หน้าเว็บ

บทที่ 9 : เมื่องานเลี้ยงต้องเลิกลา


            คีลกลับมิดการ์ดไปแล้ว ชีวิตที่สนุกสนานก็กลับมาน่าเบื่ออีกครั้งหรืออาจจะน่าเบื่อกว่าเดิมด้วยซ้ำ หลังงานเลี้ยงต้อนรับที่จัดขึ้นในคฤหาสน์หลังใหญ่ของท่านลุงท่านป้า ก็ไม่เคยว่างเว้นแขกผู้มาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง ทั้งสิ้นล้วนมีจุดหมายที่ตัวเฟเรีย ท่านพ่อที่หวงเฟเรียอย่างกับอะไรดีก็ไม่ยอมปล่อยให้ใครเจอกับเฟเรียง่าย ๆ ท่านเลยไม่อนุญาตให้เฟเรียลงมาพบปะผู้ใดเลยสักคนเสมือนเฟเรียเป็นเจ้าหญิงที่อยู่บนหอคอยสูง และคำสั่งนั้นก็รวมถึงตัวของนางด้วย พลอยทำให้นางขาดอิสรภาพไปอีกคน
            แขกเหรื่อเต็มบ้านออกอย่างนี้ นางจึงต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ทั้ง ๆ ที่นางยังเที่ยวไม่ทั่วเซาท์การ์ดเลย
            “เฟยา” เฟเรียเข้ามาหาเฟยาในห้องเพราะอยากหาเพื่อนคุย ซึ่งในเวลาอย่างนี้สองพี่น้องก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่
            “อุตส่าห์ได้มาเซาท์การ์ดทั้งทีกลับต้องมาอุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหนเลย น่าเบื่อจัง” เฟยาบ่นออกมา
            “นั่นมันเพราะเจ้าเนื้อหอมเองต่างหากล่ะเฟเรีย”
            “แต่ข้าอยากออกไปข้างนอกบ้างนี่นา” นางเดินไปที่ริมหน้าต่าง สายตาทอดมองไปภายนอก จดจ่ออยู่ที่ที่หนึ่งเหมือนกำลังคอยใครสักคนที่เคยยืนอยู่ตรงนั้น
            คนแปลกหน้าที่ทำให้นางเกิดความสนใจ คนแปลกหน้าที่ทำให้นางใจเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นเขา
            “เฟยาข้าคิดว่าตัวข้ากำลังมีความรักล่ะ”
            “เจ้าว่าอะไรนะ” เฟยาแทบไม่เชื่อหูตนเอง นี่เฟเรียพูดอะไรออกมากันนะ นางบอกว่านางกำลังมีความรักหรือ เมื่อไหร่กัน แล้วกับใคร
            “เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ข้าคิดว่าข้ากำลังมีความรัก”
            “กับใคร? คนในงานเลี้ยงต้อนรับหรือ”
            เฟเรียส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคือใคร ข้ามักเจอเขาโดยบังเอิญ ครั้งแรกที่เห็นเขาข้าก็สะดุดใจในทันที ท่าทางเขาต่างจากทุกคนที่ข้าเคยเจอ เขาไม่เหมือนพวกบัณฑิตหรือผู้ใช้เวทย์ที่ข้าเคยเจอมา ดูเขามีบรรยากาศเฉพาะตัว ข้าไม่สามารถละสายจากเขาได้เลย หลังจากนั้นข้าก็เจอเขาอีกไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งใจของข้าก็โหยหาถึงเขามากขึ้น ๆ อยากเจอเขา อยากเข้าไปทัก ทำความรู้จักกับเขา ...อย่างนี้เขาเรียกว่าตกหลุมรักรึเปล่าเฟยา”
            “เฟเรีย! นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าตกหลุกรักคนแปลกหน้าอย่างนั้นหรือ แล้วที่เจ้าบอกว่าอยากเข้าไปทัก ...อย่าบอกนะว่า เจ้ากับเขาไม่เคยพูดคุยกัน”
            “ใช่” เฟเรียตอบ สายตาเหม่อลอยคิดถึงใบหน้าที่ได้พบเพียงไม่กี่ครั้ง “แต่ข้ารู้สึกได้นะว่าเขาชอบข้า เขามักจะมาปรากฏตัวให้ข้าเห็น แต่ทุกครั้งเขาจะเพียงแต่มองข้าเท่านั้นแล้วก็จากไป เขาไม่สร้างความอึดอัดใจให้ข้าแม้แต่น้อย ผู้ชายที่ข้าเคยเจอมาก็มีหลายประเภท แต่ข้าก็ไม่เคยเจอใครเช่นเขามาก่อน”
            แววตาและท่าทางเพ้อหาชายนิรนามของเฟเรีย ทำเอาเฟยาถึงกับกุมขมับ นางอยากรู้นักว่าคน ๆ เป็นใคร ถึงได้ดึงดูดความสนใจของเฟเรียได้ ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาก็มีคนมาเสนอตัวให้เฟเรียได้เลือกมากมาย แต่นางกลับไม่สนใจ
            แล้วชายผู้นั้นมีอะไรดีกันนะ
            เฟเรียพูดเรื่องนี้กับเฟยาเท่านั้น นางไม่สามารถพูดคุยเรื่องทำนองนี้กับใครได้แม้แต่กับมารดาของตน โดยเฉพาะบิดาซึ่งต้องปิดไม่ได้ท่านรู้เด็ดขาด
            อัสคาดูถูกชายทุกคนที่เข้ามาหาเฟเรีย ในสายตาเขาไม่มีใครที่มีค่าพอที่จะคู่ควรกับบุตรสาวผู้เป็นดั่งดวงใจของเขา เฟเรียเปรียบเสมือนดอกฟ้าสูงส่ง ในขณะที่ผู้ชายทุกคนจะโดนเปรียบเป็นก้อนดินต่ำเตี้ยไร้ค่า ไม่ว่าชายผู้นั้นจะเป็นใครมาจากไหน สูงส่งหรือมีอำนาจมากเพียงใด ...ก็เคยมีใครถูกมองสูงกว่าก้อนดินเลยสักคน
            สองพี่น้องรู้ความจริงข้อนี้ดี จึงเป็นอันรู้กันว่าต้องไม่ให้เรื่องนี้รู้ถึงหูบุพการีของตนเด็ดขาด จะว่าไปแล้วเฟยาเองก็สงสารเฟเรีย นางไม่ค่อยมีอิสระในการคบหากับผู้อื่นสักเท่าใด เพราะถูกท่านพ่อจัดวางไว้เสียสูงเทียมฟ้าเลยทำให้ไม่กล้าคบหาสนิทสนมกับใครให้ท่านพอเคืองใจ หากเทียบกับตัวนางเองที่มักจะถูกท่านพ่อท่านแม่ปล่อยปละละเลย ก็นับว่ามีอิสระพอควรเพราะจะคบหากับใคร ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจ

            ประมาณ 2 อาทิตย์นับจากงานเลี้ยงเป็นต้นมา อัสคาได้ตัดสินใจพาครอบครัวกลับบ้านที่อีสการ์ด เพราะไม่อยากรบกวนพี่สาวของภรรยามากไม่กว่านี้ วันหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับ คฤหาสน์หลังใหญ่ต้องคอยต้อนรับแขกที่มาหาเฟเรียอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายกันตลอดทั้งวัน แม้ว่ามาร่าและสามีจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เขาก็เกรงใจเกินกว่าจะอยู่ต่อ
            อัสคาพาครอบครัวกลับอีสการ์ดในค่ำวันหนึ่ง โดยมีมาร่านั่งรถม้าไปส่งพวกเขาที่ท่าเรือ การกลับอีสการ์ดครั้งนี้มีคนรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพราะไม่อยากให้วุ่นวาย และที่เลือกเวลาขึ้นเรือตอนกลางคืน เพราะเวลาอย่างนี้จะมีคนขึ้นเรือโดยสารไม่มาก พวกเขาต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการเป็นเป้าสายตาอย่างตอนที่ขึ้นเรือจากอีสการ์ดมาเซาท์การ์ด
            มาร่าเดินมาจับมือกับน้องสาวก่อนที่พวกเขาจะขึ้นเรือกลับ
            “ที่นี่ต้อนรับพวกเจ้าเสมอ ว่าง ๆ ก็มาเที่ยวหาข้าบ้างนะ”
            “เจ้าก็เหมือนกันมาร่า หากเบื่ออากาศหนาวเมื่อไหร่ ก็แวะเวียนไปหาพวกข้าที่อีสการ์ดบ้างล่ะ” ความรู้สึกโหวง ๆ ในอก ทำให้เมเรียกุมมือมาร่าไว้แน่น นานปีถึงจะได้เจอกัน เมื่อต้องจากลาก็ย่อมรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ยังไงมาร่าก็พี่สาวเพียงคนเดียวของนาง เป็นครอบครัวของนางไม่เคยเปลี่ยน
            เมื่อล่ำลาน้องสาวเสร็จ มาร่าหันไปลาหลานสาวทั้งสอง นางลูบหัวหลาน ๆ ด้วยความรักใคร่ ตัวนางเองไม่มีบุตรจึงรักสองสาวฝาแฝดนี้มาก
            “พวกเจ้าสามารถมาหาป้าที่เซาท์การ์ดได้ทุกเวลา ที่นี่ยินดีต้อนรับพวกเจ้าเสมอ” ว่าแล้วมาร่าก็หันไปหาเฟยา หมายจะเอื้อมมือไปปัดผมที่ปรกใบหน้าออก แต่เฟยากลับก้าวถอยออกมาไม่ให้มาร่าสามารถทำเช่นนั้นได้
            มาร่าชะงักมือค้างไว้ แล้วยิ้มให้เฟยาก่อนจะหันไปพูดคุยกับเฟยาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน
            “น่าเสียดายที่เจ้าเก็บความงามเอาไว้กับตัว เจ้าควรจะเปิดเผยตัวเองให้มากกว่านี้นะเฟยา ที่ป้าพูดนี่เพราะป้าเป็นห่วง”
            “ขอบคุณท่านป้า แต่ไม่มีอะไรที่ท่านต้องห่วง ข้าอยู่อย่างนี้ก็มีความสุขดี และมันก็เป็นสิ่งที่ข้าเลือกเอง”
            ฟังจากที่เฟยาพูด แสดงว่านางเองก็รู้ตัวดีว่าตนเองนั้นมีหน้าตางดงามเพียงใด แต่นางกลับเลือกที่จะปกปิดความงามของตนเองไว้แล้วให้คนอื่นเห็นนางในรูปลักษณ์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องมองข้าม
            อย่างที่บอกไป...ช่างน่าเสียดาย
            มาร่ายืนส่งครอบครัวของเมเรียขึ้นเรือจนกระทั่งเรือออกจากท่า นางถึงเดินกลับเข้าไปที่รถม้าซึ่งจอดรอไว้อยู่ จากกันวันนี้ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะได้เจอกัน กว่าจะถึงวันนั้นก็หวังว่าพวกเขาจะยังคงสุขสบายดี
           
            เรือออกจากเซาท์การ์ดในตอนกลางคืน ถึงอีสการ์ดเมื่อตอนฟ้าสาง การเดินทางหลายชั่วโมงทำให้ทุกคนอ่อนเพลีย เมื่อกลับถึงบ้านแต่ละคนก็พากันเข้าห้องของตนไปพักผ่อนทิ้งสัมภาระต่าง ๆ กองรวมกันไว้จัดเก็บภายหลัง มีเพียงเฟยาเท่านั้นที่แสร้งทำเป็นนอนอยู่ในห้องแล้วตนเองแล้วแอบหนีเข้าป่าต้องห้ามไปหาอาจารย์
            เฟยาเองก็ล้าเช่นคนอื่น ๆ แต่เมื่อนึกถึงอาจารย์ที่กำลังคอยการกลับมาของนางที่ป่าห้ามแล้ว นางก็ไม่สามารถนอนพักผ่อนอยู่เฉยได้ อ้อมแขนกอดขนกระต่ายหิมะสีขาวผืนโตอย่างระมัดระวัง หลังจากที่นางพลาดซื้อขนหมีสีดำที่หมายตาไว้ นางก็แอบออกไปหาซื้อขนสัตว์อีกหลายรอบจนมาเจอขนกระต่ายหิมะสีขาวสะอาดนุ่มไปทั้งผืน ๆ นี้
            หลังจากที่ซื้อมาแล้ว นางก็ห่อเก็บไว้ในหีบสัมภาระของตนเองไว้อย่างดี ซ่อนมันจากสายตาทุก ๆ คน เพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามใครต่อใคร ว่าซื้อมาทำไมหรือซื้อให้ใคร
            ใบหน้างามยิ้มจนแก้มปริเมื่อฝีเท้าเข้าใกล้ถ้ำซึ่งเป็นที่พำนักอาศัยของผู้เป็นอาจารย์
            “อาจารย์ อาจารย์” นางอดเรียกหาอาจารย์ไม่ได้
            “อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว”
            ปราศจากเสียงตอบรับใด ๆ ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงต้นไม้ไหวและสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านระใบหน้า
            “อาจารย์ท่านอยู่ไหน ข้ากลับมาแล้ว” นางเรียกอาจารย์เสียงดังขึ้น สองเท้าเดินเข้าไปในถ้ำคิดว่าอาจารย์อาจจะกำลังหลับและไม่ได้ยินเสียงของตน
            “อาจารย์ข้ามีของฝากมาให้ท่านด้วยนะ” แม้แต่ในถ้ำก็ไร้คน
            คิ้วโก่งขมวดมุ่น อาการดีใจในตอนแรกค่อย ๆ หายไปทีละนิดเมื่อไม่เจอคนที่มาหา พลางนึกสงสัยว่าอาจารย์ของตนหายไปไหน ทุกครั้งที่นางเข้ามาในป่าก็จะเจออาจารย์นั่งอยู่หน้าถ้ำ ไม่ก็นอนอยู่ข้างใน หากไม่เจอนางก็จะรู้สึกได้ว่าอาจารย์อยู่ที่ไหน
            แต่คราวนี้ทุกอย่างเหมือนดูว่างเปล่า นางไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใด และที่สำคัญนางไม่รู้สึกถึงจิตของอาจารย์เลย
            เฟยากอดกระชับขนสัตว์ให้แน่นขึ้น รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่มีครั้งไหนที่มาหาอาจารย์แล้วไม่เจอ ไม่รู้สึกถึงจิตของท่าน นางพยายามเพ่งสมาธิอย่างที่สุดแต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่รู้สึกถึงอาจารย์เลยแม้แต่น้อย
            “อาจารย์ท่านอยู่ไหน” น้ำเสียงสั่นเครือขึ้นทุกที กลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กลัวไปสารพัด แต่ทั้งนี้ก็ไม่กล้าคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน
            ในเมื่อพยายามแล้วก็ยังสัมผัสจิตของอาจารย์ไม่ได้นางก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นทุกที เฟยาเร่งรุดไปหาพวกภูติที่ใกล้ทางออกของป่าสอบถามถึงอาจารย์ อารามร้อนใจจนลืมไปว่าตนนั้นออกจะหวาดกลัวพวกภูติอยู่บ้างทำให้เฟยาเรียกหาพวกภูติเสียงดัง ไม่สนใจว่าพวกมันจะไม่พอใจหรืออารมณ์เสียแต่อย่างใด
            “นังเด็กนี่อีกแล้ว เอะอะโวยวายรบกวนพวกข้าทำไม”
            “น่ารำคาญ”
            “ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
            “หนวกหู ไปให้พ้นเลยนะ”
            ต่างเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าภูติที่ถูกรบกวนการพักผ่อน แต่ละคนเริ่มเผยกายให้เห็นล้อมรอบเฟยาไว้ หากนางทำอะไรให้ไม่พอใจอีกเพียงนิด พรรคพวกนับร้อยก็จะพากันรุมประชาทัณฑ์มนุษย์ที่ร่างใหญ่กว่าตน แต่จำนวนมีเพียงหนึ่ง
            “พวกท่านเห็นอาจารย์ข้าไหม ข้า...ข้าหาเขาไม่เจอ” ปราศจากความเกรงกลัวต่อฝ่ายตรงข้ามเช่นที่ผ่านมา ตอนนี้นางคิดถึงแต่เพียงหาอาจารย์ให้พบเท่านั้น
            “เจ้าหมายถึงเกวลเหรอ”
“เรื่องแค่นี้อย่ามากวนใจข้าสินังเด็กบ้า”
            “เจ้าถามถึงเกวลใช่ไหม”
            “เกวลน่ะเอง”
            เสียงภูติตอบรับเมื่อรู้ว่าเฟยาหมายถึงใคร ทั่วทั้งป่าต้องห้ามนี้มีพวกภูติตัวเล็ก ๆ ที่พิษสงร้ายกาจอาศัยอยู่นับร้อยนับพันตน ทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในป่าย่อมไม่สามารถลอดหูลอดตาพวกมันไปได้ เฟยาเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง แต่ประโยคถัดมาของพวกมันกลับเป็น...
            “ไม่อยู่แล้ว”
“ออกไปแล้ว”
“ไม่เห็นตั้งนานแล้ว”
 “จากไปตั้งนานแล้ว”
            เหล่าภูติติดจะรำคาญหญิงสาวตรงหน้า เรื่องแค่นี้กลับมารบกวนการพักผ่อนอันแสนสงบสุขของพวกมัน เมื่อเห็นว่านางยืนนิ่งไม่คิดจะจากไปเสียที ภูติตนหนึ่งจึงใช้เถาวัลย์รัดตัวนางไว้แล้วโยนนางไปให้ไกลจากที่ที่พวกตนอยู่ หลังจากนั้นก็พากันกลับสู่ต้นไม้บ้านของตนเพื่อพักผ่อนต่อ
            เฟยาที่ถูกพวกภูติจับโยนเหมือนขยะชิ้นหนึ่ง นั่งทรุดอยู่บนพื้นในอ้อมแขนกอดขนกระต่ายหิมะไว้อย่างทะนุถนอม นางไม่เชื่อที่พวกภูติบอกเด็ดขาด พวกมันโกหกนาง อีกเดี๋ยวอาจารย์ต้องปรากฏตัวแล้วบอกว่าแกล้งนางเล่นเท่านั้น
            เฟยาวิ่งกลับไปที่ถ้ำอีกครั้ง แสงแดดในป่าเริ่มอ่อนแรงลงทุกที ความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว บ่อน้ำในถ้ำส่องสว่างเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างดูเป็นปกติเว้นเสียแต่...ปราศจากเจ้าของถ้ำ
            ความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกุมมากขึ้นทุกที ดวงตารื้นแต่ไม่ยอมให้น้ำตาหยาดหยด ...ในใจยังมีความหวัง อาจารย์ต้องไม่หายไปไหน อีกเดี๋ยวอาจารย์ก็คงกลับมาที่ถ้ำ แค่นางใจเย็นแล้วอยู่รอที่ถ้ำนี้เท่านั้น
            ในป่าต้องห้ามมืดสนิทจนไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นยังสว่างหรือว่าค่ำแล้ว เฟยานั่งคอยอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ไม่คิดจะออกจากถ้ำด้วยซ้ำหากไม่เจออาจารย์ นางจะนั่งอยู่ในถ้ำคอยอาจารย์กลับมา ไม่สนว่าที่บ้านจะโวยวายแค่ไหนที่นางหายไปทั้งวัน หรือทั้งคืน ไม่สนด้วยซ้ำว่าจะถูกทำโทษ เพราะเรื่องพวกนั้นไม่มีความสำคัญอะไรเลยถ้าเทียบกับอาจารย์ของนาง
ขณะที่เฟยานั่งกอดขนกระต่ายอยู่นั่น พลันมีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นในถ้ำจนเฟยาต้องเงยหน้ามองด้วยความสนใจ มันไม่ใช่แสงสวยงามจากบ่อน้ำแต่เป็นแสงจาก...ผนังถ้ำ
ตัวอักษรที่ปรากฏบนผนังถ้ำ ลายเส้นยึกยืออ่านออกยากสว่างเรืองรองอย่างน่าอัศจรรย์ เฟยาไล่อ่านข้อความที่ปรากฏอย่างรวดเร็ว ฉับพลันน้ำตาก็ไหลออกมาพร้อมกับเสียงร้องไห้โฮ
อาจารย์ทิ้งนางไปแล้ว อาจารย์จากไปแล้วจริง ๆ
ข้อความบนผนังเป็นข้อความที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้นางก่อนออกจากอีสการ์ด เขาจากไปโดยไม่คิดจะอยู่รอนางสักนิด
“ทำไมท่านถึงทิ้งข้าไปอย่างนี้ล่ะอาจารย์ ท่านไม่อยู่อย่างนี้แล้วต่อไปข้าจะอยู่กับใคร ท่านไม่รักข้าแล้วใช่ไหมถึงทิ้งข้าไปอย่างนี้” เฟยาตะโกนใส่ผนัง ใช้ตัวอักษรบนนั้นแทนตัวคนที่ทิ้งนางไป
“ท่านใจร้าย ใจร้ายที่สุด” พร่ำต่อว่าอาจารย์ที่ทอดทิ้งตน แต่ในอ้อมแขนกลับกอดกระชับของฝากไว้แน่น นางตั้งใจซื้อขนกระต่ายอันแสนนุ่มผืนใหญ่นี้มาให้อาจารย์รองนอน นางเฝ้าคิดถึงเวลาที่อาจารย์ได้เห็นมัน คิดว่าท่านจะชอบรึเปล่า ท่านจะดีใจไหม
แต่อาจารย์กลับทิ้งนางไป
อาจารย์เป็นยิ่งกว่าบุพการีที่ให้กำเนิดเสียอีก ท่านสอนเวทย์ให้นาง ให้ความรักที่นางไม่ได้จากพ่อแม่ อาจารย์แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนาง แล้วอาจารย์คนเดียวที่รักนางทิ้งนางไปแล้ว ต่อจากนี้นางจะเหลืออะไร ...นางไม่เหลือใครแล้ว

เฟยาออกจากป่าต้องห้ามเมื่อล่วงเข้าสู่เช้าของอีกวัน นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนอยู่ในป่านานขนาดไหน นางแค่นั่งร้องไห้อยู่ในถ้ำเท่านั้น ร้องจนเบื่อถึงออกมา แต่เวลานี้ก็เช้าเกินกว่าที่ใครจะตื่น จึงไม่มีใครเห็นนางเดินออกมาจากสถานที่หวงห้าม เฟยาเข้าบ้านโดยการเหินตัวเข้าทางหน้าต่างห้องนอนตัวเอง พอถึงที่นอนนางก็ล้มตัวหลับ ถึงจะแค่ไม่กี่นาทีก่อนที่จะได้ยินเสียงโวยวายของท่านแม่ก็ตาม
เมเรียเปิดประตูเข้ามาเจอเฟยานอนอยู่ที่เตียงก็ให้รู้สึกเดือดดาล เฟยาหายหัวไปตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งค่ำมืดนางก็ยังไม่กลับบ้าน ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่านางหนีไปเที่ยวที่ไหนอีก เมเรียอยู่รอสั่งสอนเฟยาจนดึก แต่ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหนเฟยาก็ไม่ยอมกลับมาเสียที แต่พอถึงเช้าเฟยากลับมานอนอยู่ในห้อง ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนตนก็ขึ้นมาอยู่ที่ห้องของเฟยาอยู่หลายรอบ แต่ก็ไร้ร่องรอยของเจ้าของห้อง ไม่รู้ว่าแอบกลับเข้ามาตอนไหน
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะเฟยา” เมเรียปรี่เข้าไปกระชากเฟยาให้ลุกจากที่นอน “เมื่อวานเจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน แอบหนีไปเที่ยวที่ไหนอีก”
ยิ่งเฟยาไม่ตอบโต้ใด ๆ เมเรียก็ยิ่งเดือดดาลยิ่งขึ้น นางถามอะไรไปบุตรสาวตัวดีก็เอาแต่เงียบ ท่าทีเฉยเมยต่อสิ่งรอบตัวทำเหมือนว่านางไม่มีตัวตนยิ่งเป็นการเพิ่มเชื่อไฟแห่งโทสะมากขึ้นไปอีก
“นี่เจ้าจะลองดีกับแม่ใช่ไหมเฟยา” เมเรียฟาดมือไปที่ต้นแขนของเฟยาเป็นการสั่งสอน แต่นางกลับนิ่งเฉย ยิ่งเฉยเมยมากเท่าใดเมเรียก็ยิ่งลงมือกับเฟยามากยิ่งขึ้น ตีนางครั้งแล้วครั้งเล่า ออกแรงไปมากเท่าใด เฟยาก็เหมือนไม่สะทกสะท้าน จนเมเรียต้องเป็นฝ่ายหยุดมือไปเอง
“หากเจ้าหนีเที่ยวเช่นวานนี้อีก เจ้าจะต้องโดนทำโทษอย่างเมื่อครู่ จำไว้” เมเรียยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างเฟยา แล้วสั่งให้นางลงไปฝ่าฟืนกองโต อีกทั้งงานบ้านทั้งหลายที่รอให้เฟยาไปสะสาง
            เฟยาลุกจากที่นอน แต่ไม่ได้ลุกไปเพื่อทำงานตามที่ท่านแม่สั่ง นางเดินไปทางกระท่อมหลังตลาดหาเหล้าย้อมใจแทน
            “เจ้ากลับมาแล้วรึ แล้ววันนี้จะเอากี่ขวดกันล่ะ” คำทักทายสั้น ๆ ต่อท้ายด้วยคำถามแบบการค้าของเจ้าคนแคระ ไม่มีการอารัมภบทถึงเรื่องอื่น ไม่มีการไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน มันเป็นพ่อค้าไม่ใส่ใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องขายเหล้า
            เฟยาเดินไปหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีดำ เหล้าที่นางดื่มเป็นประจำ แล้วโยนเหรียญทองให้เจ้าคนแคระ เดินออกไปหาที่สงบ ๆ และเป็นส่วนตัว
            “รอก่อน” เจ้าคนแคระเรียกเฟยาไว้ก่อน แล้วมันก็เดินไปหยิบขวดเหล้าเปล่าส่งให้นางสองขวด “ใช้เสร็จแล้วอย่าลืมเอามาคืนข้าล่ะ
            พอรับมาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นจากขวด ความเย็นที่มาพร้อมกับความหวังดีที่เจ้าคนแคระยื่นให้ มันไม่ใช่คนใจดี ไม่ใช่คนพูดจาไพเราะ ถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยไม่เคยหลุดจากปากของมัน มีแต่เรื่องค้าขายและผลประโยชน์เท่านั้นที่มันพูด
            แต่มันก็ยังแสดงความใจดีต่อคนคุ้นเคยในแบบของมัน
            “แล้วข้าจะเอามาคืน”
            เฟยาหาแอบเข้าป่าต้องห้ามอีกครั้ง เข้าไปรออาจารย์อยู่ในถ้ำด้วยความหวังว่าท่านจะกลับมา ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอาจารย์จะไม่กลับมา
             นางเอาขวดกระเบื้องที่เจ้าคนแคระให้มาทาบกับเปลือกตาก่อนที่มันจะหายเย็น ตาทั้งสองข้างบวมเพราะผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน เจ้าคนแคระคงจะทนดูไม่ได้ถึงได้ให้ขวดกระเบื้องเย็น ๆ กับนาง
            ...แล้วดูสิ ขนาดเจ้าคนแคระยังสังเกตเห็น แต่ท่านแม่ที่โวยวายนางตั้งแต่เช้ากลับไม่ยักสังเกตเห็น
            เฟยาแค่นเสียงเยาะตนเอง คนที่ใส่ใจนางมีนับคนได้ และหนึ่งในนั้นก็ทิ้งนางไปเสียแล้ว
           
            ผ่านไปได้หลายวัน เฟยาคลายความเศร้าหมองลงมาก นางไม่ร่ำไห้อีกต่อไปเพราะน้ำตาแห้งเหือดไปจนหมด นางใช้เวลาอยู่กับตนเองมากกว่าที่เคยทำให้สติเริ่มกลับมาและคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่าง วันนี้เฟยาก็ยังคงนั่งอยู่ในถ้ำคอยคนที่ไม่คิดว่ากลับมา นางอ่านข้อความบนผนังถ้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า อ่านจนจำขึ้นใจได้ทุกประโยค ในเมื่อสักวันนางอาจได้พบกับอาจารย์ แม้จะอีกนานเท่าใดก็ไม่รู้แต่นางก็ยังมีความหวัง ในเมื่อยังมีความหวังแล้วนางจะยังโศกเศร้าอยู่ทำไม
“ท่านไม่อยู่ก็ดี ต่อไปข้าจะได้ไม่ต้องฟังท่านบ่นอีก ข้าก็เบื่อเหมือนกันนะที่ท่านชอบว่าข้าว่าเป็นเด็กโง่อยู่เรื่อย ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย” เฟยาพูดกับผนังถ้ำอย่างกับว่ามันคือตัวแทนของอาจารย์ คอยดูนะเมื่อใดที่นางพบอาจารย์ นางจะโวยอาจารย์ให้น่าดูเลยที่มาทิ้งนางไปอย่างนี้
“ข้าจะไม่เอาเหล้าของเจ้าคนแคระให้ท่านอีกแล้ว ถ้าท่านอยากดื่มนักท่านก็ต้องรีบกลับมานะอาจารย์”
... รีบกลับมาหาข้านะ...

ข้าสอนเวทย์ให้แก่เจ้าจนไม่มีอะไรต้องสอนแล้ว
บัดนี้เจ้าเติบโตพอที่จะคุ้มครองตนเองได้โดยปราศจากอาจารย์เช่นข้า
เดวาเอ๋ย...ข้าอยู่ในป่าแห่งนี้มานาน ถึงเวลาที่จะต้องออกไปดูโลกภายนอกที่จากมา
ไม่รู้อีกนานเท่าใดที่จะได้กลับมาเยือนอีสการ์ด
หากมีวาสนา ศิษย์อาจารย์คงจะได้พบกันอีก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น