หน้าเว็บ

บทที่ 4 : ตราสะกด


                คีลออกเดินทางไปเซาท์การ์ดแล้ว ตั้งแต่นั้นชีวิตของเฟยาก็หงอยเหงาลงทันที ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูน่าเบื่อไปหมด
                เดวา...เดวา
                ห...หา อาจารย์ ท่านเรียกข้าทำไม
                ข้ากำลังให้เจ้าเลือกว่าจะใช้อาวุธอะไร แล้วนี่... เจ้าเหม่อลอยอีกแล้ว เจ้ามีปัญหารึ
                เปล่า ๆ คือ...ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะเลือกใช้อะไรดี นางแก้ตัวเอาตัวรอด ข้า... ข้าเลือก เลือกดาบแล้วกัน
                อาจารย์กำลังสอนให้นางสร้างอาวุธเวทย์ โดยอาจารย์วาดรูปอาวุธต่าง ๆ ขึ้นมาแล้วให้นางเลือกว่าจะสร้างอาวุธชิ้นไหนก่อน
                ทันทีที่นางเลือก ดาบแหลมคม ลักษณะโปร่งใสก็ปรากฏขึ้นบนมือของอาจารย์
                นี่เป็นดาบที่ข้าสร้างมาจากน้ำ ยิ่งบริเวณใกล้เคียงมีแหล่งน้ำ หรือไอน้ำมากขึ้นเท่าใด ดาบเล่มนี้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ...เจ้าลองสร้างดู
                หา ด...ได้นางตอบรับอย่างไม่มั่นใจ
                รวบรวมสมาธิให้มั่น ดึงไอน้ำที่อยู่รอบตัวเข้ามา จินตนาการรูปร่างของดาบไว้ให้ชัดเจน
                นางใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะสร้างดาบเวทย์ขึ้นมาได้ แต่มันดูขุ่นคลั่กและไม่สวยงามเหมือนดาบของอาจารย์เลยแม้แต่นิด
                เกวลมองเฟยาอย่างตื่นตะลึงระคนดีใจ ปรกติทั่วไปคนที่เริ่มสร้างอาวุธเวทย์ อย่างเก่งจะใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง แต่นางกลับใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง
                พรสวรรค์ของนางช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง แต่ในความสามารถของนาง เขากลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปรกติ
                มันคืออะไรนะ
                อาจารย์ท่านว่าดาบของข้าเป็นอย่างไรบ้าง มันไม่เห็นจะสวยเหมือนของท่านเลย แต่ข้าว่ามันก็ใช้ได้นะ... อาจารย์ข้าควบคุมเวทย์ได้ดีใช่ไหมเล่า
                ใช่แล้ว... นางควบคุมเวทย์ได้ดีจนผิดปรกติ
                นางที่ปรกติจะควบคุมเวทย์ของตนเองไม่ค่อยได้ กลับควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาเพียงข้ามคืน
                เพราะอะไรกัน
                เจ้าเรียกไฟสิเดวา เอาลูกไฟดวงเล็ก ๆ นะ เกวลสั่ง
                นางทำตามโดยไม่อิดออด พลันเกิดลูกไฟดวงเล็กสว่างสดใสบนฝ่ามือของนาง
                ข้าทำได้แล้ว ๆ นางดีใจจนออกนอกหน้า นางไม่เคยสร้างลูกไฟได้ขนาดตามที่นางต้องการมาก่อน และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่นางทำได้
                แต่เกวลกลับไม่ดีใจไปกับลูกศิษย์ของตน
                เดวา เจ้าเห็นเศษใบไม้พวกนั้นไหม ...ใช้เวทย์กวาดมันให้มารวมเป็นกองเดียว ชายหนุ่มสั่งลูกศิษย์อีกครั้ง
                นางโบกมือเพียง 2 ครั้ง เศษใบไม้ที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ต่างถูกสายลมของนางพัดปลิวไปกองรวมกันเป็นจุดเดียว ทำให้เกิดกองเศษใบไม้ขนาดย่อม
                เฟยากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ในที่สุดนางก็สามารถใช้เวทย์ได้ดั่งใจแล้ว แต่อาจารย์ของนางกลับครุ่นคิดถึงสิ่งที่แปลกไป
                ไฟดวงเล็กของนาง ทุกครั้งที่นางเรียกมักจะเป็นลูกใหญ่เสมอ และสายลมของนางถ้าไม่ใช่ลมพายุก็จะแหลมคมดั่งศาสตรา
                เจ้าตามข้ามา เกวลพาเฟยามุ่งตรงไฟยังสระน้ำที่นางเคยมานั่งอมทุกข์เมื่อครั้งยังเด็ก
                คราวนี้เจ้าลองบังคับน้ำในสระแห่งนี้ เหมือนเมื่อก่อนที่เจ้าเคยทำให้ข้าดู
                เฟยายื่นมือออกไป สายน้ำเริ่มไหลวนสูงขึ้นจนมีความสูงเท่ากับนาง
                สร้างให้ใหญ่ขึ้นอีก อาจารย์ของนางสั่งและนางก็ทำตามจนน้ำวนสูงขึ้นมาอีกเล็กน้อยเท่ากับความสูงของอาจารย์ แต่เขากลับบอกให้นางสร้างให้ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเสาน้ำวนต้นนี้สูงท่วมหัว และน้ำในสระก็เหือดแห้งจนหมดไม่เหลือน้ำให้นางเรียกใช้ได้อีก
                อาจารย์ นางหันไปหาอาจารย์ แต่อาจารย์กลับมองเสาน้ำวนที่สั่งให้นางสร้างขึ้นโดยไม่พูดอะไรอีก
                นางพยายามคงสภาพของเสาน้ำวนไว้ ไม่ยอมคลายเวทย์จนกว่าอาจารย์จะสั่ง แล้วในขณะนั้นเฟยาก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปรกติของร่างกาย
                แผ่นหลังของนางร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมีเปลวไฟแผดเผา ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ราวกับถูกมีดนับร้อยกรีดแทง
                เสาน้ำวนเริ่มหมุนช้าลง ๆ และคลายตัวลงทีละน้อย ขาของนางเริ่มอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว จนในที่สุดเสาน้ำขนาดใหญ่ได้คลายตัวลง ไหลกลับลงสู่สระน้ำดังเดิม ในขณะที่นางล้มลงบนพื้นอย่างเจ็บปวด
                อ๊าาานางตัวงอด้วยความทรมาน นางไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้เจ็บไปทั่วตัวเช่นนี้
                เกวลนั่งลงข้าง ๆ ลูกศิษย์แล้วเปิดดูหน้าผากของนาง ตำแหน่งที่จะให้ความกระจ่างแก่เขา...แต่
                ไม่มี เพราะอะไรกัน หน้าผากจุดที่ตราสะกดจะต้องปรากฏให้เห็นเมื่อผู้ถูกสะกดพยายามจะใช้เวทย์ของตนเองเกินกว่าที่ผู้สะกดได้อนุญาต
                แต่นางไม่มี ไม่สิ...มันต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งบนร่างของนาง
                เขาดูตามข้อมือทั้งสองข้าง ข้อเท้า แขน ขาของนาง แต่ก็ไม่พบตราสะกดใด ๆ บนร่างนาง เขามองดูลูกศิษย์ที่ขดตัวเพราะความเจ็บปวด
                เขาไม่นึกสงสารเลยที่นาทรมานเช่นนี้ แต่เขาสงสัยมากกว่าว่านางถูกสะกดพลังได้อย่างไร
                อาจารย์ ข้าร้อน ร้อนเหลือเกิน เกวลไม่สนใจเสียร้องของลูกศิษย์ แต่กลับครุ่นคิดตำแหน่งของตราสะกด
                ชายหนุ่มพลิกตัวลูกศิษย์ให้นอนคว่ำลง แล้วถลกเสื้อของนางขึ้น เผยให้เห็นแผ่นหลังที่บัดนี้ปรากฏสัญลักษณ์เต็มแผ่นหลังของนาง สัญลักษณ์รูปทรงดอกบัวปลายแยกเป็น 2 แฉกลักษณะเรียวแหลมคม และมีเปลวเพลิงพาดยาวตั้งแต่ฐานจนถึงปลายยอด
                นี่มัน...สัญลักษณ์แห่งองค์รายา
                ...มีดอัคคี...
                เหตุใดตราสะกดถึงเป็นรูปมีดอัคคีได้

                เกวลยืนมองดูลูกศิษย์ตัวดีที่ตอนนี้สลบไสล หลังจากที่นางทรมานเพราะเวทย์สะกด นางก็หมดสติไป จนเขาต้องอุ้มนางกลับมาที่ถ้ำ
                หากนางฟื้นคืนได้สติเมื่อใดเขาจะต้องเค้นเอาความจริงจากนางให้ได้ว่านางถูกสะกดพลังได้อย่างไร และใครกันที่เป็นสะกดพลังนาง
                เขารู้ว่าเฟยาเป็นเด็กซุกซน แต่ก็ไม่นึกมาก่อนว่าจะซุกซนขนาดหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตนเองเช่นนี้ คิดแล้วก็น่าจับนางมาฟาดก้นนักเชียว
                เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงจันทร์กระจ่างทั่วนภา หากแสงนวลตาไม่อาจทอแสงผ่านแนวไม้รกครึ้มของป่าต้องห้ามได้ มีเพียงแสงเล็กจากบ่อน้ำในถ้ำ และกองไฟที่ให้ความสว่าง
เฟยาได้สติและพบว่าตนนอนอยู่ในถ้ำที่คุ้นตา เพราะบ่อน้ำในถ้ำที่เรืองแสงในเวลากลางคืนทำให้นางรู้ นางพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็นด้วยร่างกายที่เมื่อยล้า พยายามคิดย้อนไปว่าเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอ่อนเพลียเต็มกำลังเช่นนี้
                นางจำแค่ได้ว่านางไปฝึกเวทย์กับอาจารย์ แล้วจู่ ๆ นางก็รู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัว เจ็บจนทรมาน หลังจากนั้นนางก็นึกไม่ออกแล้ว
 “อาจารย์” เฟยาเดินออกจากถ้ำเห็นอาจารย์นั่งอยู่ข้างกองไฟ ก็ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ
อาจารย์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่หันมาทางนางสักนิด เวลาเช่นนี้อาจารย์ดูน่ากลัวกว่าเวลาปกติมากนัก ทุกทีอาจารย์จะคุยเล่นหัวกับนาง แต่คราวนี้...นางรับรู้ได้ว่าอาจารย์กำลังโกรธเคือง สีหน้าของท่านดูบึ้งตึงจนน่ากลัว และที่สังเกตเห็นได้ง่าย ๆ อีกอย่างคือ... กองไฟที่อยู่เบื้องหน้ามันลุกโชนและร้อนแรงราวกับมีชีวิต เมื่อเพ่งดูดี ๆ แล้วจะเห็นว่ามันสั่นระริก เคลื่อนไหวดั่งสิ่งมีชีวิตที่กำลังกราดเกรี้ยว แมลงเล็ก ๆ ที่บินเข้าใกล้ถูกมันตวัดและจับกินไม่มีรอด
“นังเด็กโง่!!” เกวลตวาดใส่เฟยา ความอดทนของเขาใกล้จะสิ้นสุดแล้ว “เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมเจ้าถึงถูกสะกดพลังได้”
“ข...ข้า” นางอ้ำอึ้งไม่กล้าบอก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเหมือนเด็กที่ทำความผิดไว้แล้วถูกจับได้
“พูดมา” เสียงตวาดดังกึกก้อง กองไฟลุกโชติช่วงปรากฏเป็นใบหน้าของอสูรกายที่มีร่างกายเป็นเปลวเพลิง กำลังคำรามอย่างกราดเกรี้ยว
“ข้าขอโทษอาจารย์” นางเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ “เรื่องที่ข้าโดนสะกดพลัง ข้า...ข้ายินยอมรับมันไว้เอง ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกท่าน”
“เจ้าพูดจริงรึ” เกวลแทบไม่เชื่อหู นางยินยอมโดนสะกดพลังเองรึ “เจ้ารู้ไหมว่าจอมเวทย์ที่โดนสะกดพลังไว้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนพิการที่ถูกตัดแขนตัดขา แต่นี่...เจ้ากลับยินยอมให้ตนเองถูกสะกดเสียเอง ...นังเด็กโง่”
เฟยาก้มหัวประหลก ๆ รับคำกล่าวโทษโดยไม่โต้แย้งใด ๆ
“ทำไมเจ้าถึงได้โง่เช่นนี้เดวา ทำไมเจ้าต้องยอมรับการสะกดพลังไว้ด้วย หากการสะกดพลังเป็นวิธีที่ดีสำหรับเจ้าจริง ๆ เจ้าไม่คิดหรือว่าข้าจะสะกดพลังให้เจ้าตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชสอนเจ้าควบคุมพลังของตนเอง ...คนที่สะกดพลังเจ้าไว้คือรายาที่มาเยือนอีสการ์ดใช่ไหม”
“เอ๋” นางตกใจที่อาจารย์ผู้ถึงองค์รายา เหตุใดอาจารย์ถึงคิดว่าองค์รายาจะเป็นคนสะกดพลังของนางไว้
 “ตราสะกดบนแผ่นหลังของเจ้าเป็นสัญลักษณ์ของมีดอัคคี มีเพียงรายาเท่านั้นที่ใช้จะมันได้ แล้วก็เป็นเวลาประจวบเหมาะที่อีสการ์ดได้ต้อนรับรายา”
“...”
เกวลรอคอยคำตอบจากเฟยาอยู่นาน แต่นางก็ไม่ยอมแม้แต่จะปริปาก ลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาบทจะดื้อดึง ก็ดื้อเสียจนเขาทำอะไรไม่ได้
“เอาเถอะ เจ้าไม่ยอมรับก็ช่างยังไงก็เดาไม่ยากอยู่แล้ว ข้าจะทำให้ตราสะกดบนแผ่นหลังของเจ้าหายไปเอง” พูดจบเกวลก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปทางทิศทางออกของป่าต้องห้ามโดยมีเฟยาเดินตามไม่ห่าง
“อาจารย์ท่านจะไปไหน” เฟยาถามออกไปเมื่อเห็นว่าพวกเขาเกือบจะถึงทางออกของป่า
“ข้าบอกเจ้าแล้วยังไง ว่าข้าจะไปถอนตราสะกดบนแผ่นหลังของเจ้า”
“ทำอย่างไรล่ะอาจารย์”
เกวลหยุดเดินแล้วหันมาหาลูกศิษย์ตัวดีที่หาเรื่องใส่ตัวจนได้เรื่อง
“วิธีถอนตราสะกด ถ้าไม่ให้ผู้สะกดเป็นผู้ถอนเวทย์ให้ ก็ต้องฆ่าผู้สะกดเสีย”
“ฆ ฆ่า...ต้องถึงกับฆ่าแกงกันเลยหรืออาจารย์ ไม่นะอาจารย์” เฟยาดึงข้อมือเกวลไว้ไม่ให้เขาก้าวเดินไปได้มากกว่านี้ “อาจารย์...ข้าบอกท่านแล้วว่าข้ายินดีรับการสะกดพลังไว้เอง แล้วคนที่สะกดพลังให้ข้าก็ไม่ใช่องค์รายาด้วย ท่านอย่าได้ไปทำร้ายใครเลยนะอาจารย์ ข้าขอร้อง”
“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ คนที่สะกดพลังเจ้าไม่ใช่รายางั้นรึ เจ้าอย่ามาพูดมาจาโกหกข้าเลยเดวา ตราสะกดบนแผ่นหลังเจ้า มีเพียงรายาเท่านั้นที่ใช้ได้ หากไม่ใช่เขาแล้วเป็นใครกัน ใครที่แอบอ้างบังอาจใช้ตราสะกดรูปมีดอัคคี”
“ข้า...ข้าบอกท่านไม่ได้จริง ๆ อาจารย์ แต่ไม่ใช่องค์รายาแน่ ๆ อาจารย์ก็รู้ว่าข้าไม่เคยโกหกท่าน ฉะนั้นท่านเชื่อข้าเถอะนะว่าไม่ใช่องค์รายาจริง ๆ ข้าไม่อยากให้ท่านทำร้ายผิดคนด้วย”
“ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าทำร้ายผิดคน เจ้าก็บอกข้ามาสิว่าใครเป็นคนทำ”
“...” เฟยาเอาแต่ก้มหน้า นางไม่อยากโกหกอาจารย์ แต่นางก็ไม่อยากให้คีลถูกอาจารย์ทำร้ายด้วย หนทางที่ดีที่สุดที่นางทำได้ก็มีเพียงปิดปากเงียบไว้
“ว่าอย่างไรเล่าเดวา”
“ข้อขอโทษอาจารย์ ข้าบอกท่านไม่ได้จริง ๆ”
“เจ้า...” เกวลได้แต่ถอนหายใจออกมา เมื่อศิษย์รักไม่ยอมแม้แต่จะปริปาก ในเมื่อนางปกป้องคน ๆ นั้นเสียขนาดนี้ แล้วเขาจะทำอย่างไรได้ “เจ้ากลับบ้านไปเถอะ ดึกป่านนี้พ่อแม่เจ้าคงเป็นห่วงแล้ว”
“เอ่อ...ท่านจะไม่ออกไปทำร้ายใครแล้วใช่ไหม”
“เจ้ารีบกลับบ้านไปซะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”
เฟยาก้มหน้าแล้วค่อย ๆ ถอยห่างอาจารย์ “ข้าไปก่อนนะอาจารย์” นางพูดเสียงอ่อย ๆ อย่างคนสำนึกผิด นางสำนึกผิดต่ออาจารย์ ที่ทำให้ท่านโมโห และเป็นห่วง แต่นางก็ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่คีลทำกับนางคือสิ่งที่ผิด
หลังจากเฟยากลับบ้านไปแล้ว เกวลก็เอาแต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า เขายังอารมณ์เสียไม่หายที่นางถูกสะกดพลังไว้ จะว่าเสียดายพลังของนางก็ใช่ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ตอนนี้สิ่งที่เขาทำให้นางได้ก็คงมีแต่สอนเวทย์ให้นาง ให้นางรู้จักป้องกันตัวและเอาตัวรอดให้ได้มากที่สุดเท่านั้น
แต่ก็ยังดีที่เวทย์ของนางไม่ได้ถูกสะกดไว้ทั้งหมด
“เฮ้อ” เกวลเดินกลับไปที่ถ้ำแล้วดื่มเหล้าแก้เซ็ง แต่ขวดเหล้าที่วางเกลื่อนกลับว่างเปล่าไม่เหล้าสักหยด “ให้มันได้อย่างนี้สิ”

รุ่งขึ้นเฟยาเข้าป่าต้องห้ามตั้งแต่อาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า พร้อมกับหิ้วขวดเหล้าชั้นดี 2 ขวด เพราะนางอยากให้อาจารย์อารมณ์ดีขึ้นนางเลยรีบไปซื้อเหล้าจากเจ้าคนแคระเพื่อเอาใจท่าน แต่อาจารย์ก็ยังไม่หายเคืองนางเสียทีเดียว นางถูกสั่งให้ไปเก็บฟืนและผลไม้ หลังจากนั้นก็ให้วาดเศษใบไม้ใบหญ้ารอบ ๆ ถ้ำโดยห้ามใช้เวทย์ใด ๆ ทั้งสิ้น
เนื้อตัวนางเมื่อยล้าไปหมดตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ว่าจะแขนหรือขา แม้นางจะนอนพักผ่อนมาแล้วแต่ความอ่อนเพลียกลับไม่หายไปง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อน
ปกตินางเป็นคนแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วย เมื่อใดที่นางรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่สบายแค่หลับพักผ่อนเท่านั้น พอตื่นมานางก็จะรู้สึกแข็งแรงเป็นปกติ แต่ความอ่อนล้าในคราวนี้มันกลับไม่หายไปดังเช่นทุกที
“อาจารย์ เรื่องพวกนี้แค่ใช้เวทย์ก็เสร็จแล้ว ตอนนี้ข้าเหนื่อยมากแล้วด้วย” นางบ่นขณะกวาดเศษใบไม้รอบ ๆ ถ้ำที่ร่วงหล่นลงมาได้ตลอดไม่มีหมด
“ข้าให้เจ้าทำแค่นี้ก็บ่นเสียแล้ว เจ้านี่อ่อนแอเสียจริง”
“แต่ข้าเมื่อยไปหมดแล้วนะอาจารย์”
“บ่นอยู่นั่นแหละ ข้าสั่งให้เจ้ากวาด เจ้าก็กวาด ๆ เข้าไปแล้วทำให้สะอาดด้วยล่ะ” เกวลคอยจับจ้องเฟยาทุกย่างก้าวเพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้ใช้เวทย์
หลังจากนางทำงานตามที่เขาสั่งเสร็จเขาก็เรียกนางมาสอนเวทย์ต่อ
“ไหน ๆ ตอนนี้เวทย์ของเจ้าก็ถูกสะกดไว้แล้ว เจ้าก็ควรรู้เกี่ยวกับมันเอาไว้บ้าง”
ปรกติการสะกดพลังของจอมเวทย์ผู้ใดผู้หนึ่ง จะทำการสะกดไว้ทั้งหมด นั่นคือผู้ถูกสะกดจะไม่สามารถใช้เวทย์ใด ๆ ได้ แต่หากยังฝืนจะใช้เวทย์ ตราสะกดที่อยู่บนร่างจะทำงาน ร่างกายจะเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ขั้นร้ายแรงก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
“กรณีของเจ้า เวทย์ถูกสะกดไว้เพียงบางส่วนเท่านั้น ทำให้ยังสามารถใช้เวทย์ได้ตามปกติ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าก็จะสามารถใช้เวทย์ได้เพียงเท่าเดิม ไม่สามารถใช้ได้มากกว่านั้น เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดไหม”
เฟยาส่ายหัว แรก ๆ นางก็พอเข้าใจดีอยู่ แต่หลัง ๆ นางไม่ค่อยเข้าใจที่อาจารย์พูดสักเท่าใด
“ปกติโดยทั่วไปแล้วยิ่งผู้ใช้เวทย์หมั่นฝึกเวทย์เท่าใด เวทย์ของคน ๆ นั้นก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ แต่สำหรับเจ้าแล้วไม่ว่าเวทย์ของเจ้าจะเพิ่มมากขึ้นสักเท่าใด เจ้าก็จะสามารถใช้เวทย์ได้เพียงเท่าเดิมเท่าที่เจ้าใช้อยู่ในตอนนี้
ข้าจะยกตัวอย่างให้เจ้าฟัง หากเดิมเจ้ามีพลังเวทย์อยู่ห้าส่วน แต่เมื่อโดนสะกดพลังไว้เจ้าก็จะสามารถใช้ได้เพียงแค่สองส่วนเท่านั้น แล้วเมื่อนานวันเข้าพลังเวทย์ของเจ้าอยู่ที่สิบส่วน เจ้าก็จะสามารถใช้ได้แค่สองส่วนเท่าเดิม แล้วหากเจ้าฝืนที่จะใช้มากกว่าสองส่วน ตราสะกดจะทำให้เจ้าทรมานดังเช่นเมื่อวาน แล้วถ้าเจ้ายังฝืนจะใช้เวทย์ต่อไป เจ้าก็อาจถึงขั้นตายได้”
“ข้าเข้าใจแล้วอาจารย์” เมื่อวานนางก็นึกว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว นางรู้ซึ้งเลยว่าความทรมานนั้นเป็นอย่างไร
แล้วหากจะถอนเวทย์สะกดต้องให้ผู้ที่สะกดเป็นคนถอนให้ มิเช่นนั้นก็ต้องฆ่าผู้สะกดทิ้งเสียหรือปล่อยให้เขาสิ้นอายุขัย หลังจากนั้นเวทย์มนต์จะคลายไปเอง
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรืออาจารย์” ถึงกับต้องฆ่าแกงกันอย่างนี้ นางไม่มีทางใช้วิธีนี้เด็ดขาด นางไม่มีวันฆ่าเพื่อนเพื่อคลายเวทย์สะกดให้ตัวเองเด็ดขาด
“มี...ข้าเป็นคนคลายเวทย์สะกดให้เจ้าเอง แต่เจ้าจะต้องเจ็บปวดและทรมานเจียนตาย หากร่างกายรับไม่ไหวเจ้าก็สามารถตายได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ใช้คนที่สะกดพลังเป็นคนคลายเวทย์ให้ เจ้าจะต้องทรมานยิ่งกว่าตอนตราสะกดปรากฏเสียอีก  วิธีนี้มีแต่คนคิดฆ่าตัวตายเท่านั้นแหละที่เลือก”
“...”
“แล้วก็เรื่องสำคัญที่สุดที่เจ้าต้องรู้ไว้”
“เรื่องอะไรหรืออาจารย์”
“เจ้าห้ามให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเจ้าถูกสะกดพลังไว้ โดยเฉพาะตราสะกดเป็นรูปมีดอัคคี ผู้ใดที่มีตราสะกดรูปอัคคี คนผู้นั้นถือเป็นคนบาปที่ถูกตราความผิดไว้ชั่วชีวิต
สัญลักษณ์มีดอัคคีมีเพียงรายาเท่านั้นที่จะใช้ได้ คนที่โดนรายาสะกดจะถูกมองว่าเป็นนักโทษฉกรรจ์ที่ทำผิดร้ายแรง ถึงขนาดจะอยู่ก็ไม่สมควรจะตายก็ไม่สาสมพอ ผู้คนจะรังเกียจ และ...ห้ามไม่ให้ผู้ใดคลายเวทย์สะกดให้”
“อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ข้า...ถูกตราหน้าว่าทำความผิดใหญ่หลวงหรือ”
“สำนึกบ้างไหมล่ะ”
หลังจากนั้นเฟยาก็โดนอาจารย์เทศนาสั่งสอนเสียยกใหญ่ ไม่นึกมาก่อนว่าแค่โดนสะกดพลังไว้จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมาได้ขนาดนี้
แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของคีลที่เขาบอกว่าจะปกป้องนางแล้ว ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้ามาอย่างน่าประหลาด นางรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่นึกถึงเขา จนคิดว่าการโดนสะกดพลังเป็นเรื่องน่ายินดี แถมตอนนี้นางก็สามารถบังคับพลังของตนเองได้อย่างใจนึก
การโดนสะกดก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป

“เฟยา เจ้าไปไหนมา” อัสคาถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นเฟยากลับมาถึงบ้านในตอนเย็น
เฟยาเห็นท่านพ่อของนางมีสีหน้าเคร่งเครียด และแววตาโกรธเคืองจนนางแปลกใจ แต่เมื่อสังเกตดี ๆ แล้วจะเห็นชาย 2 คนอยู่ในบ้านด้วย สีหน้าของพวกเขาไม่ได้แตกต่างจากท่านพ่อสักเท่าใด
“ท่านพ่อ ข้าไปวิ่งเล่นแถว ๆ นี้เอง”
                “โกหก” อัสคาตวาดใส่ลูกสาวจนนางสะดุ้ง หรือนางจะถูกจับได้เรื่องเข้าไปในป่าต้องห้าม แต่ทุกครั้งที่นางจะเข้าและออกจากป่า นางจะระวังตัวไม่ให้ใครเห็น
                หรือนางจะพลาด
                “มีคนเห็นเจ้าอยู่แถว ๆ กระท่อมท้ายตลาด เจ้าไปทำอะไรที่นั่น”
                เด็กสาวพลันรู้สึกโล่งอกเมื่อท่านพ่อไม่ได้พูดถึงป่าต้องห้าม แต่นางก็ยังวางใจไม่ได้เพราะอาจมีคนเห็นนางไปที่กระท่อมของเจ้าคนแคระ หากใครรู้ว่านางไปที่นั่นเป็นประจำ ไม่วายนางต้องถูกทำโทษแน่ ๆ
                แต่ไม่ทันที่เฟยาจะได้พูดอะไร อัสคาก็เรียกชาย 2 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังตนเองให้เดินเข้ามาใกล้ ๆ
                “พวกเขามาบอกข้าว่าเจ้าเป็นต้นเหตุให้กระท่อมท้ายตลาดถูกเผาไป 2 หลัง”
                “หา ข้าเนี่ยนะ” นี่นางหูฝาดไปรึเปล่า ท่านพ่อของนางกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน
                แล้วชายหนึ่งในสองคนนั้นหันมาพูดกับนางที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตก “ข้าเห็นเจ้าไปฝึกเวทย์ไฟแถว ๆ กระท่อมของข้า ทีแรกข้าไม่นึกกังวลอะไร แต่พอหลังจากที่ข้าออกจากบ้านไปทำธุระแล้วกลับมา ก็พบว่ากระท่อมของข้าถูกไฟเผาวอดทั้งหลัง”
                “กระท่อมของข้าที่อยู่ข้าง ๆ ก็พลอยโดนลูกหลง วอดวายไปด้วย” ชายอีกคนกล่าวเสริม แล้วยังโวยวายให้ครอบครัวของนางรับผิดชอบต่อสิ่งที่นางไม่ได้ทำ
                “ถึงขนาดนี้แล้วเจ้าจะยอมรับไหมเฟยา” อัสคายังคงคาดคั้นลูกสาวต่อไป
                “ข้าไม่ได้ทำนะท่านพ่อ ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ” เฟยาหันไปทางชายสองคนนั้นแล้วถามพวกเขา “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า พวกท่านคิดดูดี ๆ สิ พวกท่านจำได้ไหมว่าคนที่ท่านเห็นเขา...เขามีสีผมเช่นไร เหมือนข้ารึเปล่า ดวงตาของเขาเล่าเหมือนข้าไหม”
                ฝ่ามือใหญ่ ออกแรงเพียงนิดก็ทำให้เด็กสาวตัวน้อยถึงกับเซล้มลงกับพื้น
                เพี้ยะ!!!
                “นังลูกไม่รักดี เจ้าพูดอะไรออกมาเจ้าก่อเรื่องไว้แล้วจะโยนความผิดให้น้องงั้นรึ” อัสคาคิดว่าเฟยากำลังโยนความผิดให้เฟเรีย “เฟเรียไม่มีทางทำให้คนอื่นเดือดร้อนเยี่ยงเจ้า เจ้าอย่าคิดกล่าวโทษนางเป็นอันขาด”
                พอดีเมเรียและเฟเรียกลับถึงบ้าน อัสคาจึงเล่าเรื่องราวที่ชายสองคนนั้นมาเอาผิดให้ทั้งสองฟัง
                เฟยาสังเกตดูสีหน้าของเฟเรีย นางมีสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อท่านพ่อบอกว่ากระท่อมท้ายตลาดไฟไหม้ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นก่อนที่นางจะทำตัวเป็นปกติ
                “เจ้าทำจริง ๆ หรือเฟยา” เมเรียไม่ทันได้ไต่ถามก็เชื่อสนิทใจว่าเฟยาเป็นคนผิด
                เฟยารู้สึกน้อยใจยิ่งนัก ไม่มีใครเชื่อที่นางพูดเลยสักคน ไม่มีการไต่ถาม ไม่มีใครสักคนที่คิดจะถามเฟเรีย ทุกคนกลับตัดสินว่านางเป็นคนผิด
                ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำ
                “ข้าไม่ได้ทำ” เฟยายืนกรานหนักแน่น อารมณ์ของนางเริ่มคุกกรุ่นไปด้วยความโกรธ ยิ่งอัสคาตบตีนางให้นางสารภาพผิดเท่าใด นางก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น
                “พวกท่านไม่ถามเฟเรียซักคำ แต่กลับมากล่าวโทษข้า หาว่าข้าเป็นคนผิด ช่างไม่ยุติธรรมเลย” เฟยาระบายออกมาอย่างสุดจะอดกลั้น แต่กลับไม่มีใครฟังซ้ำยังกล่าวหาว่านางโยนความผิดให้เฟเรีย
                “เฟเรียไม่ใช่เด็กเช่นเจ้า นางไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใครมาก่อน ซ้ำยังเป็นศิษย์ของท่านผู้เฒ่า ไม่มีเหตุผลที่นางจะไปฝึกเวทย์ที่ท้ายตลาด ทั้ง ๆ ที่เขตแดนของท่านผู้เฒ่านั้นออกจะกว้างใหญ่ มีบริเวณให้นางฝึกเวทย์ตั้งมากมาย และที่สำคัญเฟเรียไม่ใช่คนที่เอาแต่ซุกซนจนทำให้คนอื่นเดือดร้อน”
                “ท่านแก้ต่างให้นาง” เฟยาเริ่มตัวสั่นด้วยความโกรธ
                เป็นเพราะนางไม่ใช่ลูกรัก เพราะนางไม่ใช่ศิษย์ของท่านผู้เฒ่าผู้ปกครองอีสการ์ด  นางจึงโดนกล่าวหาว่าเป็นคนผิดอย่างนั้นหรือ
                “ข้าไม่ใช่คนทำ” ตัวนางสั่นไปด้วยความโกรธ ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มไรผม ในขณะที่นางไม่ทันรู้ตัว พลังของนางก็เริ่มแผ่ออกมาจนยากจะควบคุม แต่คนอื่น ๆ กลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น สิ่งของภายในบ้านเริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อย บ้างก็ตกลงมาแตกเสียหาย แต่พวกเขากลับไม่ทันสังเกตยังคงคาดคั้นให้เฟยารับผิด จน...
                ครืน~~
                “ผ...แผ่นดินไหว” ใครบางคนตะโกนออกมา ขณะที่พื้นที่ยืนอยู่เริ่มสั่นไหวจนรู้สึกได้ ข้าวของทยอยตกลงบนพื้น กระจกทุกบานแตกกระจายในคราวเดียวสร้างความตระหนกจนทุกคนต้องก้มหมอบลงกับพื้น
                ตราสะกดปรากฏขึ้นอีกครั้ง นางเจ็บปวดไปทั่วร่างแต่ก็ไม่สามารถควบคุมพลังของตนที่กำลังไหลออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับสายน้ำ
                “อ๊าาา...” เฟยากรีดร้องอย่างเจ็บปวด พลันร่างกายล้มลงกับพื้นจนหมดสติ ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ แผ่นดินไหวหยุดลงในทันที

                เฟยารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนเมื่อทุกคนหลับกันหมดแล้ว ยกเว้น...เฟเรีย
                เฟเรียนั่งเฝ้าเฟยาอยู่ข้าง ๆ เตียง เมื่อเฟยาได้สตินางก็รีบเข้าไปประคองให้เฟยาลุกขึ้นนั่งได้ถนัดถนี่
                “เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเฟยา พอเกิดแผ่นดินไหวเจ้าก็หมดสติไป เจ้าเป็นอะไรมากรึเปล่า”
                “ข้าไม่เป็นไรอะไรมากหรอก” นางตอบทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกเพลียอยู่เต็มกำลัง
                “เฟยา ข้า...ข้า” เฟเรียอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม “ข้า...ขอโทษนะเฟยา เรื่องไฟไหม้ ข้า...เป็นข้าเอง ข้าไปฝึกเวทย์ลองสร้างไฟ แต่เผอิญเกิดลมแรงข้าเลยไม่ทันระวัง พอข้าออกจากบริเวณนั้นไปแล้วข้าถึงได้รู้ว่าเกิดไฟไหม้...”
                เฟเรียร้องห่มร้องไห้ สะอึกสะอื้นจนตัวโยนน่าสงสาร เฟยาเห็นแล้วก็รู้สึกเห็นใจนางขึ้นมาโดยพลัน จะโกรธก็โกรธไม่ลง
                “ข้าขอโทษนะเฟยา ข้าขอโทษ” เฟเรียขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะรู้สึกผิด แต่ทั้งอย่างนั้นนางกลับขอร้องไม่ให้เฟยาบอกเรื่องนี้แก่ใคร “ถ้าท่านพ่อรู้ต้องโกรธข้าแน่ แล้วถ้าเรื่องถึงหูอาจารย์ข้า ข้าต้องโดนทำโทษแน่ ๆ เฟยาได้โปรดเถอะนะ ข้าขอร้องอย่างบอกเรื่องนี้แก่ใครเลยนะ”
                “แล้ว...ข้าล่ะ” เฟยาชะงักไป นางไม่อยากจะเชื่อว่าเฟเรียจะพูดจาเห็นแก่ตัวเช่นนี้ เฟเรียกลัวถูกท่านพ่อต่อว่า กลับถูกท่านผู้นำลงโทษ แล้วนางเล่า...นางต้องถูกประณามในสิ่งที่นางไม่ได้ทำอย่างนั้นหรือ
                แต่เมื่อเห็นเฟเรียอ้อนวอนทั้งน้ำตา นางก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้
                เฮ้อ...ทำไมนางถึงได้เป็นคนอย่างนี้นะ
                “ก็ได้”

                วันรุ่งขึ้นเรื่องราวคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เพราะเฟเรียได้นำทรัพย์สินมีค่าเกือบทั้งหมดที่ได้จากพ่อค้าเศรษฐีในครั้งนั้นมอบให้ผู้เคราะห์ร้ายทั้งสอง ทำให้พวกเขาไม่ติดใจเอาความมากนัก
                อัสคาและเมเรียเคืองเฟยาไปหลายวัน พวกเขาเสียดายทรัพย์สินมีค่าเหล่านั้น ของพวกนั้นเป็นของเฟเรียทั้งสิ้นแต่ต้องกลับนำออกมาใช้เพื่อชดเชยความผิดให้เฟยา...พวกเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเสียเลย และที่สำคัญเฟยาได้กลายเป็นจุดด่างพร้อยของครอบครัว และชีวิตของเฟเรียไปเสียแล้ว ความผิดของนางไม่สามารถทำให้ใครมองดีขึ้นกว่านี้ได้เลย
                “จำไว้ว่าครั้งนี้เจ้าติดค้างเฟเรีย” อัสคาพูด
เฟยานิ่งเฉย เพราะนางไม่ได้คิดค้างหนี้บุญคุณใคร นางไม่ได้ทำอะไรผิด
ต้นเหตุทั้งหมดเป็นเพราะนางมีใบหน้าเหมือนกับเฟเรีย แม้จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวแต่ก็ทำให้ใครหลายคนจำพวกนางสลับกันได้ตลอด

แล้วนางควรทำเช่นไร ใครต่อใครถึงจะสามารถแยกนางกับเฟเรียออกได้แค่เห็นแวบแรก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น