกสำรับเข้าไปห้อง อาหารหรือก็มีหลากหลายให้เลือก...แต่ก็เหลวทุกราย ถึงเจ้าจะอาสา แต่ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้”
แม้ว่าพวกนางจะไม่เชื่อฝีมือของเฟยาแต่นางก็ไม่ยอมแพ้ อย่างน้อยนางต้องพบคีลให้ได้
“ให้ข้าลองเถอะนะ ข้าเคยได้ยินมาว่าผู้สืบทอดอายุไม่ต่างจากข้ามากนัก บางทีคนวัยเดียวกันอาจเข้าใจความคิดของกันและกันก็ได้นะ”
พวกนางอับจนปัญญา จึงให้เฟยาเป็นคนยกสำรับเข้าไปให้ แม้ว่าผลที่ออกมาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนที่พวกนางไม่ต้องถูกท่านผู้เฒ่าหรือองค์รายากล่าวโทษ พวกนางก็จะลอง
“ตามใจเจ้า”
“ขอบคุณพี่สาวทั้งหลาย เอ่อ...ข้าขอร้องพวกท่านอย่าบอกเรื่องที่ข้ามาที่นี่กับใครเลยนะ หากท่านพ่อข้ารู้ว่าข้ามาเที่ยวเล่นแถวนี้ ข้าต้องถูกท่านพ่อโกรธเอาแน่เลย”
“วางใจเถอะ พวกข้าจะเก็บเงียบไว้”
เฟยายกสำรับเข้าไปให้คีลโดยมีหญิงสาวอีกนางหนึ่งตามนางเข้าไปด้วย ก่อนจะเข้าไปข้างในที่พำนัก หญิงสาวที่ตามมาด้วยได้บอกกับองค์รักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่าเฟยาเป็นคนงานฝึกหัด องค์รักษ์ทั้งสองจึงให้พวกนางเข้าไปข้างในได้
ที่พำนักหลังใหญ่ขององค์รายาช่างดูโอ่โถงและหรูหรา กระเบื้องเคลือบ ของประดับ สินค้าชั้นดีต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางตกแต่งอย่างไว้อย่างสวยงาม ทุกตารางบนพื้นปูด้วยพรมอย่างดี ประตูหน้าต่างถูกสลักเสลาเป็นลวดลายงดงามวิจิตร
เฟยามองสำรวจที่พำนักอย่างตื่นตาตื่นใจ มองเพลินจนเกือบลืมจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้
“ห้องนี้แหละ” พวกนางหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งเด็กสาวคาดว่าคงเป็นห้องของคีล
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก รีบออกมาล่ะ”
“ค่ะ” เฟยารับคำแล้วยกสำรับเข้าห้องไปโดยมีหญิงสาวที่มาด้วยกันเป็นคนเปิดประตูให้
ห้องของคีลกว้างขวางและเต็มไปด้วยตำรากองสุมกันไว้มากมายหลายกอง นางเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งหันหลังให้อยู่ท่ามกลางกองตำราที่สูงท่วมหัว
“ข้ายกสำรับมาให้ เจ้าค่ะ”
เด็กหนุ่มยังคงนั่งหลังหันให้ ไม่สนใจผู้มาเยือนจนรู้สึกไม่สบอารมณ์
“ข้ารอเจ้าอยู่ที่ป่าตั้งหลายวัน แต่เจ้าก็ไม่โผล่มาเสียที ปล่อยให้ผู้หญิงรออย่างนี้ เจ้าเป็นผู้ชายที่แย่มากเลยรู้ไหม”
“...เดวา” คีลรีบหันหลังกลับไปดู ก็เห็นเฟยายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาแปลกใจแต่ก็ดีใจที่ได้เห็นนาง จึงรีบลุกและเดินไปหานาง แต่รอบตัวเขามีแต่กองตำรา เมื่อไม่ทันระวังจึงสะดุดกับตำราที่กองไว้ล้มระเนระนาด กระจัดกระจายไปหมด
“เจ้ามาได้อย่างไร” เขาถามนางขณะกำลังเก็บกองตำราให้เข้าที่โดยมีเฟยาคอยช่วย “ข้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้เลย เกรงอยู่ว่าเจ้าจะโมโหที่ข้าไม่ได้ไปหา แต่ข้าดีใจมากเลยที่เจอเจ้าที่นี่”
“เจ้าโง่!” เฟยาตวาดใส่คีล “ถ้าเจ้ากลัวว่าข้าจะโกรธ เจ้าก็หาทางหนีออกไปสิ ไม่ใช่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ยอมแตะอาหาร แล้วอย่างนี้เจ้าจะมีแรงหนีได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังทำให้คืนอื่น ๆ เขาเดือดร้อนกันไปหมด รู้ไหมว่าพวกพี่สาวที่อยู่ข้างนอกเขากังวลมากแค่ไหนที่เจ้าไม่ยอมทานอาหาร หากเจ้าล้มป่วยไป พวกนางไม่พ้นต้องถูกลงโทษ...สำนึกบ้างไหม”
“ส...สำนึกแล้ว” คีลหน้าจ๋อยไปถนัด นอกจากองค์รายาแล้วก็มีเด็กสาวคนนี้นี่แหละที่กล้าตวาด กล้าสั่งสอนเขา
“งั้นเจ้าก็ทานข้าวซะ ข้าจะต้องออกไปแล้ว”
“หา...เดี๋ยวสิ” คีลรั้งแขนนางไว้ไม่ให้ไปไหน “เจ้าอยู่ต่ออีกสักนิดเถอะนะ”
“ข้าต้องรีบออกไปแล้ว หากอยู่นานคนอื่นจะสงสัยเอาได้ เพราะข้าแค่ยกสำรับมาให้เจ้าเท่านั้น และตอนนี้ก็มีคนยืนคอยข้าอยู่ที่หน้าห้องด้วย”
คีลยังอยากอยู่คุยกับเฟยา เขาจึงยอมไม่ได้ที่จะให้นางจากไปในเวลานี้
“ข้ายังอยากให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุยด้วยอีกสักหน่อย... ข้านึกออกแล้ว” คีลเดินไปที่ประตูแล้วตะโกนให้คนที่อยู่ข้างนอกห้องเข้ามา เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถแม้แต่จะแตะต้องประตูห้องได้ เพราะองค์รายาสร้างเขตอาคม กักบริเวณเขาไว้ไม่ให้เขาออกไปไหนได้
เพียงครู่เดียวหญิงสาวที่ยืนรอเฟยาอยู่ด้านนอกก็เข้ามาในห้อง
“ข้าอยากสอบถามอะไรเด็กสาวผู้นี้เสียหน่อย ข้าสามารถรั้งตัวนางให้อยู่คุยกับข้าก่อนได้หรือไม่” คีลถามหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามา
“ได้เจ้าค่ะ” นางรีบตอบตกลงอย่างลนลาน
“ก็ดี...อ้อ ข้าขอบใจพวกเจ้ามากนะเรื่องสำรับอาหาร และก็ขอบใจที่พวกเจ้าอดทนกับความเอาแต่ใจของข้า ตอนนี้ข้าเริ่มหิวแล้ว เจ้ายกสำรับมาให้ข้าเพิ่มได้หรือไม่”
“ได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวเผยยิ้มออกมาอย่างโล่งอก แล้วรีบวิ่งออกไปยกสำรับอาหารตามที่คีลต้องการ ใช้เวลาเพียงไม่นาน อาหารมากมายได้ถูกจัดเรียงไว้เต็มโต๊ะ
“เจ้าอยู่ทานอาหารเป็นเพื่อน...” ไม่ทันที่คีลจะพูดจบ เขาก็เห็นเฟยาใช้ส้อมจิ้มขนมใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย
“นี่...อาหารพวกนี้เขายกมาให้ข้านะ” เด็กหนุ่มท้วง
“เจ้าอย่างกไปหน่อยเลย อาหารตั้งมากมายต่อให้เจ้าหิวขนาดไหน ก็ทานคนเดียวไม่หมดอยู่ดี ข้าช่วยเจ้าทานน่ะถูกแล้ว”
คีลหัวเราะออกมา เด็กสาวคนนี้อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจทุกครั้ง เพราะท่าทางของนางแสดงออกอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าบางครั้งนางจะซุกซน และซุ่มซ่ามตามประสา แต่ยังดูน่ารักน่าเอ็นดู
อาหารมากมายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าทำให้ท้องของคีลซึ่งไม่ได้ทานอะไรมาหลายมื้อเริ่มประท้วงด้วยความหิว เมื่อเห็นเด็กสาวทานเอา ๆ เขาจึงต้นรีบทานอาหารพวกนั้นก่อนที่นางจะแย่งเขากินจนหมด
“โอย...ท้องจะแตก” เด็กทั้งสองนั่งอยู่กับพื้นเอามือลูบท้องเพื่อคลายความอึดอัดที่ทานอาหารอันแสนจะเอร็ดอร่อยเข้าไปจนเต็มคราบ
“เจ้าโชคดีชะมัด ได้ทานอาหารอร่อย ๆ อย่างนี้ทุกวัน ...เมื่อใดที่เจ้าอยากอดข้าวประท้วงอีก ก็เก็บอาหารพวกนั้นไว้ให้ข้าแล้วกัน ข้าเสียดาย”
“นี่เจ้าอดอยากมาจากไหน ถึงกินเสียเยอะแยะขนาดนี้ ขนาดข้าไม่ได้ทานอะไรมาหลายมื้อยังกินได้ไม่ถึงครึ่งของเจ้า”
“ข้าอยู่ในวัยกำลังกินกำลังโต ก็เลยต้องกินเยอะ เจ้านั่นแหละที่กินน้อยเกินไป ข้านึกว่าเด็กผู้ชายจะกินเยอะกว่านี้เสียอีก”
เด็กผู้ชายกินเยอะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ตัวเขาเองก็คิดว่าตนเองกินเยอะแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับเด็กสาวคนนี้
กินจุอย่างนี้ โตขึ้นนางมีหวังอ้วนเป็นตุ่มแน่
“เดวา พรุ่งนี้ข้าจะได้เจอเจ้าอีกไหม” พรุ่งนี้เขาก็ยังออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากเจอนางอีก
“พรุ่งนี้ข้าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว หากเรื่องที่ข้ามาหาเจ้ารู้ถึงหูท่านพ่อของข้า ไม่วายจะโดยซักไซร้ ข้าไม่อยากตอบ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าอาจไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องเดินทางออกจากอีสการ์ดแล้ว” คีลบอกข่าวร้ายแก่เฟยา ถ้าทำได้เขาเองก็อยากอยู่ที่นี่ต่อให้นานขึ้นอีกสักหน่อย
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ เฟยาสีหน้าสลดลง นางคิดไว้อยู่แล้วว่าสักวันเขาต้องจากไป แต่ไม่นึกว่ามันจะเร็วถึงเพียงนี้
การจากลาไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย
“ถ้าเจ้าไม่มาที่นี่ ข้าก็จะหาโอกาสไปหาเจ้าเอง ก่อนจะออกจากอีสการ์ดข้าจะหาทางไปหาเจ้าให้ได้” เขาไม่คิดจะบอกลานางในตอนนี้ เพราะมีสิ่งหนึ่งที่เขายังทำไม่สำเร็จ
“เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็จะรอ”
เฟยารอคีลอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมทุกวัน หลังจากฝึกเวทย์กับอาจารย์เสร็จ นางก็จะปีนต้นไม้ไปนั่งรอเขา รอจนรอบกายมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงของดวงจันทร์
นางยอมถูกต่อว่าเมื่อกลับถึงบ้านช้า แต่นางอยากให้แน่ใจว่าเขามาไม่ได้จริง ๆ นางไม่อยากคลาดกันเมื่อเขามาถึง นางรอเขาอยู่หลายวันจนได้ข่าวว่าคณะของรายใกล้จะออกจากอีสการ์ดและเดินทางต่อไปยังเซาท์การ์ด ใจนางเริ่มกระวนกระวาย แต่ก็ยังพยายามทำใจเย็น นางเชื่อว่าเขาจะต้องไม่ผิดคำพูด
ผ่านไป 4 วัน จนถึงวันพระจันทร์สีเลือด
วันที่ดวงจันทร์จะกลายเป็นสีแดง ในรอบหนึ่งปีจะมีเพียงวันเดียวที่ดวงจันทร์กลายเป็นสีแดง ท้องฟ้ายามค่ำคืนจะถูกอาบไปด้วยแสงทึม ๆ ของสีแดงแทนที่จะเป็นสีเหลืองนวลตามปกติ
ว่ากันว่าดวงจันทร์สีเลือดจะนำโชคร้ายมาให้ ผู้ใดที่ได้อาบแสงสีแดงจากดวงจันทร์ก็เปรียบกับได้อาบเลือดและความหายนะ จึงทำให้ในค่ำคืนนี้ผู้คนในอีสการ์ดต่างหลบอยู่ในบ้านไม่ยอมออกมา ประดูจะปิดสนิทไม่ยอมรับแขกผู้มาเยือน หน้าต่างจะถูกปิดด้วยผ้าหรือกระดาษสีดำ ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้แสงสีแดงแห่งความโชคร้ายลอดเข้ามาภายในบ้าน
เฟยาและเฟเรียถูกไล่ให้ขึ้นห้องตั้งแต่หัวค่ำ พร้อมกับถูกกำชับว่าไม่ให้เปิดหน้าต่างแม้อากาศร้อนหรือรู้สึกอึดอัดสักเพียงใด
หลังจากที่เฟยาและเฟเรียแยกย้ายกันเข้าห้อง เฟยาได้ลงกลอนประตูไว้แล้วนำเสื้อคลุมยาวออกมาจากตู้ รอจนแน่ใจว่าคนในบ้านหลับกันหมด นางจึงสวมชุดคลุมยาวไว้กับตัวแล้วแง้มหน้าต่างออก ขัดคำสั่งของผู้เป็นพ่อและแม่
นางค่อย ๆ ปีนออกทางหน้าต่างอย่างระมัดระวัง แล้วมุ่งหน้าสู่ป่าต้องห้ามในทันทีเมื่อเท้าแตะถึงพื้น เฟยาได้ข่าวมาว่าคณะขององค์รายาจะเดินทางออกจากอีสการ์ดในวันพรุ่งนี้แล้ว เหลือเพียงวันนี้อีกวันเดียวที่นางจะสามารถเจอคีลได้ ...หากเขามาตามสัญญา
นางไม่สนว่าวันนี้พระจันทร์จะสีอะไร จะนำโชคดีหรือโชคร้ายมาให้ นางรู้แค่ว่าถ้าวันนี้นางไม่ได้ไปรอคีลที่ป่าต้องห้าม นางจะต้องรู้สึกเสียใจไปอีกนาน ถึงแม้ว่าคีลจะมาหรือไม่มาตามนัด
แล้วเมื่อไปถึงต้นไม้ใหญ่ที่นางได้นั่งรอทุกวัน นางก็เห็นคีลนั่งรอนางอยู่ใต้ต้นไม้ก่อนแล้ว
“คีล” น้ำเสียงตื่นเต้น บอกได้ดีว่าเฟยาดีใจขนาดได้ที่ได้เจอเขา
“โชคดีจริง ๆ ที่ข้ายังรอเจ้าอยู่” เขาเข้ามาในป่าต้องห้ามเมื่อฟ้ามืดลงแล้ว “ดึกป่านนี้ข้านึกว่าจะไม่เจอเจ้าเสียแล้ว”
“แล้วเจ้าออกมาได้อย่างไร” นางเป็นห่วงเขา
“ข้าแอบหนีออกมา เห็นว่าวันนี้ทุกคนในอีสการ์ดต้องอยู่แต่ในที่พักห้ามออกมาข้างนอก องค์รายาก็คงคิดว่าข้าคงไม่กล้าหนีออกมา เวรยามก็เลยหละหลวมไปด้วย ข้าเลยมีจังหวะหนีออกมาพบเจ้าได้”
ใจที่ลิงโลดอยู่เมื่อครู่ได้วูบหาย เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอคีลอีกแล้ว เขาเป็นเพื่อนคนแรกของนาง นางยังอยากคุย อยากเล่นกับเขาต่อ ไม่อยากให้เขาจากไปไหน
“เมื่อเจ้าจากไปแล้ว ข้าจะได้เจอเจ้าอีกไหม” นางถามอย่างมีความหวัง
เด็กหนุ่มตอบไม่ได้ หลังจากนี้เขาต้องติดตามองค์รายาไปยังดินแดนต่าง ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด และยังต้องศึกษาเวทย์มนต์และการปกครองเพื่อขึ้นเป็นองค์รายาองค์ต่อไป เป็นไปได้ว่าชั่วชีวิตนี้เขาอาจไม่ได้พบหน้านางอีก
แต่เขายอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้
“ต้องได้เจอกันสิ ข้าจะกลับมาหาเจ้าแน่นอน เพียงแต่ว่า...ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใด อาจจะอีก 1 ปี 2 ปี 10 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น”
“ข้ารอได้” นางรีบตอบ หลายวันก่อนเขาบอกว่าจะมาหานางก่อนออกจากอีสการ์ด เขาก็ได้ทำตามคำพูดที่ให้ไว้อย่างดี และในครั้งนี้นางก็เชื่อว่าเขาจะรักษาคำพูด
“จะอีกกี่ปีข้าก็รอได้” นางพูดอย่างมั่นใจ “เอาอย่างนี้ดีกว่า ในวันนี้ของทุก ๆ ปี วันที่เกิดพระจันทร์สีเลือดข้าจะมารอเจ้าที่ต้นไม้ต้นนี้ ถ้าเจ้าไม่มาก็ไม่เป็นไร ข้าก็จะรอปีต่อไป ปีต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าเจ้าจะมา”
“ข้าให้สัญญา ข้าจะมาหาเจ้าให้ได้” คีลพูดจาหนักแน่นเหมือนจะย้ำตนเองว่าเขาจะต้องทำให้ได้
คีลหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ แล้วเริ่มร่ายเวทย์ เขาจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่ต้นไม้ เพื่อว่าเมื่อใดที่เขากลับมาอีกครั้ง เขาจะได้จำได้ว่าต้นไหนคือจุดนัดพบระหว่างเขาและนาง
เมื่อเขาร่ายเวทย์จบ พลันเกิดแสงระยิบระยับรอบต้นไม้ใหญ่แลดูสวยงามแต่เวลาเพียงไม่นานแสงก็จางหายไปเหลือไว้แต่ความมืด
“ข้าจะเรียกต้นไม้ต้นนี้ว่า ‘ต้นเดวา’ นะ”
“เอ๋ นั่นมันชื่อข้านี่” เหตุใดต้องเอาชื่อที่อาจารย์ตั้งให้นาง ไปตั้งชื่อต้นไม้กัน
“ก็เพราะว่ามันคือชื่อของเจ้าน่ะสิ ข้าเจอเจ้าครั้งแรกก็ที่ต้นไม้ต้นนี้ ข้าก็เลยอยากตั้งชื่อมันตามชื่อของเจ้า”
“ได้ อย่างนั้นข้าก็จะถือว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นของข้า” คีลหัวเราะกับความคิดของนาง แต่จะว่าไปแล้ว ต้นไม้เป็นชื่อของนาง มันก็คงจะเป็นต้นไม้ของนางไม่ผิด กลายเป็นว่าเขายกต้นไม้ต้นนี้ให้นางไปเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ต้นไม้ของเขาเสียหน่อย
“เดวา เจ้าจำได้หรือไม่ที่ข้าเคยบอกว่าจะช่วยเจ้าหาวิธีควบคุมพลังของตนเอง”
“ได้สิ...แล้วเจ้าหาวิธีได้แล้วหรือ”
“ย่อมต้องได้อยู่แล้ว เจ้ามานี่สิ” คีลกวักเรียกให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ แล้วทาบฝ่ามือที่หน้าผากของนาง
พลังของนางมากมายมหาศาลกว่าที่เขาคาดไว้มากมายนัก ไม่สิ...มันมากมายเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง
มิน่าเล่า นางถึงควบคุมพลังของตนเองไม่ได้
คีลเริ่มไม่แน่ใจว่าจะสามารถช่วยนางได้หรือไม่ แต่เขารับปากนางไว้แล้ว เขาก็ต้องทำให้ได้
“ข้าจะสะกดพลังของเจ้าไว้” คีลบอกวิธีที่จะช่วยนาง
“เจ้าว่าอะไรนะ” เฟยาตกใจเมื่อได้ยินว่าเขาจะสะกดพลังของนางไว้
“อย่าเพิ่งตกใจไปเดวา ข้าแค่จะสะกดพลังของเจ้าไว้บางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ข้ารับรองว่าเจ้ายังสามารถใช้เวทย์ได้เช่นเดิม และยังสามารถควบคุมได้ดีกว่าเก่าด้วย”
“แน่นะ” นางถามเพื่อความมั่นใจ นางยังอยากใช้เวทย์ได้อยู่
“แน่สิ เพียงแต่ว่า...” คีลเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกเรื่องสำคัญแก่นาง “เจ้าจะไม่สามารถใช้เวทย์ได้มากมายเหมือนที่ผ่าน ๆ มา”
“หา...แล้วถ้า ถ้าหากว่าข้าเจออันตรายแล้วต้องใช้พลังมากล่ะ ข้าจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ...ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
พลังเวทย์มหาศาลที่นางมี ด้อยค่าลงไปถนัดเมื่อเทียบกับคำพูดที่ว่าเขาจะปกป้องนาง ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านมาถึงหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างน้อยในชีวิตนี้ก็มีใครสักคนที่เห็นว่านางมีค่า และคิดจะปกป้องนางด้วยใจจริง
“ข้าตกลง” นางยินยอมให้คีลสะกดพลังของนางแต่โดยดี
“เช่นนั้น เจ้าหันหลังให้ข้าสิ แล้ว...เอ่อ แล้วเจ้าถ...ถลกเสื้อขึ้นได้หรือไม่” เด็กหนุ่มพูดจาตะกุกตะกักกึ่งกล้า ๆ กลัว ๆ
“จ...เจ้า เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” เฟยากุมคอเสื้อไว้แน่น “เจ้าเป็นผู้ชายประเภทนี้หรอกหรือ”
“ไม่ใช่นะ เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด” คีลรีบแก้ความเข้าใจผิด “การจะสะกดพลังอีกฝ่ายได้ไม่สามารถกระทำโดยมีสิ่งอื่นขวางกั้นได้ ปรกติแล้วมักจะสะกดตรงที่หน้าผาก หรือข้อมือ แต่...สำหรับเจ้ามันไม่ได้ เพราะพลังของเจ้ามีมากเกินไป”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าโกหกข้าเพราะคิดจะหลอกลวนลามข้านะ”
“ข้าไม่ได้หลอกเจ้า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” คีลเดินไปหยิบเศษท่อนไม้ขนาดเหมาะมือแล้วยืนมันให้เฟยา
“หากข้าลวนลามเจ้า เจ้าก็เอาไม้นี่ฟาดหัวข้าได้เลย ข้าไม่หลบด้วยเอ้า”
“ดี” เฟยารับท่อนไม้จากคีล แต่ก็ยังไม่วายจะระแวง
“ทีนี้เจ้าก็หันหลังมาเสียที”
นางยังสองจิตสองใจไม่กล้าหันหลังให้ แต่ก็อยากให้เขาช่วย ...เฮ้อ นางควรทำอย่างไรดีนะ
“เจ้าห้ามลวนลามข้าเด็ดขาดนะ แล้วเจ้าต้องหลับตาด้วย”
“ข้าไม่กระทำเยี่ยงคนถ่อยแน่นอน”
ในเมื่อลงว่าเชื่อใจเขาแล้วตั้งแต่ต้น นางก็จะพยายามเชื่อใจเขาในครั้งนี้ด้วย เมื่อเห็นว่าคีลหลับตาสนิทเป็นแน่แล้ว นางจึงนั่งหันหลังใกล้ ๆ เขาแล้วค่อย ๆ ถลกเสื้อด้านหลังขึ้น แต่ก็ยังเหลียวมองมาข้างหลังบ่อย ๆ ว่าคีลไม่ได้ลืมตาแน่ ๆ
“ข้าเปิดเสื้อด้านหลังแล้ว” นางตอบอย่างอาย ๆ
คีลที่ยังหลับตาควานหาแผ่นหลังของนางอย่างสะเปะสะปะ จนฝ่ามือหยาบสัมผัสกับผิวสัมผัสเนียนละเอียด ความร้อนจากปลายนิ้วของเด็กหนุ่มค่อย ๆ แล่นสู่ใบหน้าของทั้งสองจนแดงซ่านทั้งคู่
“เจ้านั่งนิ่ง ๆ นะ ข้าจะเริ่มร่ายเวทย์แล้ว” คีลเริ่มร่ายเวทย์ที่เขาท่องจำมาอย่างแม่นยำ พลังจากตัวเขาเริ่มไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง คอยสะกดพลังของนางไว้ตามที่เขาต้องการ หากมันไม่ง่ายเลยเมื่อพลังของนางมีมากมายขนาดนี้
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ แผ่นหลังของเฟยาเริ่มแดงฉานราวกับมีเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาตามไรผม นางรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่กลางกองเพลิง แต่นางยังคงอดทนไม่ขยับเขยื้อน หรือร้องออกมาแต่อย่างใด
จนฝ่ามือของเด็กหนุ่มผละออกจากแผ่นหลังของเฟยา
“ส...เสร็จแล้ว” เสียงของคีลเหนื่อยหอบเหมือนคนใกล้หมดแรง เขาหงายหลังล้มลงนอนกับพื้นในทันที ทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ส่วนเฟยาเองก็เอนตัวล้มลงใกล้ ๆ กับเขา
“เดวา เจ้าไม่เป็นอะไรนะ” แม้ว่าจะเขาจะใกล้หมดแรงเต็มที แต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงเด็กสาวอีกคน
“อือ” นางตอบแม้จะรู้สึกว่าตัวเองตัวร้อนเหมือนเป็นไข้
“เดวา”
“หืม”
“ข้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าแน่นอน ข้าจะกลับมา...มาหาเจ้า”
“ข้าจะรอ” เสียบแหบแห้งแต่หนักแน่นเต็มและไปด้วยความเชื่อมั่น ...นางจะรอเขา รอจนถึงวันที่เขาจะกลับมาพบนางอีกครั้ง
การสะกดพลังครั้งนี้ ทั้งสองไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพลังที่ถูกสะกดนั้นมากมายว่าที่คิดไว้แค่ไหน การช่วยเหลือสามารถกลายเป็นการทำร้ายได้ในอนาคต และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กทั้งสองอาจทำให้ต้องพบเจอกับปัญหาที่จะตามมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น