ซาร์ก
องครักษ์คนสนิทขององค์รายาได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ไปรับดวงใจของพระองค์ที่อีสการ์ด
ระหว่างเดินทางหญิงผู้นี้ทำให้นึกแปลกใจอยู่เป็นระยะ
เขาได้เห็นใบหน้าของนางแค่บางส่วน
แต่เท่านั้นก็สามารถบอกได้ว่านางมีความงามที่ล้ำเลิศ ทว่ากิริยาท่าทางของนางกลับหยาบกระด้าง
ไม่อ่อนโยน อ่อนหวานเหมือนกุลสตรีทั่วไปสักนิด
ตอนนี้เขาเริ่มไม่ค่อยเข้าใจแล้วว่าองค์รายาชมชอบอะไรในตัวหญิงผู้นี้
คงไม่ใช่แค่หน้าตาหรอกกระมัง
ทั้งคู่เดินทางออกจากอีสการ์ดโดยเรือข้ามฟากลำใหญ่
เมื่อถึงชายฝั่งของมิดการ์ดก็มีรถม้าติดตราประจำองค์รายามารอรับ
เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง
เฟยาขึ้นไปนั่งบนรถม้า
ส่วนองครักษ์หนุ่มกลับขึ้นขี่ม้าคู่ใจของตนแทน คอยอารักขาหญิงสาวอยู่ด้านนอก
ตามรายทางที่รถม้าเคลื่อนผ่านผู้คนต่างชักชวนให้ชี้มองเพราะนานครั้งจึงจะเห็นรถม้าจากปราสาทวิ่งอยู่ข้างนอก
และที่สำคัญองครักษ์ประจำองค์รายายังคอยคุ้มกันอยู่ข้าง ๆ แสดงว่าข้างในรถม้าต้องมีคนสำคัญหรือของสำคัญอยู่แน่นอน
รถม้าวิ่งผ่านประตูหลักเข้าไปในเขตปราสาท
แล้วหยุดลงเมื่อถึงด้านหน้า ซาร์กลงจากม้าคู่ใจแล้วเดินมาเปิดประตูรถม้าให้
หญิงสาวก้าวลงมาแล้วกวาดสายตาไปตามทางเดินเข้าสู่ตัวปราสาท
ด้านซ้ายมีเหล่าหญิงสาวยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ
ด้านขวามีเหล่าทหารหน้าตาขึงขังยืนเรียงขนานไปกับเส้นทาง
และสุดทางเดิน...บุรุษผู้อยู่เหนือทุกคนในดินแดน
องค์รายาเดินมาต้อนรับหญิงสาวด้วยตนเอง
ท่วงท่าอันสง่างามและน่าเกรงขามทำให้เฟยาไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้ ทุกย่างก้าวเมื่อเดินผ่านเหล่าหญิงสาวและทหารต้องย่อการและคำนับให้ความเคารพแสดงถึงความจงรักภักดีต่อนายเหนือหัว
ชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดตลอดทั้งตัว
ตัดกับผมสีน้ำตาลแดงและดวงตาสีอำพันทำให้องค์รายาดูโดดเด่นท่ามกลางแสงอาทิตย์ บวกกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ยิ่งทำให้บุรุษเบื้องหน้าชวนมองยิ่งนัก
เมื่อองค์รายาหยุดต่อหน้าหญิงสาว
สายตาทุกคู่ไม่อาจละจากภาพอันงดงามเบื้องหน้าได้ องค์รายาผู้สง่างามกับว่าที่องค์รานีผู้งามดั่งล่มเมือง
เมื่อทั้งสองเคียงข้างกันช่างเสมือภาพวาดที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย
“ยินดีต้อนรับสู่มิดการ์ด”
คีลเอ่ยพร้อมยื่นมือให้หญิงสาว
เฟยามองตามมือที่ยื่นมาหาอย่างครุ่นคิด
สลับกับมองใบหน้าคมคายนั่น นัยตาเริ่มมีหยาดน้ำคลอเบ้า
แววตาเศร้าโศกอย่างน่าประหลาด
เหตุใดนางถึงได้ดูโศกเศร้าเช่นนี้
นางไม่ดีใจเหมือนเขาหรือ พอคิดว่าเฟยากำลังจะร้องไห้ นางกลับกระพริบตาสองสามครั้งไล่หยาดน้ำตาพวกนั้นทิ้ง
สายตาทุกคู่ยังคงจับจ้องที่เฟยา
รอคอยว่าเมื่อไรนางถึงจะส่งมือตนให้องค์รายา
แต่เฟยากลับเอาแต่ยืนมองหน้าองค์รายาเสียเฉย ๆ จนทุกคนในที่นั้นเริ่มหวั่นใจ
กลัวนางจะทำให้องค์รายาเสียหน้า แต่ก็ไม่นานนักเสียงลมหายใจออกก็พ่อออกมาเป็นแถว ๆ
เมื่อเฟยาส่งมือคีลแล้วพากันจับจูงเดินเข้าปราสาทไป
คีลแปลกใจกับหญิงสาวนัก
วันนี้นางช่างดูแปรปรวนและคาดเดาไม่ได้ เขานึกว่านางจะดีใจที่เห็นเขาเสียอีก
เพราะเมื่อตอนที่เขาชักชวนนางให้มาอยู่ด้วยกันที่มิดการ์ด นางยังทำท่าดีใจอยู่เลย
แต่พอถึงเวลาจริงนางกลับดูเศร้าโศก
คีลพาเฟยาไปที่ห้องพักของนางด้วยตัวเขาเอง
โดยมีเหล่าหญิงรับใช้เดินตามหลังหลายสิบชีวิต เมื่อมาถึงห้อง
คีลก็สั่งไม่ให้ใครตามพวกเขาเข้าไปเพราะต้องการเวลาส่วนตัว
“เจ้าพอใจกับห้องนี้หรือไม่”
คีลถาม
เฟยามองสำรอบไปรอบ
ๆ ห้อง ไร้ซึ่งคำตอบให้แก่องค์รายา ห้องนี้ค่อยข้างถูกใจนางทีเดียว ห้องดูเรียบ ๆ
ข้าวของไม่มากชิ้น แต่ก็แฝงความสวยงามไว้อย่างลงตัว
โดยเฉพาะหลังฉากบังตาขนาดใหญ่ที่มีสระน้ำเล็ก ๆ
ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ชำระร่างกายซึ่งถูกใจนางเป็นที่สุด
อารมณ์ของนางค่อยดีขึ้นตามลำดับ
คีลเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อเฟยาไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักอย่างตั้งแต่นางมาถึง
ถึงเขาจะเป็นถึงรายาผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือทุกคนในแผ่นดิน แต่เวลาอยู่กับนาง
เขากลับต้องสยบให้แก่นางทุกครั้งไป
“เจ้าไม่พอใจที่ต้องมาอยู่มิดการ์ดกับข้าหรือเฟเรีย”
เขาตัดสินในถามออกไป
“เปล่า”
นางคงรู้สึกดีกว่านี้ถ้านางมาอยู่ที่นี่ในฐานะของเฟยา ไม่ใช่เฟเรีย
“แล้วเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าไม่ค่อยพอใจล่ะ”
“...”
“เฟเรีย”
“เลิกเรียกข้าอย่างนั้นเสียที”
เฟยาเผลอตวาดใส่คีล นางเหลืออดแล้ว นางไม่ใช่เฟเรีย
และไม่ต้องการให้ใครมาเรียกนางว่าเฟเรียด้วย
ชามหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น
นางหมายความว่าอย่างไร นางไม่พอใจที่เขาเรียกชื่อนางหรือ ...ทำไมกันล่ะ
ก็ในเมื่อนางชื่อเฟเรียนี่
“หรือเจ้าชอบให้ข้าเรียกเจ้าว่า
‘เดวา’ เหมือนเดิม”
เฟยารีบพยักหน้าหงึก
ๆ เรียกนางว่า ‘เดวา’
ค่อยรู้สึกว่าได้เป็นตัวของตัวเองหน่อย พอคีลเห็นท่าทางของนางตอบรับมากขึ้นไม่เฉยชาเหมือนทีแรก
เขาจึงถามนางให้แน่ใจว่า
“เจ้าอารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“แน่นอน”
“ถ้าเจ้าอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
เจ้าคงยินดีที่จะให้ข้ามองหน้าเจ้าอย่างเต็มตาได้ไหม”
นางเพียงคนเดียวที่เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามด้วย จะทำอะไรก็ดูจะเกรงนางไปเสียหมด
เฟยาปลดผ้าปิดหน้าลง
เผยใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลเข้มแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ลึกลับน่าค้นหา
ริมฝีปากอิ่มเย้ายวน จมูกได้รูปรับกับใบหน้า ...เมื่อมองดูนางแล้ว
เขากลับรู้สึกว่า ‘นี่สิเดวาคนเก่า’ เผลดคิดเปรียบเทียบนางที่อยู่เบื้องหน้ากับนางเมื่อครั้งอยู่ที่อีสการ์ด
ทั้งที่เป็นคน ๆ เดียวกัน แต่ความรู้สึกต่อนางกลับต่างกัน ซึ่งคิดยังไงก็คิดไม่ตก
และคราวนี้ก็รู้สึกว่านางกลับมาเป็นเดวาคนเดิม
กลับมาเป็นนางที่แสนจะดื้อรั้นเหมือนเดิม
“มองข้าให้ดี”
นางพูดขึ้น “จำใบหน้าข้าไว้ให้ดี แล้วห้ามจำข้าผิดกับคนอื่นเด็ดขาด”
นางพูดเหมือนออกคำสั่งกลาย ๆ แต่เขาหาได้เคืองไม่
เพราะมีแค่นางเท่านั้นที่เขายอมลงให้
“ข้าไม่มีทางจำเจ้าผิดเด็ดขาด”
หญิงงามเช่นนางจะมีถึง 2 ได้อย่างไร
เขาพูดว่าไม่มีทางจำผิด
แต่เขาก็ได้ทำไปแล้ว
“ฮึ”
นางแค่นเสียงใส่เขา ใบหน้าพลอยบูดบึ้งตาม จนเขาชักตามอารมณ์แปรปรวนของนางไม่ทัน
เฟยาอยากบอกเรื่องที่ตนมีฝาแฝดนัก
แต่หากพูดออกไปตอนนี้ ด้วยมนต์สะกดอะไรก็ไม่รู้ของท่าน คงจะทำให้นางอธิบายว่านางคือเฟเรีย
และเฟเรียก็คือนาง ...คงสับสนพิลึก เผลอ ๆ
เดวาของเขาอาจกลายเป็นเฟเรียไปโดยปริยายก็ได้
ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือด
...ท่านพ่อนะท่านพ่อ ทำกันได้
คีลเห็นท่าทางของเฟยาแปรปรวนนัก
คิดว่านางอาจจะกำลังเหนื่อยจากการเดินทาง
จึงได้บอกให้นางพักผ่อนเสียเพราะเขาเองก็มีกิจที่ต้องสะสางเหมือนกัน
แต่ก่อนจะไปเขากลับเดินเข้าไปกอดเฟยา
แล้วจุมพิตนางเบา ๆ สัมผัสความหวานจากริมฝีปากเย้ายวนนั่น
“ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินเดวาของข้า”
‘ข้าก็คิดถึงเจ้า’ นางเก็บคำพูดไว้ในใจไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาจนกระทั่งเขาจากไป
พอคีลออกไปได้ไม่ทันไร
เหล่าหญิงรับใช้ที่ถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอกต่างกรูกันเข้ามาปรนณิบัติเฟยาจนดูวุ่นวาย
กลุ่มหนึ่งยกน้ำอุ่นมาให้นางล้างหน้าล้างตา กลุ่มหนึ่งจัดเตรียมที่นอนให้
กลุ่มหนึ่งนางเห็นขนเสื้อผ้ามากมายมาจัดเก็บในห้องนาง
อีกกลุ่มกำลังพยายามถอดเสื้อผ้านางออกเพื่อผัดเปลี่ยน
ทำไมมันถึงได้วุ่นวายกันขนาดนี้นะ
...เฟยาไล่ทุกคนออกไปจากห้องให้หมด พวกนางไม่ยอมอ้างว่าต้องทำตามหน้าที่
จนเฟยาต้องออกปากไล่ซ้ำพวกนางถึงยอมพากันออกจากห้องไป ...นางจะเหนื่อยก็เพราะมีแต่คนมาวุ่นวายกับนางนั่นแหละ
เมื่อได้อยู่ตามลำพังเฟยาก็ปลดเครื่องประดับออกจากศีรษะ
รวมทั้งมวยผมที่ท่านแม่เกล้าไว้ให้อย่างสวยงามออก เปลี่ยนเป็นใช้เชือกมัดไว้หลวม ๆ
แทน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของเฟเรียออกแล้วเดินไปเลือกชุดที่หญิงรับใช้จัดเตรียมให้แทน
“ขาว
เหลือง ฟ้า ชมพู” เฟยาไล่สีเสื้อผ้าซึ่งมีแต่สีอ่อนทั้งนั้น นางมองผ่าน ๆ
แล้วหยิบชุดที่เท่าอ่อนมาใส่ ซึ่งนางคิดว่าพอรับได้ที่สุด
นางมองดูตัวเองในกระจกแล้วค่อยรู้สึกพึงพอใจในสภาพของตน
นางไม่ใช่เฟเรียจึงไม่จำเป็นต้องแต่งกายงดงามใส่เครื่องประดับปรุงแต่งกายให้เฉิดฉัน
นางก็คือนาง ถึงนางจะดูหยาบกระด้างไปบ้างแต่มันก็คือตัวตนของนาง
เฟยานั่ง
ๆ นอน ๆ จนเบื่อ นางรู้ดีว่าคีลไม่อาจมาหานางได้ในเวลาอันใกล้
นางจึงคิดจะออกเป็นเปิดหูเปิดตาเดินดูรอบ ๆ แถวนี้เสียหน่อย
แต่พอออกจากห้องก็ต้องเห็นหญิงรับใช้กลุ่มใหญ่ที่นางไล่ออกมา ยืนรออยู่ด้านนอก
“ท่านเฟเรียมีอะไรให้พวกข้าน้อยรับใช้หรือเจ้าคะ”
หนึ่งในหญิงรับใช้รีบเอ่ย
“ไม่มีหรอก
ข้าแค่อยากเดินดูรอบ ๆ แถวนี้เท่านั้น พวกเจ้าอยากไปไหนก็ไปเถอะ”
“ถ้าท่านเฟเรียอยากเดินเล่น
พวกข้าจะพาท่านชมรอบ ๆ นี้เองเจ้าค่ะ ปราสาทแห่งนี้กว้างใหญ่นัก หากท่านเดินคนเดียวจะหลงเอาได้เจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร
ข้าเปลี่ยนใจแล้วขอพักผ่อนดีกว่า” เฟยาเดินกลับเข้าห้องเช่นเดิม
พวกนางช่างพูดจาขัดหูนัก เรียกนางว่าเฟเรีย ๆ อยู่ได้ นางไม่ใช่เฟเรียเสียหน่อย
เฟยาหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่างแล้วมองลงไปเบื้องล่าง
เห็นทหารเวรเดินตรวจตราอยู่เป็นระยะ คิดอยากจะกระโดดหนีออกทางหน้าต่างคงจะไม่ได้
จะออกทางประตูก็มีเหล่าหญิงรับใช้คอยอยู่
...วันแรกของการมาเยือนมิดการ์ดช่างเหมือนนกน้อยในกรงทองเสียจริง
เฟยานั่งรออยู่ในห้องด้วยใจอดทน
รอจนคีลเสร็จกิจแล้วมาหานางเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเดวา
อยู่ที่นี่สะดวกสบายดีไหม”
“ข้าเบื่อออ”
นางลากเสียงยาว “คีล เจ้าบอกให้พวกนางเลิกมาวุ่นวายกับข้าได้ไหม”
นางชี้มือไปด้านนอก
ซึ่งคีลก็เข้าใจว่านางหมายถึงเหล่าหญิงรับใช้ที่อยู่นอกประตูนั่น
เขายิ้มแล้วอธิบายให้นาง
“หญิงรับใช้เหล่านั้นมีหน้าที่ปรนณิบัติเจ้าโดยเฉพาะ
เจ้าก็อย่าคิดว่าพวกนางวุ่นวายเลย”
“แต่ข้าไม่เคยชินที่ต้องมีคนมาปรนณิบัตินี่
เจ้าให้พวกนางไปทำอย่างอื่นเถอะ ไม่ต้องให้พวกนางมาปรนณิบัติข้าหรอก”
ได้ยินนางพูดดังนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
นางช่างแปลกคนเสียจริง ใคร ๆ ก็ชอบให้มีคนปรนณิบัติมาเอาใจ
ส่วนนางกลับคิดตรงกันข้าม
“ยังไงเจ้าก็ต้องมีคนคอยปรนณิบัติ
เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวในปราสาทแห่งนี้งั้นเหรอ
อย่างน้อยมีคนคอยอยู่กับเจ้ายามที่ข้าไม่อยู่ด้วย ข้าจะได้อุ่นใจ”
ความห่วงใยของเขาทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ
จนนางไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของเขาได้
แต่นางก็ยังมีข้อแม้ว่าขอแค่หญิงรับใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งคีลก็ตามใจนาง
“ข้ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่อยากพาเจ้าไป”
เห็นนางบอกว่าเบื่อ เขาจึงคิดจะพานางไปสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ส่วนตัวของเขา
คีลจูงมือเฟยาไปด้วยกัน
เมื่อออกมานอกห้องก็พบเหล่าหญิงรับใช้ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบที่คอยอยู่รับใช้องค์รายาและเฟยา
และเมื่อเขาโบกมือเพียง แค่ครั้งเดียวเหล่าหญิงรับใช้รู้งานก็พากันเดินออกไป
ให้องค์รายาได้มีเวลาส่วนตัวกับหญิงสาวเพียงลำพัง
คีลพาเฟยาไปยังป่าสนซึ่งอยู่ด้านหลังของปราสาท
อาศัยแสงจันทร์เต็มดวงส่องนำทางแทนโคมไฟ ป่าสนแห่งนี้มีต้นสนขนาดใหญ่เล็กปลูกเรียงรายกันเป็นบริเวณกว้างดูสวยงาม
ยามราตรีดึกสงัดจะให้ความรู้สึกวังเวง แต่ก็เป็นเสน่ห์ไปอีกแบบต่างจากตอนกลางวัน
เฟยาเองก็ดูจะพอใจกับสถานที่แห่งนี้มาก ทำให้พลอยนึกถึงป่าต้องห้าม
“เมื่อข้าต้องการเวลาเป็นส่วนตัว
ข้าก็จะมาที่นี่
ทุกคนจะรู้ว่าที่นี่เป็นที่ส่วนตัวของข้าและห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด
แต่จากนี้ไปสถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นที่ส่วนตัวของเจ้าเช่นกัน”
เห็นเฟยาดื่มด่ำกับความร่มรื่น เขาก็เริ่มอธิบายต่อ “ข้าชอบมาที่นี่ตั้งแต่ครั้งเมื่อกลับจากอีสการ์ดตอนที่ข้ายังเป็นเพียงผู้สืบทอด
ที่แห่งนี้ทำให้ข้าหวนรำลึกถึงเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่อ้างตัวว่าเป็นคนดูแลป่าต้องห้าม
เด็กผู้หญิงที่ข้าไม่เคยลืมนางไปได้เลย” เขาส่งสายตาหวานซึ้งให้เฟยา
แล้วก็เห็นว่านางกำลังแอบอมยิ้มอยู่
เห็นนางมีความสุข
เขาก็สุขตาม คีลจูงมือเฟยาเดินลึกเข้าไปอีก พ้นจากป่าสนจะเป็นทุ่งดอกไม้เล็ก ๆ
ซึ่งนางก็ไม่รู้หรอกว่าดอกไม้พวกนั้นมีสีอะไร เพียงแต่...ยามที่พวกมันต้องลม
ละอองเกสรเรืองแสงจากดอกไม้จะปลิวว่อนไปในอากาศ
เหมือนมีดาวนับล้านเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า แต่ชั่วพริบตาแสงนั้นก็จางหายไป
รอจนดอกไม้ต้องลมและเกสรปลิวไสวขึ้นมาอีกครั้ง
ดาวนับล้านก็จะถูกจุดขึ้นมา...แล้วก็ดับไป วนเวียนซ้ำกันอยู่อย่างนี้
คีลพาเฟยาเดินเข้าไปกลางทุ่งดอกไม้
เมื่อดอกไม้ถูกทำให้ไหวด้วยสัมผัสจากมนุษย์
ละอองเกสรเรืองแสงก็พากันปลิวว่อนรอบตัวคนทั้งสอง เหมือนถูกดาวนับล้านห่อหุ้มกาย
ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน
นางไม่เคยได้สัมผัสช่วงเวลาแห่งความสวยงามพร้อมกับความปลื้มปิติในใจอย่างนี้มาก่อนในชีวิต
คีลเป็นคนหยิบยื่นสิ่งนี้ให้แก่นาง นางมีความสุขเกินกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
เฟยาทำใจกล้าเขย่งปลายเท้าจูบปากเขาอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มทำตาเจ้าเล่ห์โอบรัดนางไว้แนบกาย แล้วประกบริมฝีปากลงไปอย่างหนักหน่วงและลึกซึ้ง
ลิ้นร้อนควานทั่วโพรงปาก ตักตวงความหวานอย่างไม่รู้จักพอ
ร่างบางสั่นสะท้านจนแทบทรงตัวไม่อยู่
สองแขนเกาะเกี่ยวยึดเขาไว้มั่นรอจนเขาถอนริมฝีปากออก ร่างบางก็เหมือนคนจับไข้
รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วกาย
ชายหนุ่มตระกองกอดหญิงสาวไว้แนบอก
เขาหลงใหลในตัวนางมากขึ้นทุกวัน ๆ
อยากครอบครองนางให้นางเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
แต่เขาก็ไม่อาจหักหาญน้ำใจหญิงที่เขารักสุดหัวใจคนนี้ได้
“ข้ารักเจ้า
เดวา”
“ข้าก็รักเจ้า
คีล” นางหวังว่าจะมีความสุขอย่างนี้ตลอดไป ขออย่าให้มีอะไรหรือใครมาทำลายความสุขนี้เลย
“เอ่อ
คีล” เฟยาตัวแข็งทื่อเมื่อบางอย่างขึ้นมาได้ “ดอกไม้พวกนี้มีภูติอาศัยอยู่ใช่ไหม”
ดอกไม้ที่งดงาม
ดอกไม้ที่ดูวิเศษ ดอกไม้ที่ดูต่างจากดอกไม้ธรรมดาทั่วไปมักจะมีเหล่าภูติอาศัยอยู่
แล้วดอกไม้ที่เกสรเรืองแสงได้ จะนับเป็นดอกไม้ธรรมดาได้อย่างไร
“มีอะไรหรือเดวา”
จู่ ๆ นางก็มีท่าทางเปลี่ยนไป
“ตอบข้ามาสิ
ว่าดอกไม้พวกนี้มีภูติอาศัยอยู่หรือไม่”
“มีสิ”
เขาตอบสั้น ๆ แต่เฟยากลับตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเก่า “เจ้าเป็นอะไรรึเปล่าเดวา”
“รีบออกไปจากที่นี่เถอะ”
นางไม่อยากถูกพวกภูติโกรธเอา
เฟยารีบลอยตัวขึ้นเหนือทุ่งดอกไม้แล้วพาตัวเองออกไปจากบริเวณนั้น
คีลที่ยังงุนงนกับพฤติกรรมของนางก็ทำอย่างนาง พาตัวเองออกไปจากทุ่งดอกไม้
จนเท้าแตะพื้นหญ้าเขาจึงขอคำอธิบายจากนางว่าเหตุใดจากที่ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันหอมหวาน
จู่ ๆ นางถึงทำท่าเหมือนกลัวดอกไม้เหล่านี้นัก
“ก็เพราะดอกไม้เหล่านี้มีพวกภูติอยู่น่ะสิ”
พวกมันอารมณ์ร้ายใช่ย่อย นางเคยเจอกับตัวมาแล้ว
“เมื่อตอนเด็กข้าเห็นดอกไม้ที่ป่าต้องห้ามสวยงามและยังมีกลิ่นที่หอม
ข้าเลยคิดจะเด็ดกลับบ้าน ไม่รู้ว่าดอกไม้นั่นมีภูติอาศัยอยู่ ทีนี้พอข้าเด็ดดอกนั่นมา
พวกภูติก็โมโหกันใหญ่ ใช้เถาวัลย์มัดขาข้าห้อยหัวกับต้นไม้
มิหนำซ้ำยังใช้เถาวัลย์ฟาดก้นข้าเสียระบมไปหมด” แค่นึกถึงก็ขยาดแล้ว
ขอทีกับเหล่าภูติทั้งหลาย
ได้ฟังเฟยาเล่า
คีลถึงกับหัวเราะออกมาก แม้นางจะไม่ได้ท่องไปทั่วทุกดินแดนเช่นเขาแต่นางกลับหาเรื่องเล่าแปลก
ๆ มาให้เขาฟังได้
“ข้าไม่ได้เล่าเรื่องตลกให้เจ้าฟังนะ”
เฟยาแหวใส่ คีลกลับหัวเราะไม่หยุด
เอาเถอะ
เขาไม่เคยเจอดีเหมือนนางก็เลยหัวเราะได้
ลองสักวันเจอพวกภูติแผลงฤทธิ์ใส่บ้างแล้วจะหัวเราะไม่ออก
หลังจากเฟยาตกลงกับคีลเรื่องหญิงรับใช้ที่จะมาปรนณิบัตินาง
เฟยาก็ได้หญิงรับใช้ส่วนตัวมาหนึ่งคนซึ่งนางเป็นคนเลือกมาเองกับมือจากเหล่าบรรดาหญิงรับใช้ทั้งหลาย
คานัน
หญิงสาวที่ค่อนข้างจะแปลกแยกจากคนอื่น ๆ
เมื่อเฟยาเลือกนางมาเป็นหญิงรับใช้ประจำตัว นางสังเกตเห็นว่าคนอื่น ๆ ต่างทำตาโต
คาดไม่ถึงว่าคานันจะได้รับเลือก
และยังมีแย้งว่าคานันไม่เหมาะสมที่จะมารับใช้นางทั้งสิ้น
แต่นั่นแหละคือเหตุผลหลักที่เฟยาเลือกคานัน
...เพราะนางไม่ใคร่อยากจะปรนณิบัตินางเท่าใด
เฟยานั่งมองหน้าคานัน
หญิงรับใช้ประจำตัวของนางยืนทำหน้าเมื่อยอยู่มุมห้อง อย่างนี้สิคนที่นางต้องการ
คนที่ไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรกับนาง ไม่ทำให้นางรู้สึกเหมือนนกน้อยในกรงทอง
“คานัน
เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ” เฟยาช่วยสงเคราะห์เพราะเห็นว่านางคงไม่อยากอยู่ที่นี่เท่าใด
คานันทำหน้าคิดใคร่ครวญสักพัก
ก่อนจะรับคำแล้วขอตัวออกไป เมื่อหญิงรับใช้ไม่อยู่เฟยาจึงใช้โอกาสนี้เดินสำรวจรอบ
ๆ ปราสาทเล่น
ปราสาทแห่งมิดการ์ดใหญ่โตโอ่อ่า
และสวยงาม เสาทุกต้นถูกสลักเสลาไว้อย่างประณีต
ตามกำแพงถูกประดับด้วยผ้าทอและรูปวาด
เพดานถูกเสกด้วยเวทย์มนต์ทำให้มีลักษณะเหมือนท้องฟ้า มีก้อนเมฆขวาละเอียดค่อย ๆ
เคลื่อนตัว และผีเสื้อหลากสีนานาพันธุ์ที่บินวนอยู่เต็มท้องฟ้า
ดูแล้วสบายตาและให้ความรู้สึกสดชื่น
เฟยาเดินไปทางทางเดินเรื่อย
ๆ มีทางให้เลี้ยวซ้ายก็เลี้ยว มีทางให้เลี้ยวขวาก็เลี้ยวขวา มีทางแยกก็เดินตรงไป
ไม่ใคร่สนใจจำเส้นทางในปราสาทนัก ที่ไหนมีภาพวาดบนผนังสวย ๆ นางก็หยุดยืนดู
หรือหากมีอะไรน่าสนใจน่าก็จะเข้าไปดูใกล้ ๆ ไม่สนใจสายตาที่มองนางตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน
นางเพิ่งจะรู้ซึ้งเป็นครั้งแรกว่าเฟเรียรู้สึกอย่างไรเวลามีจ้องมองตน
ทุกคนต่างตะลึงพรึงเพริดไปกับความงามบนใบหน้า
จ้องมองนางจนต้องเหลียวหลังไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือคนแก่
...ทำให้นางรู้สึกเหมือนสัตว์ประหลาดที่ใคร ๆ ต่างพากันมอง
เฟยายังคงเดินเล่นชมปราสาท
นางมีเวลาทั้งวันที่จะเดินให้ทั่ว เผลอ ๆ นางอาจเจอคีลเข้าโดยบังเอิญก็ได้
แต่ว่าเมื่อเดินไปสักพักนางรู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม แรก ๆ ก็ไม่เอะใจเท่าใด
แต่ผ่านไปได้สักระยะนางยิ่งรู้สึกเหมือนว่ากำลังมีคนตามนางและจำนวนก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ
เฟยาหันซ้ายหันขวาหาโอกาสเหมาะกระโดดหนีออกทางหน้าต่างแล้วหลบซ่อนอยู่หลังกำแพงนอกปราสาท
ฝ่าเท้าเหยียบอากาศ
เหาะอยู่เหนือพื้นดินแต่ยังแนบตัวกำแพงคอยฟังความเคลื่อนไหวด้านใน
“นางหายไปไหนแล้ว”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“นางเป็นใครข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
เป็นนางกำนัลมาใหม่รึเปล่า”
“หรือจะเป็นลูกสาวบ้านไหน
ข้าจะได้ไปสู่ขอ”
“แต่ข้าอยากให้เป็นนางกำนัลมากกว่า
จะได้ฉุดง่าย ๆ หน่อย”
เอ๋...ต้องถึงกับฉุดเลยเหรอ
เฟยาฟังบทสนทนาที่พูดถึงตนอยู่ด้านนอกแล้วหน้าเบ้
เป็นครั้งแรกที่เห็นมีคนชื่นชอบในตัวนาง (นอกจากคีล)
แต่นางกลับไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย ฟัง ๆ แล้วคนพวกนี้น่ากลัวยิ่งนัก
แค่เห็นหญิงสาวก็คิดจะฉุดคร่ากันเลยทีเดียว น่ารังเกียจจริง
“เฮ้ย
ๆ ไม่ได้ ข้าเป็นคนเห็นก่อน นางต้องเป็นของข้าสิ” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น
ทำให้คนอื่น ๆ ต่างพากันแย้งและถือสิทธิ์ในตัวยิ่งสาว
เรื่องเริ่มชักไปกันใหญ่เมื่อตัดสินกันไม่ได้ว่าใครเห็นก่อน
ก็กลายเป็นว่าใครเก่งกาจสุดและใครมีอำนาจมากที่สุด
เฟยาทนฟังต่อไม่ไหว
นางค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงสู่พื้นดิน
การเดินเล่นชมปราสาทในวันนี้คงต้องยุติเพียงเท่านี้ก่อน แต่เฟยาไม่คิดจะกลับไปอุดอู้อยู่ในห้อง
นางถือโอกาสนี้เดินดูรอบนอกปราสาทเสียเลย
เดินไปได้สักพักนางก็ได้ยินเครียงเคร้ง
เคร้ง เหมือนโลหะกระทบกัน พอเข้าไปดูใกล้ ๆ
จึงได้เห็นเหล่าทหารกำลังฝึกซ้อมดาบกันอยู่
แล้วสายตาของนางก็หยุดอยู่ที่บุรุษผู้มีประกายผมดั่งเพลิงเมื่อต้องแสงอาทิตย์เจิดจ้า
คีลของนางกำลังซ้อมดามอยู่กับเหล่าทหาร
ดวงหน้าคมคายมีเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า
ผมยาวสีน้ำตาลแดงผูกเปียไว้อย่างลวก ๆ ด้านหลัง เสื้อผ้าส่วนบนถูกมัดรวบไว้ที่เอว
เปลือยท่อนบนเผยมัดกล้ามและหน้าอกแกร่งที่ปกติถูกซ่อนใต้เสื้อผ้า
เฟยาหามุมเหมาะแล้วนั่งลงกับพื้นมองคนที่นางรักฝึกซ้อมดาบกับทหาร
เขาช่างมีฝีมือเก่งกาจนัก
ท่วงท่างดงามแต่ทุกครั้งที่ลงมือกลับเต็มไปด้วยความหนักหน่วงและรวดเร็ว
นางนั่งชมอย่างเพลินตา ได้เห็นรูปร่างสมส่วนของเขาแล้วรู้สึกใจเต้นระทึกแปลก ๆ ปากอิ่มเผลออ้ากว้างโดยไม่รู้ตัว
หากสังเกตดี ๆ จะเห็นน้ำลายอยู่ที่มุมปาก
“ฮิ
ฮิ ฮิ” คีลของนางช่างโดดเด่นเสียจริง ท่ามกลางเหล่าทหารมากมาย
นางกลับเห็นเขาโดดเด่นแตกต่างจากคนอื่น ๆ อีกทั้งใบหน้าที่ดิบเถื่อนหล่อเหลา
ร่างกายสมส่วนนั่นอีก ...มองแล้วรู้สึกมีความสุขเสียจริง
“เถื้อน
เถื่อน” สายตานางพร่างพราวระยิบระยับ หาโอกาสให้สอบส่ายสายตาไล้เรือนร่างนั่นอย่างมิคิดปิดบัง
เฟยามองคีลเพลินจนไม่ทันสังเกตว่าทหารคนอื่น
ๆ พากันหยุดฝึกซ้อมแล้วชี้โบ้ยมาที่นาง
หญิงผู้มีใบหน้างดงามที่สุดที่เคยเห็นมานั่งดูเหล่าทหารฝึกซ้อมดาบอยู่ไม่ไกล
พวกเขาต่างพากันชี้ชวนให้ดูหญิงงาม เพียงชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเสียงฮือฮา
คีลหันไปมองต้นเหตุที่ทำให้ทหารของเขาฮือฮาและเสียสมาธิ
แล้วก็เห็นร่างของหญิงงามซึ่งอยู่ไม่ไกลกำลังนั่งขัดสมาธิท่าทางไม่สมเป็นกุลสตรีมองมาทางเขา
เห็นดังนั้นเขาก็เผลอยิ้มออกมาและเดินเข้าไปหานาง
ยืนมองนางที่กำลังแหงนหน้าขึ้นมองเขา
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เฟยาเอาแต่ยิ้มเหมือนไม่ได้ยินที่เขาถาม
ประกายในตาของนางกลับทำให้คีลรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาแทน
...นางมองเขาโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว
“ดูท่าเจ้าจะไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่ข้าคิดไว้นะ
เจ้าชอบรูปร่างของข้ามากหรือเดวา” เฟยายังคงเอาแต่ยิ้ม
“ข้าเพิ่งรู้นะว่าเจ้าเองก็รูปงามเหมือนกัน”
เขาอยากหัวเราะเสียจริง
บางครั้งนางก็ดูไร้เดียงสาไม่รู้จักเรื่องระหว่างชายหญิง
แต่บางครั้งก็เปิดเผยโจ่งแจ้งเสียจนทำให้เขาไปถูกกันเลยทีเดียว
“ไปกันเถอะ
ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่ห้อง” เขาไม่อยากให้นางอยู่ตรงนี้ เป็นเป้าสายตาของทหารพวกนั้นนัก
นางเป็นของเขา เขาย่อมหวงเป็นธรรมดา
“ข้าอยากอยู่ที่นี่มากกว่า
ข้าอยากดูเจ้าฝึกซ้อมดาบ เจ้าให้ข้าอยู่ที่นี่เถอะนะ
เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องข้าคงได้อึดอัดตายกันพอดี ข้าไม่ทำตัวให้เป็นภาระเจ้าหรอก
ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ นั่งดูเจ้าไม่กวนเจ้าซ้อมดาบด้วย”
“ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าเป็นภาระ เพียงแต่...”
เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ข้าหวงมากกว่า
เขาช่างทำให้ใจนางเต้นไม่เป็นจังหวะบ่อยเสียจริง
แล้วไหนจะรูปร่างสมชายชาตรีที่เข้ามาใกล้นางอีก
ยิ่งทำให้นางอยากอยู่ตรงนี้ไม่อยากไปไหน
“ให้ข้าได้อยู่ตรงนี้เถอะนะ
ข้าอยากเห็นเจ้า มองดูเจ้าให้มากที่สุด”
ถึงนางจะขอร้องเขาก็ไม่ยอมให้นางเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครเด็ดขาด
ถึงทหารเหล่านั้นจะรู้ว่านางเป็นผู้หญิงของเขา แต่หญิงงามก็คือหญิงงาม
คนไหนเลยจะอดใจไม่ให้มองได้เล่า
คีลหันหลังโบกมือให้เหล่าทหารเป็นสัญญาณว่าวันนี้เลิกแต่เพียงเท่านี้
เขาฉุดเฟยาให้ลุกขึ้นแล้วพานางเดินไปทางป่าสน
เพราะนางบอกว่าไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้อง
คีลจูงมือเฟยาทั้งที่ยังคงเปลือยท่อนบนไม่ยอมใส่เสื้อที่ห้อยอยู่ตรงเอว
เหตุเพราะนางมักลอบมองเขาบ่อย ๆ สงสัยว่านางคงจะชอบหุ่นเขา
หากนางชอบขนาดนั้นเขาก็ต้องอวดให้นางได้เห็นชัด ๆ เสียหน่อย
เมื่อเข้าเขตป่าสนคีลเปลี่ยนจากจูงมือเฟยาเป็นโอบเอวนางแทน
สองกายใกล้ชิดสัมผัสกันมากขึ้น แต่เหมือนการรับรู้ของนางจะด้านชาไปชั่วครู่
“ทำอะไรของเจ้าน่ะคีล
ข้าเดินไม่ถนัด”
เขาล่ะอยากร้องไห้จริง
ๆ ทำไมนางถึงได้เป็นหญิงที่คาดเดายากขนาดนี้นะ แทนที่คีลจะปล่อยนางเขากลับโอบเอวนางให้แน่นขึ้น
ยิ่งทำให้นางเดินลำบากมากขึ้น
“นี่เจ้าแกล้งข้าเหรอ”
เฟยาพยายามแกะมือเขาออกจากเอว ทว่าไม่ทันไรเขาก็ช้อนตัวนางขึ้นพาดบ่า
ยิ่งทำให้นางโวยวายขึ้นไปอีก
“หึหึ”
เสียงหัวเราะในลำคอ พึงพอใจกับปฏิกิริยาของนาง ยิ่งนางโวยวายดิ้นไปดิ้นมาเขาก็ยิ่งนึกสนุก
...เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกมีชีวิตชีวาขนาดนี้มานานแล้ว
“ปล่อยข้านะคีล
ถ้าไม่ปล่อยจะจุดไฟเผาผมเจ้าซะ”
‘ดุซะด้วย’
“ปล่อยก็ได้
เตรียมตัวนะ” ปากได้รูปยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาหรี่ลงอย่างคนมีแผนการ
ตุบ!
“โอ๊ย!”
เฟยาร้อง เขาปล่อยนางลงพื้นเปียก หากมองดี ๆ
ตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่บนทางน้ำสายเล็ก ๆ “นี่เจ้า” ทางน้ำเส้นนี้ตื้นเขินนัก
แค่เหยียบก็ไม่ท่วมฝ่าเท้า จะเดินข้ามก็แค่ก้าวเล็ก ๆ
ก้าวเดียวก็สามารถข้ามได้แล้ว
ดูสิ
หากน้ำลึกเสียหน่อยนางคงไม่ต้องเจ็บก้น แต่นี่...นอกจากต้องมาเจ็บตัวแล้ว
ยังต้องมาเปียกครึ่งแห้งครึ่งอย่างนี้อีก
เฟยาวาดมือไปทางเขา
สายน้ำเส้นเล็ก ๆ รวมตัวกันพุ่งเข้าใส่หน้าเขาในทันใดโดยไม่ให้ทันตั้งตัว
“นี่เจ้าเอาคืนเหรอ”
คีลชี้นิ้วใส่นาง แล้วสายน้ำอีกเส้นก็จู่โจมใส่เขาอีกครั้ง และอีกครั้ง
“สมน้ำหน้า”
นางตะโกนใส่เขา เชอะ...อยากแกล้งนางดีนัก
รอเฟยาเอาคืนเขาจนสาแก่ใจ
อาศัยโอกาสเหมาะเขาทุ่มตัวใส่นางทั้งตัว
จนทำให้นางหงายหลังโดยมีเขาขึ้นคร่อมทั้งตัว
“ดื้อเสียอย่างนี้
ข้าควรจะลงโทษเจ้ายังไงดี” เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้น
แท้จริงแล้วเขามีบทลงโทษนางเตรียมไว้ในใจอยู่แล้ว
“เจ้าแกล้งข้าก่อนนี่”
เฟยาไม่ยอมแพ้
“เถียงคำไม่ตกฟากอย่างนี้
ต้องจูบปิดปากเสียดีไหม”
เฟยาทำตาโต
ปากเจื้อยแจ้วพลันหุบฉับ ปฏิกิริยาของนางเรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้เป็นอย่างดี
แต่บทลงโทษจากเขาย่อมไม่ปล่อยไว้เนิ่นนาน
ใบหน้าคมคายโน้มลงเข้าหาปากอิ่มและประกบไว้เนิ่นนาน
หยอกเย้าไล้หาความหวานนุ่มไม่รู้จักหน่าย เมื่อหญิงสาวตอบสนองสัมผัส
จูบตอบทำอย่างที่เขาเคยกระทำ ยิ่งพัดให้ไฟพิศวาสในกายโหมกระพือยิ่งขึ้น
สองร่างเกาะเกี่ยวแนบแน่นกว่าที่เคย
มือหนาไล้โลมไปทั่วกาย ปากหยักฟอนเฟ้นหาความหวานทั่วผิวเนียนละเอียด ความวาบหวามแล่นไปทั่วสรรพางค์
เสียงครางลอดออกมาเป็นระยะดั่งเชื้อชั้นดีจุดอารมณ์ให้มอดไหม้
แต่ทันใดนั้น
ชายหนุ่มกับหยุดทุกอย่าง
ลมหายใจหอบกระชั้นฝืนตัวเองให้หยุดก่อนที่ทุกอย่างจะเตลิดไปมากกว่านี้
เขาไม่ต้องการครอบครองนางที่นี่เวลานี้ กลางดินกลางทรายเหมือนพวกตายอดตายอยาก
ครั้งแรกระหว่างเขากับนางควรจะน่าประทับใจกว่านี้ และเป็นส่วนตัวยิ่งกว่านี้
สติที่ลอยคว้างของหญิงสาวถูกฉุดออกจากภวังค์อย่างกะทันหัน
เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาความนึกคิดก็เข้าจู่โจม นางรีบสำรวจสภาพตนเอง
เสื้อผ้าหลุดลุ่ย บ้างเปียกน้ำเป็นวง
บ้างเลอะโคลน น่าอับอายเป็นที่สุด ยิ่งกว่านั้นนางยังเผลอไผลปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์อีก
เฟยาหันไปมองคีลที่กำลังระงับอารมณ์ตนเองอยู่ใกล้
ๆ เห็นเขาเป็นอย่างนี้นางก็เผลอยิ้มออกมา ที่เขาหยุดกลางคันทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า
เขาห่วงความรู้สึกของนางและเห็นนางสำคัญ เพราะหากเขาไม่เป็นคนหยุดตัวเอง
ทั้งนางและเขาก็อาจจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
“ข้าดีใจนะที่เจ้าหยุด”
นางเข้าไปพูดใกล้ ๆ เขา
“ข้าไม่ยักจะดีใจไปกับเจ้า”
เขาทรมานอย่างนี้จะให้ดีใจไปกับนางได้อย่างไร แล้วดูสินางสิ
ยิ้มอย่างนี้เดี๋ยวก็จับปล้ำอีกรอบซะเลย
“ข้าชอบเจ้าจังคีล”
ยังจะมาพูดอีก
“คราวหน้าเจ้าไม่รอดแน่”
นางยังคงกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะ
หากมีคราวหน้าจริงนางก็ไม่รังเกียจ นางไม่ใช่พวกอยู่ในกรอบจารีต
นางก็แค่พวกที่ชอบทำอะไรตามใจตนเอง หากนางพอใจและไม่ใช่เรื่องผิดบาป นางก็จะทำและไม่สนว่าใครจะมองยังไงด้วย
วันต่อมาและต่อ
ๆ มา คีลมักจะพาเฟยาติดตามไปด้วยทุกที่ เพื่อให้ใครต่อใครรู้กันว่านางคือผู้หญิงของเขา
ว่าที่รานีในอนาคต
ชายอื่นไม่มีสิทธิ์หวังในตัวนาง
หลายวันที่เฟยาได้ติดตามคีลไปทุกที่
นางเพิ่งได้รู้ว่าผู้เป็นรายาไม่ได้สบายอย่างที่คิด นอกจากจะต้องว่าราชกิจต่าง ๆ
ด้วยตนเองเพื่อให้ดินแดนทั้งห้าเกิดความสมดุลและสงบสุขแล้ว ยังต้องคอยระแวดระแวงการชิงอำนาจที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เพราะนอกจากเขาจะมีนางข้างกายแล้ว ยังมีซาร์ก องครักษ์ของเขาตามติดไปด้วยทุกที่
และเมื่อใดที่คีลว่างจากราชกิจ
เขาก็จะพานางชมรอบ ๆ ปราสาท พร้อมกับคำอธิบายถึงที่มาและเรื่องราวต่าง ๆ
ที่เคยเกิดขึ้นในปราสาทแต่ละยุคแต่ละสมัย
ซึ่งเฟยาก็ตั้งอกตั้งใจฟังดวงตาเป็นประกายทุกครั้งยามที่เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ
เหมือนเมื่อสมัยเป็นเด็กไม่มีผิด
“ข้าเล่าเรื่องในปราสาทให้เจ้าฟังตั้งเยอะแยะ
แล้วเจ้าล่ะ ข้าอยากฟังเรื่องของเจ้าบ้าง” กว่าจะได้พบกันอีกครั้งก็ผ่านไปหลายปี
เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านางเติบโตมาเช่นไร พบเจออะไรมาบ้าง
“เรื่องของข้าน่ะหรือ
...อืม” นางทำท่าคิด “ก็ไม่มีอะไรมากนะ วัน ๆ ก็ทำงานบ้านตามที่ท่านแม่สั่ง
ตกค่ำก็ไปหาอาจารย์ ฝึกเวทย์บ้างนั่งคุยกับอาจารย์บ้าง วันไหนเหนื่อย ๆ
ก็แวะแช่น้ำอุ่นแถว ๆ สระน้ำในป่า พอใกล้รุ่งก็กลับ”
กิจวัตรของนางฟังดูแล้วเหมือนไม่มีอะไร
แต่ทำไมทุกอย่างมันเหมือนผิดเวลาไปเสียหมด
“เจ้าฝึกวิชาตอนกลางคืนหรือ”
เขาถาม
“ก็กลางวันข้าต้องทำงานบ้านนี่
กว่าจะแอบไปหาอาจารย์ได้ก็ต้องเป็นเวลาที่ฟ้ามืดเท่านั้น”
“เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ
เจ้าบอกว่าเจ้าแอบไปหาอาจารย์อย่างนั้นหรือ” แล้วทำไมต้องแอบไปตอนค่ำมืดด้วยเล่า
จะฝึกเวทย์ทำไมไม่ฝึกในเวลากลางวัน
“ก็ใช่น่ะสิ”
เฟยาหันซ้ายหันขวา แล้วกระซิบข้างหูเขา “ก็อาจารย์อาศัยอยู่ในป่าต้องห้ามนี่นา
ข้าเคยบอกเจ้าแล้วนี่ว่าถ้ามีใครโดนจับได้ว่าเข้าป่าต้องห้ามจะต้องโดนลงโทษ”
“แล้วอาจารย์เจ้าเป็นใครกัน
ทำไมถึงต้องอาศัยอยู่ในป่านั้นด้วยล่ะ”
“ไม่รู้สิ”
นางตอบง่าย ๆ
“ไม่รู้”
นางตอบมาได้ยังไงว่าไม่รู้
“ไม่รู้”
นางย้ำ “ข้าเจออาจารย์ตั้งแต่เด็ก แล้วอาจารย์ก็สอนเวทย์ให้ข้า
อาจารย์ไม่เคยบอกข้าว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แล้วข้าก็ไม่สนด้วย”
หญิงผู้นี้น่าทึ่งชะมัด
นางอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ความคิดของเขาสิ้นเชิง นางบอกว่าชีวิตของนางไม่มีอะไรมาก
แต่ในความไม่มีอะไรของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามของคนที่ได้ฟัง
อยู่กับนางเขาไม่เคยได้เบื่อเลยจริง
ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น