คีลกลับมิดการ์ดไปแล้ว
ชีวิตที่สนุกสนานก็กลับมาน่าเบื่ออีกครั้งหรืออาจจะน่าเบื่อกว่าเดิมด้วยซ้ำ
หลังงานเลี้ยงต้อนรับที่จัดขึ้นในคฤหาสน์หลังใหญ่ของท่านลุงท่านป้า
ก็ไม่เคยว่างเว้นแขกผู้มาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง ทั้งสิ้นล้วนมีจุดหมายที่ตัวเฟเรีย
ท่านพ่อที่หวงเฟเรียอย่างกับอะไรดีก็ไม่ยอมปล่อยให้ใครเจอกับเฟเรียง่าย ๆ
ท่านเลยไม่อนุญาตให้เฟเรียลงมาพบปะผู้ใดเลยสักคนเสมือนเฟเรียเป็นเจ้าหญิงที่อยู่บนหอคอยสูง
และคำสั่งนั้นก็รวมถึงตัวของนางด้วย พลอยทำให้นางขาดอิสรภาพไปอีกคน
แขกเหรื่อเต็มบ้านออกอย่างนี้
นางจึงต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ทั้ง ๆ
ที่นางยังเที่ยวไม่ทั่วเซาท์การ์ดเลย
“เฟยา”
เฟเรียเข้ามาหาเฟยาในห้องเพราะอยากหาเพื่อนคุย ซึ่งในเวลาอย่างนี้สองพี่น้องก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่
“อุตส่าห์ได้มาเซาท์การ์ดทั้งทีกลับต้องมาอุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหนเลย
น่าเบื่อจัง” เฟยาบ่นออกมา
“นั่นมันเพราะเจ้าเนื้อหอมเองต่างหากล่ะเฟเรีย”
“แต่ข้าอยากออกไปข้างนอกบ้างนี่นา”
นางเดินไปที่ริมหน้าต่าง สายตาทอดมองไปภายนอก จดจ่ออยู่ที่ที่หนึ่งเหมือนกำลังคอยใครสักคนที่เคยยืนอยู่ตรงนั้น
คนแปลกหน้าที่ทำให้นางเกิดความสนใจ
คนแปลกหน้าที่ทำให้นางใจเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นเขา
“เฟยาข้าคิดว่าตัวข้ากำลังมีความรักล่ะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
เฟยาแทบไม่เชื่อหูตนเอง นี่เฟเรียพูดอะไรออกมากันนะ
นางบอกว่านางกำลังมีความรักหรือ เมื่อไหร่กัน แล้วกับใคร
“เจ้าฟังไม่ผิดหรอก
ข้าคิดว่าข้ากำลังมีความรัก”
“กับใคร?
คนในงานเลี้ยงต้อนรับหรือ”
เฟเรียส่ายหน้า
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคือใคร ข้ามักเจอเขาโดยบังเอิญ
ครั้งแรกที่เห็นเขาข้าก็สะดุดใจในทันที ท่าทางเขาต่างจากทุกคนที่ข้าเคยเจอ
เขาไม่เหมือนพวกบัณฑิตหรือผู้ใช้เวทย์ที่ข้าเคยเจอมา ดูเขามีบรรยากาศเฉพาะตัว
ข้าไม่สามารถละสายจากเขาได้เลย หลังจากนั้นข้าก็เจอเขาอีกไม่กี่ครั้ง
และทุกครั้งใจของข้าก็โหยหาถึงเขามากขึ้น ๆ อยากเจอเขา อยากเข้าไปทัก
ทำความรู้จักกับเขา ...อย่างนี้เขาเรียกว่าตกหลุมรักรึเปล่าเฟยา”
“เฟเรีย!
นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเจ้าตกหลุกรักคนแปลกหน้าอย่างนั้นหรือ
แล้วที่เจ้าบอกว่าอยากเข้าไปทัก ...อย่าบอกนะว่า เจ้ากับเขาไม่เคยพูดคุยกัน”
“ใช่”
เฟเรียตอบ สายตาเหม่อลอยคิดถึงใบหน้าที่ได้พบเพียงไม่กี่ครั้ง
“แต่ข้ารู้สึกได้นะว่าเขาชอบข้า เขามักจะมาปรากฏตัวให้ข้าเห็น แต่ทุกครั้งเขาจะเพียงแต่มองข้าเท่านั้นแล้วก็จากไป
เขาไม่สร้างความอึดอัดใจให้ข้าแม้แต่น้อย ผู้ชายที่ข้าเคยเจอมาก็มีหลายประเภท
แต่ข้าก็ไม่เคยเจอใครเช่นเขามาก่อน”
แววตาและท่าทางเพ้อหาชายนิรนามของเฟเรีย
ทำเอาเฟยาถึงกับกุมขมับ นางอยากรู้นักว่าคน ๆ เป็นใคร ถึงได้ดึงดูดความสนใจของเฟเรียได้
ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาก็มีคนมาเสนอตัวให้เฟเรียได้เลือกมากมาย แต่นางกลับไม่สนใจ
แล้วชายผู้นั้นมีอะไรดีกันนะ
เฟเรียพูดเรื่องนี้กับเฟยาเท่านั้น
นางไม่สามารถพูดคุยเรื่องทำนองนี้กับใครได้แม้แต่กับมารดาของตน
โดยเฉพาะบิดาซึ่งต้องปิดไม่ได้ท่านรู้เด็ดขาด
อัสคาดูถูกชายทุกคนที่เข้ามาหาเฟเรีย
ในสายตาเขาไม่มีใครที่มีค่าพอที่จะคู่ควรกับบุตรสาวผู้เป็นดั่งดวงใจของเขา
เฟเรียเปรียบเสมือนดอกฟ้าสูงส่ง
ในขณะที่ผู้ชายทุกคนจะโดนเปรียบเป็นก้อนดินต่ำเตี้ยไร้ค่า
ไม่ว่าชายผู้นั้นจะเป็นใครมาจากไหน สูงส่งหรือมีอำนาจมากเพียงใด
...ก็เคยมีใครถูกมองสูงกว่าก้อนดินเลยสักคน
สองพี่น้องรู้ความจริงข้อนี้ดี
จึงเป็นอันรู้กันว่าต้องไม่ให้เรื่องนี้รู้ถึงหูบุพการีของตนเด็ดขาด
จะว่าไปแล้วเฟยาเองก็สงสารเฟเรีย นางไม่ค่อยมีอิสระในการคบหากับผู้อื่นสักเท่าใด
เพราะถูกท่านพ่อจัดวางไว้เสียสูงเทียมฟ้าเลยทำให้ไม่กล้าคบหาสนิทสนมกับใครให้ท่านพอเคืองใจ
หากเทียบกับตัวนางเองที่มักจะถูกท่านพ่อท่านแม่ปล่อยปละละเลย
ก็นับว่ามีอิสระพอควรเพราะจะคบหากับใคร ท่านพ่อก็ไม่เคยสนใจ
ประมาณ 2 อาทิตย์นับจากงานเลี้ยงเป็นต้นมา
อัสคาได้ตัดสินใจพาครอบครัวกลับบ้านที่อีสการ์ด
เพราะไม่อยากรบกวนพี่สาวของภรรยามากไม่กว่านี้ วันหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับ
คฤหาสน์หลังใหญ่ต้องคอยต้อนรับแขกที่มาหาเฟเรียอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายกันตลอดทั้งวัน
แม้ว่ามาร่าและสามีจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เขาก็เกรงใจเกินกว่าจะอยู่ต่อ
อัสคาพาครอบครัวกลับอีสการ์ดในค่ำวันหนึ่ง
โดยมีมาร่านั่งรถม้าไปส่งพวกเขาที่ท่าเรือ การกลับอีสการ์ดครั้งนี้มีคนรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เพราะไม่อยากให้วุ่นวาย และที่เลือกเวลาขึ้นเรือตอนกลางคืน
เพราะเวลาอย่างนี้จะมีคนขึ้นเรือโดยสารไม่มาก พวกเขาต้องการความเป็นส่วนตัว
ไม่ต้องการเป็นเป้าสายตาอย่างตอนที่ขึ้นเรือจากอีสการ์ดมาเซาท์การ์ด
มาร่าเดินมาจับมือกับน้องสาวก่อนที่พวกเขาจะขึ้นเรือกลับ
“ที่นี่ต้อนรับพวกเจ้าเสมอ
ว่าง ๆ ก็มาเที่ยวหาข้าบ้างนะ”
“เจ้าก็เหมือนกันมาร่า
หากเบื่ออากาศหนาวเมื่อไหร่ ก็แวะเวียนไปหาพวกข้าที่อีสการ์ดบ้างล่ะ” ความรู้สึกโหวง
ๆ ในอก ทำให้เมเรียกุมมือมาร่าไว้แน่น นานปีถึงจะได้เจอกัน เมื่อต้องจากลาก็ย่อมรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ยังไงมาร่าก็พี่สาวเพียงคนเดียวของนาง เป็นครอบครัวของนางไม่เคยเปลี่ยน
เมื่อล่ำลาน้องสาวเสร็จ
มาร่าหันไปลาหลานสาวทั้งสอง นางลูบหัวหลาน ๆ ด้วยความรักใคร่ ตัวนางเองไม่มีบุตรจึงรักสองสาวฝาแฝดนี้มาก
“พวกเจ้าสามารถมาหาป้าที่เซาท์การ์ดได้ทุกเวลา
ที่นี่ยินดีต้อนรับพวกเจ้าเสมอ” ว่าแล้วมาร่าก็หันไปหาเฟยา
หมายจะเอื้อมมือไปปัดผมที่ปรกใบหน้าออก
แต่เฟยากลับก้าวถอยออกมาไม่ให้มาร่าสามารถทำเช่นนั้นได้
มาร่าชะงักมือค้างไว้
แล้วยิ้มให้เฟยาก่อนจะหันไปพูดคุยกับเฟยาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน
“น่าเสียดายที่เจ้าเก็บความงามเอาไว้กับตัว
เจ้าควรจะเปิดเผยตัวเองให้มากกว่านี้นะเฟยา ที่ป้าพูดนี่เพราะป้าเป็นห่วง”
“ขอบคุณท่านป้า
แต่ไม่มีอะไรที่ท่านต้องห่วง ข้าอยู่อย่างนี้ก็มีความสุขดี
และมันก็เป็นสิ่งที่ข้าเลือกเอง”
ฟังจากที่เฟยาพูด
แสดงว่านางเองก็รู้ตัวดีว่าตนเองนั้นมีหน้าตางดงามเพียงใด
แต่นางกลับเลือกที่จะปกปิดความงามของตนเองไว้แล้วให้คนอื่นเห็นนางในรูปลักษณ์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องมองข้าม
อย่างที่บอกไป...ช่างน่าเสียดาย
มาร่ายืนส่งครอบครัวของเมเรียขึ้นเรือจนกระทั่งเรือออกจากท่า
นางถึงเดินกลับเข้าไปที่รถม้าซึ่งจอดรอไว้อยู่
จากกันวันนี้ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะได้เจอกัน
กว่าจะถึงวันนั้นก็หวังว่าพวกเขาจะยังคงสุขสบายดี
เรือออกจากเซาท์การ์ดในตอนกลางคืน
ถึงอีสการ์ดเมื่อตอนฟ้าสาง การเดินทางหลายชั่วโมงทำให้ทุกคนอ่อนเพลีย
เมื่อกลับถึงบ้านแต่ละคนก็พากันเข้าห้องของตนไปพักผ่อนทิ้งสัมภาระต่าง ๆ
กองรวมกันไว้จัดเก็บภายหลัง
มีเพียงเฟยาเท่านั้นที่แสร้งทำเป็นนอนอยู่ในห้องแล้วตนเองแล้วแอบหนีเข้าป่าต้องห้ามไปหาอาจารย์
เฟยาเองก็ล้าเช่นคนอื่น
ๆ แต่เมื่อนึกถึงอาจารย์ที่กำลังคอยการกลับมาของนางที่ป่าห้ามแล้ว
นางก็ไม่สามารถนอนพักผ่อนอยู่เฉยได้ อ้อมแขนกอดขนกระต่ายหิมะสีขาวผืนโตอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่นางพลาดซื้อขนหมีสีดำที่หมายตาไว้
นางก็แอบออกไปหาซื้อขนสัตว์อีกหลายรอบจนมาเจอขนกระต่ายหิมะสีขาวสะอาดนุ่มไปทั้งผืน
ๆ นี้
หลังจากที่ซื้อมาแล้ว
นางก็ห่อเก็บไว้ในหีบสัมภาระของตนเองไว้อย่างดี ซ่อนมันจากสายตาทุก ๆ คน
เพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามใครต่อใคร ว่าซื้อมาทำไมหรือซื้อให้ใคร
ใบหน้างามยิ้มจนแก้มปริเมื่อฝีเท้าเข้าใกล้ถ้ำซึ่งเป็นที่พำนักอาศัยของผู้เป็นอาจารย์
“อาจารย์
อาจารย์” นางอดเรียกหาอาจารย์ไม่ได้
“อาจารย์
ข้ากลับมาแล้ว”
ปราศจากเสียงตอบรับใด
ๆ ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงต้นไม้ไหวและสายลมอ่อน ๆ
ที่พัดผ่านระใบหน้า
“อาจารย์ท่านอยู่ไหน
ข้ากลับมาแล้ว” นางเรียกอาจารย์เสียงดังขึ้น สองเท้าเดินเข้าไปในถ้ำคิดว่าอาจารย์อาจจะกำลังหลับและไม่ได้ยินเสียงของตน
“อาจารย์ข้ามีของฝากมาให้ท่านด้วยนะ”
แม้แต่ในถ้ำก็ไร้คน
คิ้วโก่งขมวดมุ่น
อาการดีใจในตอนแรกค่อย ๆ หายไปทีละนิดเมื่อไม่เจอคนที่มาหา พลางนึกสงสัยว่าอาจารย์ของตนหายไปไหน
ทุกครั้งที่นางเข้ามาในป่าก็จะเจออาจารย์นั่งอยู่หน้าถ้ำ ไม่ก็นอนอยู่ข้างใน
หากไม่เจอนางก็จะรู้สึกได้ว่าอาจารย์อยู่ที่ไหน
แต่คราวนี้ทุกอย่างเหมือนดูว่างเปล่า
นางไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใด และที่สำคัญนางไม่รู้สึกถึงจิตของอาจารย์เลย
เฟยากอดกระชับขนสัตว์ให้แน่นขึ้น
รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่มีครั้งไหนที่มาหาอาจารย์แล้วไม่เจอ
ไม่รู้สึกถึงจิตของท่าน
นางพยายามเพ่งสมาธิอย่างที่สุดแต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่รู้สึกถึงอาจารย์เลยแม้แต่น้อย
“อาจารย์ท่านอยู่ไหน”
น้ำเสียงสั่นเครือขึ้นทุกที กลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กลัวไปสารพัด
แต่ทั้งนี้ก็ไม่กล้าคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน
ในเมื่อพยายามแล้วก็ยังสัมผัสจิตของอาจารย์ไม่ได้นางก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นทุกที
เฟยาเร่งรุดไปหาพวกภูติที่ใกล้ทางออกของป่าสอบถามถึงอาจารย์ อารามร้อนใจจนลืมไปว่าตนนั้นออกจะหวาดกลัวพวกภูติอยู่บ้างทำให้เฟยาเรียกหาพวกภูติเสียงดัง
ไม่สนใจว่าพวกมันจะไม่พอใจหรืออารมณ์เสียแต่อย่างใด
“นังเด็กนี่อีกแล้ว
เอะอะโวยวายรบกวนพวกข้าทำไม”
“น่ารำคาญ”
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
“หนวกหู
ไปให้พ้นเลยนะ”
ต่างเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าภูติที่ถูกรบกวนการพักผ่อน
แต่ละคนเริ่มเผยกายให้เห็นล้อมรอบเฟยาไว้ หากนางทำอะไรให้ไม่พอใจอีกเพียงนิด
พรรคพวกนับร้อยก็จะพากันรุมประชาทัณฑ์มนุษย์ที่ร่างใหญ่กว่าตน
แต่จำนวนมีเพียงหนึ่ง
“พวกท่านเห็นอาจารย์ข้าไหม
ข้า...ข้าหาเขาไม่เจอ” ปราศจากความเกรงกลัวต่อฝ่ายตรงข้ามเช่นที่ผ่านมา
ตอนนี้นางคิดถึงแต่เพียงหาอาจารย์ให้พบเท่านั้น
“เจ้าหมายถึงเกวลเหรอ”
“เรื่องแค่นี้อย่ามากวนใจข้าสินังเด็กบ้า”
“เจ้าถามถึงเกวลใช่ไหม”
“เกวลน่ะเอง”
เสียงภูติตอบรับเมื่อรู้ว่าเฟยาหมายถึงใคร
ทั่วทั้งป่าต้องห้ามนี้มีพวกภูติตัวเล็ก ๆ
ที่พิษสงร้ายกาจอาศัยอยู่นับร้อยนับพันตน ทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในป่าย่อมไม่สามารถลอดหูลอดตาพวกมันไปได้
เฟยาเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง แต่ประโยคถัดมาของพวกมันกลับเป็น...
“ไม่อยู่แล้ว”
“ออกไปแล้ว”
“ไม่เห็นตั้งนานแล้ว”
“จากไปตั้งนานแล้ว”
เหล่าภูติติดจะรำคาญหญิงสาวตรงหน้า
เรื่องแค่นี้กลับมารบกวนการพักผ่อนอันแสนสงบสุขของพวกมัน
เมื่อเห็นว่านางยืนนิ่งไม่คิดจะจากไปเสียที ภูติตนหนึ่งจึงใช้เถาวัลย์รัดตัวนางไว้แล้วโยนนางไปให้ไกลจากที่ที่พวกตนอยู่
หลังจากนั้นก็พากันกลับสู่ต้นไม้บ้านของตนเพื่อพักผ่อนต่อ
เฟยาที่ถูกพวกภูติจับโยนเหมือนขยะชิ้นหนึ่ง
นั่งทรุดอยู่บนพื้นในอ้อมแขนกอดขนกระต่ายหิมะไว้อย่างทะนุถนอม
นางไม่เชื่อที่พวกภูติบอกเด็ดขาด พวกมันโกหกนาง อีกเดี๋ยวอาจารย์ต้องปรากฏตัวแล้วบอกว่าแกล้งนางเล่นเท่านั้น
เฟยาวิ่งกลับไปที่ถ้ำอีกครั้ง
แสงแดดในป่าเริ่มอ่อนแรงลงทุกที ความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว
บ่อน้ำในถ้ำส่องสว่างเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกอย่างดูเป็นปกติเว้นเสียแต่...ปราศจากเจ้าของถ้ำ
ความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกุมมากขึ้นทุกที
ดวงตารื้นแต่ไม่ยอมให้น้ำตาหยาดหยด ...ในใจยังมีความหวัง อาจารย์ต้องไม่หายไปไหน
อีกเดี๋ยวอาจารย์ก็คงกลับมาที่ถ้ำ แค่นางใจเย็นแล้วอยู่รอที่ถ้ำนี้เท่านั้น
ในป่าต้องห้ามมืดสนิทจนไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นยังสว่างหรือว่าค่ำแล้ว
เฟยานั่งคอยอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ไม่คิดจะออกจากถ้ำด้วยซ้ำหากไม่เจออาจารย์
นางจะนั่งอยู่ในถ้ำคอยอาจารย์กลับมา
ไม่สนว่าที่บ้านจะโวยวายแค่ไหนที่นางหายไปทั้งวัน หรือทั้งคืน
ไม่สนด้วยซ้ำว่าจะถูกทำโทษ เพราะเรื่องพวกนั้นไม่มีความสำคัญอะไรเลยถ้าเทียบกับอาจารย์ของนาง
ขณะที่เฟยานั่งกอดขนกระต่ายอยู่นั่น
พลันมีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นในถ้ำจนเฟยาต้องเงยหน้ามองด้วยความสนใจ
มันไม่ใช่แสงสวยงามจากบ่อน้ำแต่เป็นแสงจาก...ผนังถ้ำ
ตัวอักษรที่ปรากฏบนผนังถ้ำ
ลายเส้นยึกยืออ่านออกยากสว่างเรืองรองอย่างน่าอัศจรรย์
เฟยาไล่อ่านข้อความที่ปรากฏอย่างรวดเร็ว
ฉับพลันน้ำตาก็ไหลออกมาพร้อมกับเสียงร้องไห้โฮ
อาจารย์ทิ้งนางไปแล้ว
อาจารย์จากไปแล้วจริง ๆ
ข้อความบนผนังเป็นข้อความที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้นางก่อนออกจากอีสการ์ด
เขาจากไปโดยไม่คิดจะอยู่รอนางสักนิด
“ทำไมท่านถึงทิ้งข้าไปอย่างนี้ล่ะอาจารย์
ท่านไม่อยู่อย่างนี้แล้วต่อไปข้าจะอยู่กับใคร
ท่านไม่รักข้าแล้วใช่ไหมถึงทิ้งข้าไปอย่างนี้” เฟยาตะโกนใส่ผนัง ใช้ตัวอักษรบนนั้นแทนตัวคนที่ทิ้งนางไป
“ท่านใจร้าย ใจร้ายที่สุด”
พร่ำต่อว่าอาจารย์ที่ทอดทิ้งตน แต่ในอ้อมแขนกลับกอดกระชับของฝากไว้แน่น
นางตั้งใจซื้อขนกระต่ายอันแสนนุ่มผืนใหญ่นี้มาให้อาจารย์รองนอน
นางเฝ้าคิดถึงเวลาที่อาจารย์ได้เห็นมัน คิดว่าท่านจะชอบรึเปล่า ท่านจะดีใจไหม
แต่อาจารย์กลับทิ้งนางไป
อาจารย์เป็นยิ่งกว่าบุพการีที่ให้กำเนิดเสียอีก
ท่านสอนเวทย์ให้นาง ให้ความรักที่นางไม่ได้จากพ่อแม่ อาจารย์แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนาง
แล้วอาจารย์คนเดียวที่รักนางทิ้งนางไปแล้ว ต่อจากนี้นางจะเหลืออะไร ...นางไม่เหลือใครแล้ว
เฟยาออกจากป่าต้องห้ามเมื่อล่วงเข้าสู่เช้าของอีกวัน
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนอยู่ในป่านานขนาดไหน นางแค่นั่งร้องไห้อยู่ในถ้ำเท่านั้น
ร้องจนเบื่อถึงออกมา แต่เวลานี้ก็เช้าเกินกว่าที่ใครจะตื่น
จึงไม่มีใครเห็นนางเดินออกมาจากสถานที่หวงห้าม
เฟยาเข้าบ้านโดยการเหินตัวเข้าทางหน้าต่างห้องนอนตัวเอง
พอถึงที่นอนนางก็ล้มตัวหลับ ถึงจะแค่ไม่กี่นาทีก่อนที่จะได้ยินเสียงโวยวายของท่านแม่ก็ตาม
เมเรียเปิดประตูเข้ามาเจอเฟยานอนอยู่ที่เตียงก็ให้รู้สึกเดือดดาล
เฟยาหายหัวไปตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งค่ำมืดนางก็ยังไม่กลับบ้าน
ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่านางหนีไปเที่ยวที่ไหนอีก เมเรียอยู่รอสั่งสอนเฟยาจนดึก
แต่ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหนเฟยาก็ไม่ยอมกลับมาเสียที
แต่พอถึงเช้าเฟยากลับมานอนอยู่ในห้อง ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนตนก็ขึ้นมาอยู่ที่ห้องของเฟยาอยู่หลายรอบ
แต่ก็ไร้ร่องรอยของเจ้าของห้อง ไม่รู้ว่าแอบกลับเข้ามาตอนไหน
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะเฟยา”
เมเรียปรี่เข้าไปกระชากเฟยาให้ลุกจากที่นอน “เมื่อวานเจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน
แอบหนีไปเที่ยวที่ไหนอีก”
ยิ่งเฟยาไม่ตอบโต้ใด ๆ
เมเรียก็ยิ่งเดือดดาลยิ่งขึ้น นางถามอะไรไปบุตรสาวตัวดีก็เอาแต่เงียบ
ท่าทีเฉยเมยต่อสิ่งรอบตัวทำเหมือนว่านางไม่มีตัวตนยิ่งเป็นการเพิ่มเชื่อไฟแห่งโทสะมากขึ้นไปอีก
“นี่เจ้าจะลองดีกับแม่ใช่ไหมเฟยา”
เมเรียฟาดมือไปที่ต้นแขนของเฟยาเป็นการสั่งสอน แต่นางกลับนิ่งเฉย
ยิ่งเฉยเมยมากเท่าใดเมเรียก็ยิ่งลงมือกับเฟยามากยิ่งขึ้น ตีนางครั้งแล้วครั้งเล่า
ออกแรงไปมากเท่าใด เฟยาก็เหมือนไม่สะทกสะท้าน จนเมเรียต้องเป็นฝ่ายหยุดมือไปเอง
“หากเจ้าหนีเที่ยวเช่นวานนี้อีก
เจ้าจะต้องโดนทำโทษอย่างเมื่อครู่ จำไว้” เมเรียยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างเฟยา
แล้วสั่งให้นางลงไปฝ่าฟืนกองโต อีกทั้งงานบ้านทั้งหลายที่รอให้เฟยาไปสะสาง
เฟยาลุกจากที่นอน
แต่ไม่ได้ลุกไปเพื่อทำงานตามที่ท่านแม่สั่ง นางเดินไปทางกระท่อมหลังตลาดหาเหล้าย้อมใจแทน
“เจ้ากลับมาแล้วรึ
แล้ววันนี้จะเอากี่ขวดกันล่ะ” คำทักทายสั้น ๆ
ต่อท้ายด้วยคำถามแบบการค้าของเจ้าคนแคระ ไม่มีการอารัมภบทถึงเรื่องอื่น
ไม่มีการไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน
มันเป็นพ่อค้าไม่ใส่ใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องขายเหล้า
เฟยาเดินไปหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีดำ
เหล้าที่นางดื่มเป็นประจำ แล้วโยนเหรียญทองให้เจ้าคนแคระ เดินออกไปหาที่สงบ ๆ
และเป็นส่วนตัว
“รอก่อน”
เจ้าคนแคระเรียกเฟยาไว้ก่อน แล้วมันก็เดินไปหยิบขวดเหล้าเปล่าส่งให้นางสองขวด
“ใช้เสร็จแล้วอย่าลืมเอามาคืนข้าล่ะ
พอรับมาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นจากขวด
ความเย็นที่มาพร้อมกับความหวังดีที่เจ้าคนแคระยื่นให้ มันไม่ใช่คนใจดี
ไม่ใช่คนพูดจาไพเราะ ถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยไม่เคยหลุดจากปากของมัน
มีแต่เรื่องค้าขายและผลประโยชน์เท่านั้นที่มันพูด
แต่มันก็ยังแสดงความใจดีต่อคนคุ้นเคยในแบบของมัน
“แล้วข้าจะเอามาคืน”
เฟยาหาแอบเข้าป่าต้องห้ามอีกครั้ง
เข้าไปรออาจารย์อยู่ในถ้ำด้วยความหวังว่าท่านจะกลับมา ทั้ง ๆ
ที่รู้อยู่แล้วว่าอาจารย์จะไม่กลับมา
นางเอาขวดกระเบื้องที่เจ้าคนแคระให้มาทาบกับเปลือกตาก่อนที่มันจะหายเย็น
ตาทั้งสองข้างบวมเพราะผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน เจ้าคนแคระคงจะทนดูไม่ได้ถึงได้ให้ขวดกระเบื้องเย็น
ๆ กับนาง
...แล้วดูสิ
ขนาดเจ้าคนแคระยังสังเกตเห็น
แต่ท่านแม่ที่โวยวายนางตั้งแต่เช้ากลับไม่ยักสังเกตเห็น
เฟยาแค่นเสียงเยาะตนเอง
คนที่ใส่ใจนางมีนับคนได้ และหนึ่งในนั้นก็ทิ้งนางไปเสียแล้ว
ผ่านไปได้หลายวัน
เฟยาคลายความเศร้าหมองลงมาก นางไม่ร่ำไห้อีกต่อไปเพราะน้ำตาแห้งเหือดไปจนหมด
นางใช้เวลาอยู่กับตนเองมากกว่าที่เคยทำให้สติเริ่มกลับมาและคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่าง
วันนี้เฟยาก็ยังคงนั่งอยู่ในถ้ำคอยคนที่ไม่คิดว่ากลับมา นางอ่านข้อความบนผนังถ้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก
เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า อ่านจนจำขึ้นใจได้ทุกประโยค ในเมื่อสักวันนางอาจได้พบกับอาจารย์
แม้จะอีกนานเท่าใดก็ไม่รู้แต่นางก็ยังมีความหวัง
ในเมื่อยังมีความหวังแล้วนางจะยังโศกเศร้าอยู่ทำไม
“ท่านไม่อยู่ก็ดี
ต่อไปข้าจะได้ไม่ต้องฟังท่านบ่นอีก
ข้าก็เบื่อเหมือนกันนะที่ท่านชอบว่าข้าว่าเป็นเด็กโง่อยู่เรื่อย
ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย” เฟยาพูดกับผนังถ้ำอย่างกับว่ามันคือตัวแทนของอาจารย์ คอยดูนะเมื่อใดที่นางพบอาจารย์
นางจะโวยอาจารย์ให้น่าดูเลยที่มาทิ้งนางไปอย่างนี้
“ข้าจะไม่เอาเหล้าของเจ้าคนแคระให้ท่านอีกแล้ว
ถ้าท่านอยากดื่มนักท่านก็ต้องรีบกลับมานะอาจารย์”
... รีบกลับมาหาข้านะ...
ข้าสอนเวทย์ให้แก่เจ้าจนไม่มีอะไรต้องสอนแล้ว
บัดนี้เจ้าเติบโตพอที่จะคุ้มครองตนเองได้โดยปราศจากอาจารย์เช่นข้า
เดวาเอ๋ย...ข้าอยู่ในป่าแห่งนี้มานาน
ถึงเวลาที่จะต้องออกไปดูโลกภายนอกที่จากมา
ไม่รู้อีกนานเท่าใดที่จะได้กลับมาเยือนอีสการ์ด
หากมีวาสนา ศิษย์อาจารย์คงจะได้พบกันอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น