ในวันถัดมามาร่าได้พาเมเรีย
และหลานสาวทั้งสองออกไปเปิดหูเปิดตาในฐานะเจ้าบ้าน ส่วนอัสคานั้นไปออกไปเที่ยวตามประสาผู้ชายกับสามีของมาร่า
มาร่าได้พาน้องสาวและหลาน ๆ ไปวัดตัวตัดชุดที่จะใช้ในงานเลี้ยงที่ร้านตัดผ้าร้านประจำ
หลังจากนั้นพวกนางก็ไปเดินตลาดกัน
ตลาดที่เซาท์การ์ดจะเริ่มตั้งแต่เช้ามืดจนถึงเที่ยงคืน เรียกได้ว่าผู้คนขวักไขว่กันแทบตลอดทั้งวัน
ระหว่างที่กำลังเดินดูของที่อยู่สองข้างทางอยู่นั้น
มาร่าค่อนข้างจะออกอาการหัวเสียกับหลานสาวทั้งสองอยู่บ้าง
คนหนึ่งเอาผมปิดหน้าปิดตาจนดูไม่ออกว่าหน้าตาเป็นเช่นไร
ส่วนอีกคนตั้งแต่ออกจากบ้านมาก็เอาผ้าปิดหน้าไว้โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้เป็นพ่อ
ยิ่งเห็นนางก็ยิ่งรู้สึกขัดใจ
เฟเรียนั้นพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่านางไม่อยากเป็นจุดสนใจเพราะความงามของนางนั้นเลื่องลือมาแต่ไหนแต่ไร
แต่เฟยานี่สิไม่รู้ทำไมต้องเอาผมมาปิดหน้าปิดตาเช่นนี้
“ท่านแม่ ท่านดูนี่สิ” เฟเรียหยุดยืนอยู่หน้าแผงร้านเครื่องประดับ
แล้วชี้ให้ดูปิ่นแปลกตา
ปิ่นสีขาวขุ่นต่างจากปิ่นไม้ที่เคยเห็น
ตรงปลายแบ่งเป็นแฉก 6 แฉก
แลดูสวยงาม เมื่อหยิบขึ้นมาก็รู้สึกเย็น
“ปิ่นเกล็ดหิมะ
ราคาเพียง 1 เหรียญทองเท่านั้น”
เมื่อเห็นลูกค้า ผู้เป็นพ่อค้าก็รีบเสนอขายสินค้าของตนในทันที “ปิ่นเกล็ดหิมะของข้า
สร้างขึ้นจากเกล็ดหิมะทั้งหมด 222
เกล็ดเชียวนะ และใช้เวทย์สร้างให้มันคงรูปร่าง
ข้ารับรองว่าปิ่นเกล็ดหิมะของข้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด อากาศร้อนแค่ไหนก็ยังคงรูปร่าง
ไม่มีวันละลาย และยังคงเย็นอยู่เสมอ”
“เจ้าชอบปิ่นเกล็ดหิมะรึเฟเรีย”
มาร่าถามหลานสาว
“ค่ะท่านป้า
ข้าไม่เคยเห็นปิ่นเช่นนี้มาก่อน สวยแปลกตาดี”
“ถ้าเช่นนั้นป้าจะซื้อให้เจ้าเอง”
มาร่าหยิบเหรียญทองออกมาแล้วจ่ายเงินให้แก่พ่อค้า
“ขอบคุณท่านป้ามาก”
เฟเรียรับปิ่นเกล็ดหิมะมาแล้วชื่นชมอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเก็บลงกล่องกระจกใสใบเล็กที่รับมาพร้อมกับปิ่น
“แล้วเจ้าเล่าเฟยา
เจ้าชอบเครื่องประดับชิ้นไหน ถ้าเจ้าชอบป้าจะซื้อให้” มาร่าหันไปถามหลานสาวอีกคน
“ข้าไม่ชอบใส่เครื่องประดับท่านป้า”
เฟยาตอบไปตามความจริง
“ไม่ได้นะเฟยา
เจ้าเป็นหญิงก็ควรรู้จักหัดแต่งเนื้อแต่งตัวเสียบ้าง
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งนะ ยิ่งเป็นหญิงอย่างเรา ๆ ด้วยแล้ว
ยิ่งต้องใส่ใจต่อรูปลักษณ์ของตนเองให้มาก”
“แต่ข้าไม่ค่อยชอบใส่เครื่องประดับจริง
ๆ ท่านป้า”
“เฮ้อ
เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ” มาร่าไม่คะยั้นคะยอเฟยาให้มากความ
หลังจากนั้นมาร่าก็พาทุกคนเดินดูของตามร้านรวงต่อไปเรื่อย
ๆ จนเฟยาสะดุดสายตาเข้ากับแผงขายหนังสัตว์แผงหนึ่ง
ระหว่างที่คนอื่น
ๆ กำลังดูสิ่งของอยู่ร้านใกล้ ๆ เฟยาได้ปลีกตัวออกมาเพื่อไปดูแผงขายหนังสัตว์ที่ตั้งแขวนหนังสัตว์ไว้หลายชนิด
แล้วสายตาของนางหยุดอยู่ที่หนังสัตว์ผืนใหญ่สีดำปลอด
เมื่อสัมผัสดูแล้วจึงได้รู้ว่ามันหนา นุ่ม และอบอุ่นยิ่งนัก ทำให้นางนึกถึงอาจารย์
อาจารย์ต้องนอนบนพื้นแข็ง
ๆ ในถ้ำมาเป็นเวลานาน หากได้ขนสัตว์ผืนใหญ่นี้ไปให้ท่านปูนอนคงจะดีไม่น้อย
“นี่เป็นขนอะไรหรือ”
เฟยาหันไปถามคนขาย
“ขนหมีดำ
เจ้าดูสิว่าขนหมีผืนนี้ใหญ่ขนาดไหน ขนาดตัวของมันใหญ่ว่าคนเราถึง 4 เท่าเชียวนะ
ถ้าเจ้าสังเกตดูดี ๆ จะไม่มีเห็นรอยธนู หรือรอยดาบบนขนหมีผืนนี้เลย
หนังสัตว์ที่ไม่มีรอยตำหนิเช่นนี้หาได้ยากมากนะ”
“ราคาเท่าไหร่”
สายตาของเฟยายังคงสำรวจขนสัตว์ผืนนี้ไม่วางตา
“เพียง
5 เหรียญทองเท่านั้น”
“5 เหรียญทอง!”
เฟยาหันไปหาคนขายทันที นางไม่นึกเลยว่าขนหมีดำผืนนี้จะแพงได้ขนาดนี้ “ทำไมแพงเช่นนี้เล่า
ข้าไม่ได้พกเงินมามากขนาดนี้ด้วย ท่านลดให้ข้าได้บ้างหรือไม่”
“เสียใจด้วย
หนังสัตว์ไม่มีตำหนิเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง หากเจ้าไม่ซื้อก็ใช่ว่าข้าจะขายมันไม่ได้
ข้าลดให้เจ้าไม่ได้หรอก แต่ถ้าเจ้าอยากได้จริง ๆ
เจ้าก็กลับไปเอาเงินที่บ้านมาให้ครบเสีย ข้าจะขายอยู่ที่นี่จนถึงดึก
แต่ว่าข้าจะขายวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนะ เพราะพรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไปขายที่มิดการ์ดต่อ”
“...ได้
ข้าจะกลับไปเอาเงินมาให้พอ ท่านต้องอยู่รอข้าก่อนนะ อย่าเพิ่งขายมันให้ใครล่ะ”
“ข้ารับปากเจ้าไม่ได้หรอก
หากมีคนมาขอซื้อข้าก็ต้องขาย”
“โธ่!
...ยังไงคืนนี้ข้าก็จะมาซื้อขนหมีผืนนี้ให้ได้ ท่านอยู่รอข้าด้วยแล้วกัน” พูดจบเฟยาก็รีบเดินไปสมทบกับคนอื่น
ๆ ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวว่านางแอบแว้บไปไหนมา
เมื่อเดินดูของจนเมื่อยขา
และผู้คนในตลาดเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ มาร่าได้พาน้องสาวและหลานสาวทั้งสองไปนั่งพักที่โรงน้ำชา
โดยโต๊ะที่พวกนางเลือกเป็นโต๊ะติดชานระเบียงที่ชั้น 2 ซึ่งสามารถมองออกไปด้านนอกได้
และก็มองเห็นผู้คนที่อยู่เบื้องล่างได้เป็นอย่างดี
บนชั้น
2 ของโรงน้ำชาแห่งนี้ได้จัดเวทีเล็ก
ๆ ไว้ตรงกลางสำหรับการแสดงบรรเลงดนตรี และการร่ายรำอันอ่อนช้อยของนางรำ เพื่อดึงดูดลูกค้า
และสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้ที่แวะเข้ามาในโรงน้ำชาแห่งนี้ และระหว่างที่ทุกคนกำลังชมการการแสดงที่ราวกับต้องมนต์นั้น
เฟยากลับเสมองไปด้านนอก มองผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ด้านล่าง
ทันใดนั้นสายตาของนางก็สะดุดเข้ากับร่างของบุรุษที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวสด
โดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย เส้นผมที่ต้องแสงสะท้อนสีน้ำตาลแดงดูสวยสดเป็นพิเศษ
เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมอง
ชายหนุ่มได้เงยหน้าขึ้นมองหันไปทางทิศที่เฟยาจับจองอยู่ ดวงตาสีเหลืองอ่อนดั่งสีทองกวาดตามองอย่างผ่าน
ๆ เมื่อไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ เขาก็พลิ้วกายเดินจากไป
เสื้อคลุมสีเขียวสดพลิ้วไหวดั่งสายลมที่พัดผ่านไป
“คีล”
ดั่งเสียงละเมอที่ไม่ได้ใจความ เฟยาพูดชื่อนั้นออกมาอย่างลืมตัว
ดวงตาสีสวยคู่นั้นที่นางไม่เคยลืม ...เจ้าของตราสะกดบนแผ่นหลังของนาง
เฟยาไม่ทันได้คิดอะไร
นางกระโจนจากชานระเบียงชั้น 2
ลงสู่เบื้องล่างไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่อยู่บนท้องถนนที่จับจ้องมองนางอย่างตื่นตะลึง
“คีล”
เฟยาพร่ำพูดแต่ชื่อเขา สายตาคอยมองหาแต่เขา
แต่ผู้คนมากมายดั่งเกราะกำบังยิ่งเดินเข้าหานางก็ยิ่งห่างจากเขา จนในที่สุดเขาก็หายไปจากสายตาของนาง
“บ้าจริง!”
ทำไมผู้คนถึงได้ขวักไขว่มากมายเช่นนี้กัน ทำให้นางพลาดกับบุรุษผู้นั้นไป
เฟยายังคงชะเง้อคอมองไปในทิศทางที่บุรุษผู้นั้นเดินไป
แต่นางก็มองไม่เห็นเขาแล้วแม้แต่เสื้อคลุมสะดุดตานางก็ไม่เห็น เฟยาเดินคอตกกลับไปที่โรงน้ำชา
นึกเสียดายอย่างที่สุดที่คลาดกับบุรุษผู้นั้น
“เจ้าลุกจากโต๊ะไปเมื่อไหร่กันเฟยา”
ผู้เป็นแม่ถามเมื่อเห็นลูกสาวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ
“เอ่อ...ข้า
ข้าจะหาห้องน้ำน่ะท่านแม่ เลยเดินลงไปถามคนข้างล่าง” เฟยาโกหกเอาตัวรอด
นางเพิ่งสำนึกได้ว่าสิ่งที่นางกระทำไปเมื่อครู่นั้นขาดสติเพียงใด โชคดีที่ทุกคนในที่นี้กำลังสนใจในการแสดง
ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางกระโจนออกนอกระเบียง
นางจึงสามารถโป้ปดเอาตัวรอดเฉพาะหน้าไปได้
หลังจากนั่งหย่อนขารอให้ผู้คนในตลาดเริ่มซา
มาร่าก็พาคงทุกเดินตระเวนตามร้านรวงต่าง ๆ ต่อไป แต่คราวนี้เฟยากลับไม่อาจสนใจสินค้าที่วางขายอยู่สองข้างทางได้
สองตาของนางคอยแต่สอดส่องหาบุรุษในชุดเขียว ในใจของนางมีแต่คำว่า ‘คีล’ อยู่เต็มไปหมด
ดวงตาสีเหลืองอ่อนที่เห็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีทำให้นางเกิดความหวัง
หวังเหลือเกินว่านางจะได้พบเพื่อนในวัยเด็กของนาง
แต่สุดท้าย...จนเดินกลับมาถึงบ้านของท่านป้า
นางก็ไม่เห็นคนบุรุษผู้นั้นอีกเลย
เมื่อกลับถึงบ้าน
มาร่าได้สั่งให้คนรับใช้เตรียมรุค (นกยักษ์) ไว้ แล้วหันไปบอกน้องสาวและหลาน ๆ
ให้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนไว้
“วันนี้พวกเจ้าคงเหนื่อยกันแล้ว
ป้าเองก็พาพวกเจ้าเดินจะทั่วตลาดเลย แต่เดี๋ยวป้าจะพาพวกเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่งป้ารับรองว่าพวกเจ้าจะต้องชอบ
โดยเฉพาะเจ้าเฟยา” มาร่าหันไปหาเฟยา “คนขี้หนาวเช่นเจ้า
ป้ารับรองว่าเจ้าจะต้องชอบที่นั่นมาก”
“เป็นสถานที่เช่นไรหรือท่านป้า”
เฟยาชักเริ่มสนใจสถานที่ที่ว่าแล้วสิ
“เดี๋ยวไปถึงเจ้าก็จะรู้เอง
ตอนนี้พวกเจ้าไปเตรียมเสื้อผ้าที่จะใช้ผลัดเปลี่ยนอาบน้ำเถอะ”
เมื่อฝาแฝดทั้งสองขึ้นห้องไปเตรียมของ
เมเรียจึงได้เอ่ยกับผู้เป็นพี่สาว
“เจ้าจะพาพวกเราไปไหนกันหรือมาร่า
ข้าว่าวันนี้เจ้าก็พาพวกเราไปมาหลายแห่งแล้วนะ บอกตามตรงว่าตอนนี้ข้าเหนื่อยเหลือทน”
นางและลูก ๆ เดินเที่ยวมาทั้งวัน ตอนนี้นางอยากจะพักผ่อน
ล้มตัวนอนมากกว่าต้องตะลอนไปที่อื่น ๆ อีก
“วางใจเถอะเมเรีย
สถานที่ที่ข้าจะพาพวกเจ้าและหลาน ๆ ข้าไปนั้น ข้ารับรองว่าเจ้าจะต้องชอบมาก
เจ้ารีบขึ้นไปเตรียมเสื้อผ้าเถอะ ฟ้าจะมืดแล้ว เดินทางตอนค่ำมืดมันไม่ค่อยดี”
เมเรียได้แต่ทำตามความประสงค์ของพี่สาว
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นใครขัดใจ หรือโต้แย้งพี่สาวนางได้สักที
ขนาดพี่เขยที่เป็นถึงคหบดี มีลูกน้องในโอวาทมากมาย ยังไม่อาจขัดใจพี่สาวนางได้เลย
เมื่อเห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมกันหมดแล้ว
มาร่าก็พาเมเรียและหลานสาวทั้งสอง และหญิงรับใช้อีกสองคนขึ้นรถม้าเดินทางไปจนถึงตีนเขาแห่งหนึ่ง
เมื่อลงจากรถม้าพวกเขาก็ต้องขี่รุคเพื่อเดินทางไปต่อ
เฟเรียและเฟยาที่ไม่เคยขี่รุคมาก่อนก็รู้สึกตื่นเต้น
นกยักษ์เบื้องหน้าตัวใหญ่ท่วมหัว
รูปร่างเหมือนนกกระจอกแต่ตัวโตกว่าหลายร้อยเท่า ขนเป็นสีน้ำตาลแซมดำ
มีบังเหียนขนาดใหญ่ไว้ใช้บังคับและควบคุม
“เราจะไปไหนกันมาร่า
ทำไมถึงต้องใช้รุคด้วย” เมเรียถามขึ้น
“ที่ที่เราจะไปกันอยู่ที่ยอดเขาแห่งนี้”
มาร่าชี้มือขึ้นไปที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเขาลูกเดียวที่มีหมอกขาว ๆ
ปกคลุมอยู่บนยอดเขา
“เราจะไปกันที่นั่นน่ะหรือ”
แต่คำตอบที่เมเรียได้กลับมา
มีเพียงรอยยิ้มของผู้เป็นพี่สาวเท่านั้น
สาวใช้ทั้งสองที่ตามมาด้วยนั้น
ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับรุคให้แก่ผู้เป็นนาย เฟเรียและเฟยาที่เพิ่งเคยนั่งรุคเป็นครั้งแรก
จับขนนกก้านใหญ่เอาไว้แน่นเพราะกลัวตก โดยเพราะเวลาที่รุคเริ่มทะยานขึ้นบิน
พวกนางทั้งสองถึงกับหวีดร้องตกใจเพราะมันไม่ได้บินขึ้นนิ่มนวลอย่างที่คิด แต่เมื่อเวลาที่มันโต้ลมอยู่บนท้องฟ้า
สายลมเย็นที่ประทะเข้ามาทำให้ใบหน้าถึงกับชาเพราะความเย็น ดีที่ส่วนใหญ่ของร่างกายถูกขนนกปกคลุมไว้
จึงทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับอากาศเย็นอย่างผู้ที่อยู่ในเซาท์การ์ดมานาน ทนกับความหนาวเย็นได้บ้าง
เมื่อถึงยอดเขา
อากาศที่ว่าหนาวเหน็บกลับอบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังมีกลิ่นอ่อนหอม ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว
กลิ่นหอมที่ว่านั้นมาจากดอกบ๊วยสีขาวราวหิมะที่พากันออกดอกชูช่ออวดความสวยงามที่ขึ้นอยู่เต็มยอดเขา
กลิ่นของมันลอยคละคลุ้งเข้ากับไอน้ำที่ลอยวนอยู่ทั่ว ทำให้หมอกบาง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศมีกลิ่นหอมจาง
ๆ ของดอกบ๊วยทำให้สถานที่แห่งนี้ดูน่าลึกลับและงดงามในคราวเดียวกัน
มาร่าเดินนำทุกคนจนมาถึงบ่อน้ำแห่งหนึ่ง
บ่อน้ำร้อนที่มีไอน้ำสีขาวลอยคละคลุ้ง และมีต้นบ๊วยขึ้นอยู่รอบ ๆ อย่างหนาแน่นทำหน้าที่เป็นกำแพงต้นไม้
“สถานที่แห่งนี้เป็นที่ส่วนตัวของข้า
รับรองไม่มีใครอื่นสามารถเข้ามาที่แห่งได้หากข้าไม่อนุญาต พวกเจ้าแช่น้ำกันได้ตามสบายเลยนะ”
พูดจบมาร่าก็เรียกสาวใช้ให้มาช่วยนางถอดเสื้อผ้า
ก่อนที่มาร่าจะลงไปแช่น้ำเป็นคนแรก และตามมาด้วยเมเรีย และเฟเรีย
ส่วนเฟยานั้นกำลังตะลึงตะลานกับสถานที่แห่งนี้
บ่อน้ำร้อนแห่งนี้อย่างกับความฝัน
สถานที่อับอบอุ่นท่ามกลางดินแดนแห่งความหนาวเหน็บ ยิ่งนางชอบแช่น้ำอุ่นด้วยแล้ว
ที่แห่งนี้ก็อย่างกับสวรรค์เลยทีเดียว
“ป้านึกว่าเจ้าจะชอบเสียอีกเฟยา”
มาร่าไม่เห็นเฟยาถอดเสื้อผ้าแล้วลงมาแช่น้ำเสียที
เลยคิดว่านางอาจจะคิดผิดนึกว่าคนขี้หนาวเช่นเฟยาจะชอบบ่อน้ำร้อน
“ข้าชอบมากเลยต่างหากท่านป้า”
เฟยารีบถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่น้ำด้วยอีกคน ความร้อนของน้ำทำให้ร่างกายที่เมื่อยล้า
ได้ผ่อนคลายลงรู้สึกสบายตัวจนเฟยาส่งเสียงครางลำคออย่างพึงพอใจ
“เฟเรีย
ผิวเจ้าทั้งขาวทั้งเนียนละเอียด ป้าเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาเจ้าเสียจริง
ใบหน้าของเจ้าก็งดงามราวกับเทพธิดาเช่นนี้
ป้าไม่แปลกใจเลยที่ความงามของเจ้าจะเลื่องลือไปทั่วทุกดินแดนเช่นนี้”
“ท่านป้าก็ชมข้าเกินไป”
คำชมเช่นนี้ใช่ว่าเฟเรียจะไม่เคยได้ยิน
นางได้ยินคนชมความงามของนางตั้งแต่เด็กจนเคยชินเสียแล้ว
“ไม่เกินไปเลยเฟเรีย
ไม่ว่าใครก็คิดเช่นเดียวกับป้า”
“ใช่ว่ามีแค่ความงามของเฟเรียเท่านั้นที่โดดเด่นนะมาร่า
เรื่องเวทย์นั้นเฟเรียก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน
นางได้เป็นลูกศิษย์ของผู้เฒ่าแห่งอีสการ์ดเชียวนะ”
เมเรียกล่าวโอ้อวดของความดีพร้อมของบุตรสาวคนโปรด
“ได้เป็นศิษย์ของผู้เฒ่า
ซึ่งเป็นผู้นำดินแดนเช่นนี้ช่างวิเศษนัก เจ้าเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาเสียจริงเฟเรีย
แล้วเฟยาเล่าเจ้าได้ร่ำเรียนเวทย์กับอาจารย์คนไหนหรือเปล่า”
มาร่าหันไปถามเฟยาแต่เมเรียผู้เป็นแม่กลับตอบแทน
แต่คำตอบของนางน่าจะเรียกว่าคำบ่นเสียมากกว่า
“เฟยาน่ะเป็นเวทย์กับเขาเสียที่ไหน
วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่นไปเรื่อยงานการก็ไม่ค่อยจะยอมทำ ขี้เกียจก็เป็นที่หนึ่ง
ข้าต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่เรื่อย”
“เจ้าก็พูดเกินไปเมเรีย
คนเรานั้นใช่ว่าจะเหมือนกัน บางทีเฟยาก็อาจจะชื่นชอบและมีความถนัดอย่างอื่นมากกว่าก็ได้
เจ้าก็อย่าด่วนคิดไปว่าเฟยาไม่เอาไหนสิ”
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร
เฟยาก็หาได้สนใจไม่ นางหลับตาพริ้มสัมผัสความอบอุ่นจากสายน้ำ
อยู่กับความสุขตัดขาดจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง
จนเวลาผ่านไปพอสมควรมาร่าจึงได้ชักชวนให้ทุกคนขึ้นจากน้ำ
“เอาล่ะพวกเราก็ขึ้นกันเถอะแช่น้ำนานมากมันไม่ดี”
มาร่าเอ่ยชักชวนให้ขึ้นจากบ่อน้ำร้อน
พอขึ้นจากน้ำก็มีสองสาวใช้คอยรับใช้ช่วยพวกเขาแต่งตัว
เหลือเพียงเฟยาที่ยังไม่ยอมขึ้นจนผู้เป็นป้าต้องเรียกซ้ำเป็นครั้งที่สอง
เฟยาถึงจะยอมขึ้นจากน้ำ
ระหว่างที่เมเรียและเฟเรียต่างง่วนอยู่กับการแต่งตัว
มาร่าที่แต่งตัวเสร็จเป็นคนแรกก็หันไปหาหลานสาวที่ยังไม่ยอมขึ้นจากน้ำ และนั่นก็ทำให้นางได้เห็นใบหน้าของเฟยาชัด
ๆ เป็นครั้งแรก
ก่อนขึ้นจากน้ำเฟยาได้วักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา
ผมที่ปิดบังใบหน้าไว้ก็ได้ถูกมือเปียก ๆ ปัดจนลู่ไปอยู่บนศีรษะเผยให้เห็นวงหน้าเย้ายวนที่น้อยคนนักจะได้เห็น
แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่เฟยาจะปัดผมลงมาปิดหน้าปิดตาเช่นเดิม
มาร่าหันไปมองใบหน้างามของเฟเรีย
แล้วหันกลับไปมองเฟยาอีกครั้ง
ใบหน้าของเฟยาที่นางได้เห็นเมื่อครู่งดงามไม่ต่างจากเฟเรีย ฝาแฝดกันย่อมมีใบหน้าเหมือนกันเป็นธรรมดา
แต่ทำไมเฟยาต้องเอาผมปิดหน้าปิดตาเช่นนี้ด้วย
“ช้าจริงเฟยา
รีบขึ้นจากน้ำได้แล้วอย่าปล่อยให้คนอื่นรอเจ้าอยู่คนเดียวสิ”
เมเรียหันไปดุเฟยาซึ่งเฟยาก็ไม่มีได้ท่าทางรีบเร่งขึ้นแต่อย่างใด
เพราะนางฟังคำบ่นของท่านแม่มาจนเคยชินจนกลายเป็นหูทวนลม
และไม่ใคร่จะใส่ใจเท่าใดนักไปเสียแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงจากเขา
พวกนางก็ต้องนั่งรุคลงเขาแล้วนั่งรถม้าเพื่อกลับบ้าน
แม้การเดินทางจะค่อนข้างยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็คิดว่าคุ้มค่าที่ได้ไป นอกจากจะอุ่นสบายตัวแล้ว
ผิวก็นุ่มเนียนขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“หากเมื่อใดที่พวกเจ้าต้องการไปที่บ่อน้ำร้อนอีก
พวกเจ้าก็แค่บอกสาวใช้เท่านั้น ข้าได้สั่งพวกสาวใช้ไว้แล้ว พวกนางรู้ว่าจะต้องทำยังไงและพาพวกเจ้าไปยังไง
พวกเจ้าจะไปเมื่อไรก็ได้นะตามสบายเลย จะไปทุกวันก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณท่านป้า”
เฟยาและเฟเรียต่างกล่าวคำขอบคุณสำหรับความใจกว้างของผู้เป็นป้า
โดยเฉพาะเฟยานางหมายมาดไว้แล้วว่านางจะต้องไปเยือนยอดเขาแห่งนั้นอีกครั้งในเร็ววันนี้แน่
ก็ที่เซาท์การ์ดนี่อากาศหนาวเย็นเหลือเกินนี่นา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น