ยามบ่ายในวันพระจันทร์สีเลือด
ขณะที่เฟยากำลังจะเตรียมตัวออกไปหาเจ้าคนแคระ
จู่ ๆ เชือกที่ห้อยจี้คริสตัลของคีลกลับขาด จี้คริสตัลตกลงบนพื้น
เฟยาตกใจนักรีบเก็บมันขึ้นมาดูและสำรวจริ้วรอย
โชคดีนักที่มันไม่เป็นอะไร
และไม่มีแม้รอยขีดข่วน แต่ถึงอย่างนั้นเฟยาเองก็พลอยใจหายวาบ เพราะเหตุนี้นางถึงไม่ชอบใส่เครื่องประดับ
หากเมื่อใดที่มันเสียหายหรือตัวนางทำมันสูญหายเสียเอง นางคงเสียดายและโทษตัวเองที่ไม่รู้จักดูแลมันให้ดี
ทางที่ดีก็อย่าใส่มันเลย
นางจะได้ไม่ต้องห่วงนั่นห่วงนี่ให้มากความ
เฟยาดูเชือกหนังที่ขาด
พบว่าเชือกมันเก่าและเปื่อยมากแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่จู่ ๆ มันก็ขาดขึ้นมาเอง
โชคดีที่ตอนขาดนางยังไม่ได้ออกไปข้างนอก
ไม่เช่นนั้นเกรงว่านางจะทำจี้หายโดยไม่รู้ตัว
เฟยามองจี้คริสตัลแล้วยิ้มออกมา
ยิ่งมองสิ่งของก็ยิ่งนึกถึงเจ้าของมัน หัวใจก็พลอยพองโตเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่แสนจะยินดี
จนแทบจะรอให้ราตรีนี้มาเยือนไม่ไหว
เฟยาตัดสินใจวางจี้คริสตัลไว้ข้างหมอน
แล้วออกไปหาซื้อเชือกมาแทนเส้นเก่าที่ขาด ระหว่างทางก็ฮึมเพลงเบา ๆ
ในลำคออย่างอารมณ์ดี
เฟเรียขึ้นมาตาเฟยาที่ห้องเพราะท่านแม่ต้องการให้นางไปตักน้ำมาตุนไว้ในบ้านเพื่อใช้ในคืนนี้
เมื่อเข้ามาในห้องพลันสายตาเหลือบไปเห็นประกายแสงจากจี้คริสตัลที่สะท้อนแสงแดดออกมา
“สวยจัง”
เฟเรียหยิบจี้คริสตัลขึ้นมาพินิจดู นางมีคริสตัลมากมาย
แต่ไม่มีชิ้นไหนที่สวยงามเท่าชิ้นนี้มาก่อน
เฟเรียเห็นเชือกขาด ๆ
ที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยรู้สึกเสียดาย
จี้ที่สวยงามขนาดนี้ไม่น่าจะถูกร้อยด้วยเชือกเก่า ๆ มันจะทำให้จี้คริสตัลดูด้วยค่าในทันที
แล้วเฟเรียก็เกิดความคิดขึ้นมาบางอย่าง
นางหยิบจี้คริสตัลกลับห้องของตน
แล้วรื้อหาสร้อยจนได้สร้อยเงินมาเส้นหนึ่งดูแล้วเหมาะกับจี้ชิ้นนี้มาก เฟเรียร้อยสร้อยเข้ากับจี้แล้วยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“เหมาะกับจี้คริสตัลชิ้นนี้จริง
ๆ” ด้วยความสวยงามที่ลงตัว
เฟเรียอดใจไม่ไหวที่จะลองทาบสร้อยเส้นนี้กับคอแล้วลองสวมดู
ยิ่งได้ลองนางก็ยิ่งคิดว่าจี้ชิ้นนี้เหมาะกับนางที่สุด จนเกิดความอยาก และนางก็อยากได้จี้คริสตัลชิ้นนี้มาก
นางจะลองขอแลกจี้ชิ้นนี้กับคริสตัลของนางกับเฟยาดู
นางสามารถยกคริสตัลทั้งหมดที่นางมีให้เฟยาได้เพื่อแลกกับจี้คริสตัลชิ้นนี้ชิ้นเดียว
เฟยากลับมาจากตลาดพร้อมกับเชือกหนังเส้นใหม่และเหล้าของเจ้าคนแคระอีก
2 ขวด ขวดหนึ่งสำหรับนาง ส่วนอีกขวดหนึ่งสำหรับคีล เฟยาตื่นเต้นสำหรับคืนนี้มากจนลืมไปว่าคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์สีเลือด
และทุก ๆ ปี นางจะต้องทรมานเจียนตายเพราะตราสะกดบนแผ่นหลังของตน
เฟยาเก็บขวดเหล้าไว้อย่างมิดชิดก่อนจะเปลี่ยนเชือกให้จี้คริสตัล
ทว่า...จี้คริสตัลของคีลกลับหายไปเหลือเพียงเชือกหนังขาด ๆ เฟยารื้อที่นอนดูเผื่อว่ามันจะอยู่ที่ไหนสักที่
เมื่อหาไม่เจอนางก็ลามไปหาส่วนอื่น ๆ ของห้อง เผื่อว่ามันจะไปตกหล่นอยู่แถวไหน
ทั้ง ๆ ที่นางเองก็รู้อยู่ว่านางวางจี้ไว้ข้างหมอน
ในขณะที่เฟยากำลังสาละวนหาจี้คริสตัลอยู่นั้น
เฟเรียได้เดินมาหาเฟยาที่ห้องเพื่อขอจี้คริสตัลกับนาง
แต่เมื่อเฟยาได้เห็นจี้คริสตัลที่ห้องอยู่บนลำคอของเฟเรียแล้ว
นางกลับเกรี้ยวกราดแล้วตะคอกใส่เฟเรีย
“ถอดออกมาเดี๋ยวนี้”
เฟยาตวาดเสียงดังจนเฟเรียสะดุ้ง “เจ้าไม่มีสิทธิ์เอาจี้ข้าไปใส่”
“เดี๋ยวสิเฟยา ใจเย็น ๆ
และฟังข้าก่อนนะ” เฟเรียพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่น้ำเดือดอย่างเฟยาไม่เย็นลงง่าย
ๆ
“ข้าบอกให้ถอดออกมา”
เมื่อเฟเรียไม่ถอดสร้อยออก นางก็ตั้งท่าจะคว้าสร้อยออกมาเอง
เฟเรียตกใจกับท่าทางของเฟยา จึงเผลอก้าวถอยหลังแล้วเอามือกุมสร้อยไว้
ขณะที่เฟยากำลังจะยื้อแย้งจี้คริสตัลคืน
เมเรียที่ได้ยินเสียงดังเอะอะจากชั้นบนก็ได้ขึ้นมาดู
แล้วเห็นว่าเฟยากำลังรุกไล่เฟเรียอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเฟยา” เฟยาไม่ฟัง
นางพยายามจะเอาจี้คืนมาให้ได้ เมเรียจึงจับเฟยาแยกออก
แล้วยืนขวางหน้าเฟยาไว้โดยกันเฟเรียไว้ด้านหลังตน “เจ้ากำลังจะทำอะไรเฟยา”
“ข้าแค่จะเอาของ ๆ
ข้าคืนมาเท่านั้น ...เอาคืนข้ามาเดี๋ยวนี้นะเฟเรีย” เฟยาบอกแฝดผู้น้องอีกครั้ง
แต่เฟเรียกลับนิ่งเฉยทำให้เฟยาเกรี้ยวกราดหนักยิ่งกว่าเดิม
“ของอะไรของเจ้าเฟยา”
เมเรียถามกลับ
“ท่านแม่ก็ลองถามเฟเรียดูสิ”
เมเรียหันกลับไปหาเฟเรียที่ยืนกุมสร้อยไม่ยอมปล่อย
“ข้า ข้าก็แค่เห็นว่าสร้อยมันขาด
ก็เลยหาสร้อยใหม่มาเปลี่ยนให้ แล้วทีนี้...ข้าก็แค่ขอลองใส่ดูเท่านั้น”
เฟเรียก้มหน้างุด รู้ว่าตนกำลังทำผิด แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือออกจากสร้อยเพราะความเสียดาย
ฟังแล้วเมเรียก็พอจะรู้ว่าปัญหาคงเกิดมาจากสร้อยที่เฟเรียไม่ยอมปล่อยมือนั่นเอง
นางหันไปหาเฟยาแล้วพูดว่า
“ในเมื่อเฟเรียขอลองใส่ดู
เจ้าก็ให้เฟเรียลองเถอะ ลองเสร็จนางก็เอาคืนเจ้าเอง
เจ้าก็อย่าโวยวายไปหน่อยเลยเฟยา”
“แต่ข้าไม่ให้”
นางหันไปถลึงตาใส่เฟเรียแล้วกล่าวว่า “เอาคืนข้ามาได้แล้ว”
“พอทีเถอะเฟยา
ของแค่นี้จะหวงอะไรนักหนา เฟเรียก็บอกแล้วยืมใส่ นางไม่ได้คิดจะเอาไปสักหน่อย
ใช่ไหมเฟเรีย” ผู้เป็นแม่หันไปหาลูกสาวคนโปรด แต่เฟเรียกลับไม่ยอมพูดอะไรได้แต่ยิ้มเจื่อน
ๆ
นางไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่คิดจะเอาไปเป็นของตน
จี้คริสตัลชิ้นนี้งดงามและดึงดูดใจนางเหลือเกิน นางไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่เคยได้
ไม่เคยมีใครขัดใจนาง มีแต่คนประเคนสิ่งของมากมาย มาวางไว้ตรงหน้าให้นาง
จนเมื่อเจอของที่ใจอยากได้ แต่กลับกลายเป็นของ ๆ คนอื่น
นางจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
“แต่ข้าต้องการของ ๆ ข้าคืน
เดี๋ยวนี้!” ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรนางก็ต้องเอาจี้ของคีลคืนมาให้ได้
“เอ๊ะ นี่เจ้าไม่ฟังที่ข้าพูดหรืออย่างไรเฟยา
เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะก้าวร้าวขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ
เจ้าเป็นพี่มีอะไรก็คงจะแบ่งปันให้น้อง แค่จี้คริสตัลชิ้นเดียว
ให้เฟเรียยืมใส่จะเป็นอะไรไป”
ท่านแม่กล่าวว่ามีอะไรก็ให้นางแบ่งปันเฟเรีย
ผ่านมาท่านแม่มักจะคอยย้ำว่าของ ๆ เฟเรียก็คือของเฟเรีย นางไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง
ทีจะของ ๆ นาง ทำไมท่านแม่ถึงยอมให้เฟเรียเข้ามายุ่งได้กัน
เรื่องราวชักไม่จบง่าย ๆ
อย่างที่คาด เมื่อไม่มีใครยอมใคร จนอัสคากลับมาจากข้างนอก
และเห็นว่าในบ้านกำลังเหมือนเกิดเรื่องกันอยู่
เขาถามความจากเมเรียจนได้รู้เรื่องทั้งหมด
“เจ้าเอาจี้มาให้พ่อ”
อัสคาหันไปสั่งเฟเรียอย่างเด็ดขาด
แม้ใจไม่อยากปล่อยแต่เฟเรียจำต้องถอดสร้อยส่งให้ท่านพ่อ
อัสคารับมาพิจารณาแล้วหันไปถามเฟยา
“จี้ปัญหานี่น่ะหรือที่เป็นของเจ้า”
“ของข้า” เฟยาตอบ
แต่อัสคากลับยื่นจี้คืนให้เฟเรีย สร้างความประหลาดใจให้แก่เฟยานัก
“อย่ามาโกหกข้าเลยเฟยา
อย่างเจ้าน่ะหรือจะมีของล้ำค่าเช่นนี้ ทั้งรูปทรงและประกายของมัน
ดูก็รู้ว่าเป็นของหายากและมีค่ามาก ถ้าเป็นของเจ้าจริง
เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าไปเอาของมีค่าอย่างคริสตัลชิ้นนั้นมาจากไหน”
“มีคนให้ข้ามา” เฟยาพลั้งปากไป
“ใคร”
“เพื่อนของข้าเอง”
“เพื่อนของเจ้า แล้วใครกันล่ะ”
เฟยาเริ่มอึกอักไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จะให้บอกว่าคีลให้นางมา แล้วใครจะเชื่อ ในอีสการ์ดเพื่อนของนางก็มีแค่เจ้าคนแคระเท่านั้น
แล้วอย่างเจ้าคนแคระน่ะหรือที่จะให้ของล้ำค่ากับนาง
“ข้าบอกไม่ได้”
“เจ้าบอกไม่ได้
หรือเจ้าไม่รู้กันแน่
...ถ้าเจ้าตอบไม่ได้ข้าก็จะถือว่าคริสตัลชิ้นนี้เป็นของเฟเรีย”
“อะไรนะ” นี่นางฟังผิดหรือเปล่า
ทำไมถึงได้อยุติธรรมเช่นนี้ “นั่นมันของข้า ทำไมท่านพ่อถึงเอาของ ๆ
ข้าไปให้เฟเรียอย่างนี้ ข้าไม่ยอม”
“ของล้ำค่าเช่นนั้น
ยากนักที่เจ้าจะได้ครอบครอง หากเจ้าตอบไม่ได้ว่าได้มาอย่างไร เจ้าก็ไม่ใช่เจ้าของ
ๆ มัน หากเป็นเฟเรียข้าจะไม่สงสัยเลย
เพราะของล้ำค่าที่เฟเรียได้ครอบครองนั้นมีมากมายจนแม่แต่ตัวเฟเรียเองก็อาจจะหลงลืมไปบ้าง
บางที...” อัสคาลากเสียงยาว แล้วใช้สายตาจ้องจับผิดเฟยา
“เจ้าอาจจะขโมยคริสตัลชิ้นนั้นของเฟเรียไปแล้วอุปโลกน์เป็นของตนก็ได้”
“ท่านกำลังปรักปรำว่าข้าเป็นขโมยรึ
ท่านพ่อ” เสียงนางแหบแห้งลงทุกที ทำไมพวกเขาถึงได้ทำกับนางเยี่ยงนี้
ทำไมพวกเขาถึงได้โหดร้ายและอยุติธรรมกับนาง ทั้ง ๆ
ที่นางก็เป็นบุตรสาวของเขาเช่นกัน
ภาพความทรงจำเมื่อวัยเด็กได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
ครั้งนั้นกระท่อมของผู้อื่นได้เกิดไฟไหม้ ท่านพ่อได้กล่าวหานางว่าเป็นคนทำ
ครั้งนี้พ่อพ่อก็ได้กล่าวหาว่านางเป็นขโมย
ท่านกล่าวหาโดยไม่เคยถามเฟเรียเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทุกครั้งนางต้องเป็นผู้กระทำผิดเสมอ
แววตาที่โศกเศร้าเหมือนจะรื้นจะน้ำตา
กลับแห้งลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความเย็นชา
นางมองคนทั้งสามแล้วแค่นหัวเราะออกมา
พวกเขาช่างเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับนางเหลือเกิน
นี่น่ะหรือคนในครอบครัวที่ควรจะรักและเข้าใจกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าถูกทำร้ายอยู่เสมอเล่า
คนอื่นอย่างเจ้าคนแคระยังมีความห่วงใยให้แก่นางมากกว่าคนพวกนี้เสียด้วยซ้ำ
เฟยาหันหลังกลับเข้าห้อง
ไม่สนใจต่อทำพูดไล่หลังของท่านพ่อที่คิดจะลงโทษนาง เรื่องที่นางขโมยของ
...พอเสียทีกับคนพวกนี้ นางไม่อยากจะหวังอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว
ในเมื่อพวกเขาไม่รักนาง นางก็จะไม่คาดหวังความรักจากพวกเขาอีก ...พอกันที
ราตรีเริ่มมาเยือน
แต่ละบ้านเริ่มปิดประตูลงทีละหลัง ๆ แม้แต่หน้าต่างก็ปิดไว้อย่างมิดชิด
ซ้ำยังเอากระดาษมาปิดทับไว้ข้างใน เพื่อให้แน่ใจว่าแสงจันทร์สีเลือดจะไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาทำให้เกิดความอัปมงคลภายในบ้านได้อย่างเด็ดขาด
มีเพียงห้อง ๆ เดียวเท่านั้นไม่ยอมทำตามอย่างคนอื่น
เพราะเจ้าของห้องพร้อมจะกระโจนออกไปนอกหน้าต่างได้ทุกเมื่อ
รอเพียงเวลาที่ทุกคนหลับใหลเท่านั้น
เฟยานั่งรอเวลาอยู่บนเตียงด้วยหัวใจที่เต้นระทึก
อีกไม่นานแค่รอให้ทุกคนหลับเท่านั้น นางก็จะเปิดหน้าต่างแล้วมุ่งสู่ป่าต้องห้าม
เพื่อเจอกับคนที่นางเฝ้ารอมาตลอดหลายปีนี้ ...แต่จู่ ๆ
ขณะกำลังนั่งอมยิ้มอยู่เพียงลำพัง เฟยากลับล้มตัวลงบนเตียงขดตัวเหมือนกุ้ง
ดิ้นพล่านทุรนทุรายอย่างทรมาน ร่างกายร้อนผ่าวดั่งไฟลามเลีย
แต่สักพักความเจ็บปวดทั้งหมดก็หายวับไป
นางดีใจจนลืมเรื่องสำคัญไป
ทุกปีในวันพระจันทร์สีเลือด หรือวันครบรอบที่คีลสะกดอำนาจเวทย์ของนาง
ทุกปีตราสะกดจะต้องปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของนาง แล้วสำแดงอานุภาพของมัน
และนางก็ต้องทรมานเจียนตายในวันเดียวกันนี้ของทุกปี และที่จู่ ๆ นางล้มไปเช่นนี้
ก็แสดงว่ามันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
เฟยาเริ่มกังวลกับตราสะกดนี่เหลือเกิน
หากมันกำเริบขณะที่อยู่กับคีล เขาจะต้องเป็นกังวลและอาจจะโทษตัวเองที่ทำให้นางต้องทรมานเช่นนี้
ทั้ง ๆ ที่นางรู้สึกขอบคุณเขาเสมอมาที่ช่วยให้นางให้เวทย์ใช้ได้อย่างใจนึก
สิ่งเดียวที่นางพอจะนึกออกและทำได้นั่นคือ
อดทนไว้
ขณะกำลังล้อมวงทานอาหารเย็นกันสามคนพ่อแม่ลูกอยู่นั้น
เฟเรียคอยชำเลืองมองไปข้างบนตรงห้องเฟยาอยู่เสมอ นางเป็นห่วงเฟยานัก
พอเฟยาเก็บตัวอยู่ในห้องนางก็ไม่กล้าพอไปเรียกให้เฟยาลงมาทานอาหาร
ท่านพ่อกับท่านแม่ก็บอกให้ปล่อยเฟยาไปไม่ต้องสนใจ แต่จะให้นางไม่สนใจก็คงจะไม่ได้
เพราะนางรู้ตัวดีว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตน รู้ทั้งรู้ว่าตนผิด
แต่ก็ขลาดเกินไปที่จะยอมรับ และนางก็เสียดายจี้คริสตัลเหลือเกิน
ทั้ง ๆ
ที่นางเองก็มีเพชรพลอยและเครื่องประดับอยู่มากมาย
แต่ไม่รู้ทำไมนางถึงต้องตาต้องใจจี้คริสตัลนี้เหลือเกิน
ถึงขนาดอยากขโมยมาเป็นของตนเอง แต่การขโมยเป็นสิ่งไม่ดีนางจึงคิดว่าจะลองเกลี้ยกล่อมเฟยาให้แลกจี้คริสตัลนี้กับเครื่องประดับชิ้นอื่น
ๆ ของนางดู เมื่อคิดได้ดังนั้น เฟเรียจึงรอเวลาที่ท่านพ่อท่านแม่เข้าไปพักผ่อนในห้อง
และตนจะได้เข้าไปคุยกับเฟยา
เฟเรียถือวิสาสะเปิดประตูเข้าห้องเฟยา
แต่สิ่งที่นางเห็นกลับเป็นเฟยาในชุดเสื้อคลุมสีเข้มกำลังกระโจนออกนอกหน้าต่าง
นางตั้งใจรีบคว้าตัวเฟยาไว้ แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้นางชะงักไป
หากจะส่งเสียงเรียก ก็เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นแตกตื่นและเกิดเรื่องราวใหญ่โต แล้วจู่
ๆ ความคิดที่ว่าเฟยาอาจจะคิดสั้นก็แวบเข้ามาในหัว ทำให้เฟเรียรีบกลับเข้าห้องตนเองแล้วสวมเสื้อคลุมมิดชิดก่อนจะตามเฟยาออกไปทางหน้าต่าง
เมื่อครั้นกระโจนออกไปทางหน้าต่าง
เฟเรียก็รู้สึกแปลกใจนัก การกระโจนลงมาจากชั้น 2
นั้นแม้แต่นางเองยังต้องใช้เวทย์ช่วยประคองตนให้ลงมาอย่างปลอดภัย
เพราะตนนั้นยังไม่สามารถเหาะได้อย่างจอมเวทย์คนอื่น ๆ
แต่สำหรับเฟยาทำไมมันช่างดูง่ายตายเสียเหลือเกิน
ข้อกังขานั้นเป็นอันต้องพับเก็บไว้ก่อน
เพราะเฟเรียกำลังรีบรุดตามเฟยาปกป้องไม่ให้นางคิดสั้น
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่นางต้องชะงัก
เบื้องหน้าคือป่าต้องห้ามที่ไม่ว่าใครที่เข้าไปต้องถูกลงโทษถึงชีวิต ...หรือเฟยาจะคิดสั้นจริง
ๆ
ด้วยความเป็นห่วงเฟยา
ทำให้เฟเรียตัดสินใจตามเข้าไปในป่าต้องห้าม แต่ป่าแห่งนี้มืดมิดเสียจริง
แม้แต่แสงจันทร์ยังไม่สามารถลอดผ่านมาได้ นางจึงสร้างดวงไฟเล็ก ๆ
ขึ้นมาคอยส่องนำทาง เมื่อมีแสงสว่างนางจึงได้เห็นป่าต้องห้ามชัด ๆ ในคราวนี้
ป่าต้องห้ามแห่งนี้ดูไปก็เหมือนป่าทั่วไป
เพียงแต่มีต้นไม้แต่ละต้นสูงชะลูดและแผ่กิ่งก้านปกคลุมจนมิดท้องฟ้า
ทำให้ดูน่ากลัวโดยเฉพาะยามราตรีเช่นนี้
“เฟยาเจ้าอยู่ไหนกันนะ”
เฟเรียรำพึง นางคลาดกับเฟยาทันทีเมื่อเข้ามาในป่าต้องห้าม
ในใจก็กังวลว่าหากตามหาเฟยาไม่พบ เฟยาอาจจะเป็นอันตรายก็ได้ แต่นางเองก็ไม่กล้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะกลัวจะหลงป่า
“แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ เฟยาเจ้าอยู่ทีไหนกันนะ”
ในเวลาเดียวกันนั้น
เฟเรียพลันเหลือบไปเห็นแสงสว่างอยู่ลิบ ๆ นางเดินเข้าไปดูอย่างใคร่สนใจ
ต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบที่อยู่เบื้องหน้าส่องแสงระยิบระยับงดงาม
แล้วยิ่งเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่ามีจุดแสงเล็ก ๆ เหมือนมีดวงดาวนับร้อยโอบล้อม ต้นไม้ทำให้ดูเหมือนว่ามันกำลังส่องแสง
ไม่เพียงแค่ต้นไม้เท่านั้นที่ทำให้นางประหลาดใจ
บุรุษเบื้องต้นที่กำลังยืนหันหลังให้นางทำให้นางใคร่รู้นักว่าเป็นใคร
แต่เมื่อเขาค่อย ๆ หันกลับมา ความสงสัยที่มีอยู่มากมายกลับกลายเป็นความปิติ
หัวใจเต้นระรัวไม่หยุดเมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นใกล้ ๆ
“เดวาของข้า”
เสียงทุ้มน่าฟังกำลังเรียกหานาง
เอื้อมมืองดงามยื่นตรงมาพร้อมกับรอยยิ้มที่นางไม่สามารถปฏิเสธได้
เฟเรียเดินเข้าไปหาดั่งต้องมนต์
ความหวานล้ำในหัวใจที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ปราศจากความคลางแคลงใจใด ๆ
คำถามมากมายที่น่าผุดขึ้นมา กลับถูกกดทับไว้ด้วยความรัก
...รักแรกพบกับบุรุษปริศนาที่นางคำนึงถึงอยู่ทุกยาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น