หน้าเว็บ

บทที่ 11 : พระจันทร์ดั่งสีเลือด


                ยามบ่ายในวันพระจันทร์สีเลือด
                ขณะที่เฟยากำลังจะเตรียมตัวออกไปหาเจ้าคนแคระ จู่ ๆ เชือกที่ห้อยจี้คริสตัลของคีลกลับขาด จี้คริสตัลตกลงบนพื้น เฟยาตกใจนักรีบเก็บมันขึ้นมาดูและสำรวจริ้วรอย
                โชคดีนักที่มันไม่เป็นอะไร และไม่มีแม้รอยขีดข่วน แต่ถึงอย่างนั้นเฟยาเองก็พลอยใจหายวาบ เพราะเหตุนี้นางถึงไม่ชอบใส่เครื่องประดับ หากเมื่อใดที่มันเสียหายหรือตัวนางทำมันสูญหายเสียเอง นางคงเสียดายและโทษตัวเองที่ไม่รู้จักดูแลมันให้ดี
                ทางที่ดีก็อย่าใส่มันเลย นางจะได้ไม่ต้องห่วงนั่นห่วงนี่ให้มากความ
                เฟยาดูเชือกหนังที่ขาด พบว่าเชือกมันเก่าและเปื่อยมากแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่จู่ ๆ มันก็ขาดขึ้นมาเอง โชคดีที่ตอนขาดนางยังไม่ได้ออกไปข้างนอก ไม่เช่นนั้นเกรงว่านางจะทำจี้หายโดยไม่รู้ตัว
                เฟยามองจี้คริสตัลแล้วยิ้มออกมา ยิ่งมองสิ่งของก็ยิ่งนึกถึงเจ้าของมัน หัวใจก็พลอยพองโตเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่แสนจะยินดี จนแทบจะรอให้ราตรีนี้มาเยือนไม่ไหว
                 เฟยาตัดสินใจวางจี้คริสตัลไว้ข้างหมอน แล้วออกไปหาซื้อเชือกมาแทนเส้นเก่าที่ขาด ระหว่างทางก็ฮึมเพลงเบา ๆ ในลำคออย่างอารมณ์ดี

                เฟเรียขึ้นมาตาเฟยาที่ห้องเพราะท่านแม่ต้องการให้นางไปตักน้ำมาตุนไว้ในบ้านเพื่อใช้ในคืนนี้ เมื่อเข้ามาในห้องพลันสายตาเหลือบไปเห็นประกายแสงจากจี้คริสตัลที่สะท้อนแสงแดดออกมา
                “สวยจัง” เฟเรียหยิบจี้คริสตัลขึ้นมาพินิจดู นางมีคริสตัลมากมาย แต่ไม่มีชิ้นไหนที่สวยงามเท่าชิ้นนี้มาก่อน
                เฟเรียเห็นเชือกขาด ๆ ที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยรู้สึกเสียดาย จี้ที่สวยงามขนาดนี้ไม่น่าจะถูกร้อยด้วยเชือกเก่า ๆ            มันจะทำให้จี้คริสตัลดูด้วยค่าในทันที แล้วเฟเรียก็เกิดความคิดขึ้นมาบางอย่าง
                นางหยิบจี้คริสตัลกลับห้องของตน แล้วรื้อหาสร้อยจนได้สร้อยเงินมาเส้นหนึ่งดูแล้วเหมาะกับจี้ชิ้นนี้มาก เฟเรียร้อยสร้อยเข้ากับจี้แล้วยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
                “เหมาะกับจี้คริสตัลชิ้นนี้จริง ๆ” ด้วยความสวยงามที่ลงตัว เฟเรียอดใจไม่ไหวที่จะลองทาบสร้อยเส้นนี้กับคอแล้วลองสวมดู ยิ่งได้ลองนางก็ยิ่งคิดว่าจี้ชิ้นนี้เหมาะกับนางที่สุด จนเกิดความอยาก และนางก็อยากได้จี้คริสตัลชิ้นนี้มาก
                นางจะลองขอแลกจี้ชิ้นนี้กับคริสตัลของนางกับเฟยาดู นางสามารถยกคริสตัลทั้งหมดที่นางมีให้เฟยาได้เพื่อแลกกับจี้คริสตัลชิ้นนี้ชิ้นเดียว

                เฟยากลับมาจากตลาดพร้อมกับเชือกหนังเส้นใหม่และเหล้าของเจ้าคนแคระอีก 2 ขวด ขวดหนึ่งสำหรับนาง ส่วนอีกขวดหนึ่งสำหรับคีล เฟยาตื่นเต้นสำหรับคืนนี้มากจนลืมไปว่าคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์สีเลือด และทุก ๆ ปี นางจะต้องทรมานเจียนตายเพราะตราสะกดบนแผ่นหลังของตน
                เฟยาเก็บขวดเหล้าไว้อย่างมิดชิดก่อนจะเปลี่ยนเชือกให้จี้คริสตัล ทว่า...จี้คริสตัลของคีลกลับหายไปเหลือเพียงเชือกหนังขาด ๆ เฟยารื้อที่นอนดูเผื่อว่ามันจะอยู่ที่ไหนสักที่ เมื่อหาไม่เจอนางก็ลามไปหาส่วนอื่น ๆ ของห้อง เผื่อว่ามันจะไปตกหล่นอยู่แถวไหน ทั้ง ๆ ที่นางเองก็รู้อยู่ว่านางวางจี้ไว้ข้างหมอน
                ในขณะที่เฟยากำลังสาละวนหาจี้คริสตัลอยู่นั้น เฟเรียได้เดินมาหาเฟยาที่ห้องเพื่อขอจี้คริสตัลกับนาง แต่เมื่อเฟยาได้เห็นจี้คริสตัลที่ห้องอยู่บนลำคอของเฟเรียแล้ว นางกลับเกรี้ยวกราดแล้วตะคอกใส่เฟเรีย
                “ถอดออกมาเดี๋ยวนี้” เฟยาตวาดเสียงดังจนเฟเรียสะดุ้ง “เจ้าไม่มีสิทธิ์เอาจี้ข้าไปใส่”
                “เดี๋ยวสิเฟยา ใจเย็น ๆ และฟังข้าก่อนนะ” เฟเรียพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่น้ำเดือดอย่างเฟยาไม่เย็นลงง่าย ๆ
                “ข้าบอกให้ถอดออกมา” เมื่อเฟเรียไม่ถอดสร้อยออก นางก็ตั้งท่าจะคว้าสร้อยออกมาเอง เฟเรียตกใจกับท่าทางของเฟยา จึงเผลอก้าวถอยหลังแล้วเอามือกุมสร้อยไว้
                ขณะที่เฟยากำลังจะยื้อแย้งจี้คริสตัลคืน เมเรียที่ได้ยินเสียงดังเอะอะจากชั้นบนก็ได้ขึ้นมาดู แล้วเห็นว่าเฟยากำลังรุกไล่เฟเรียอยู่
                “หยุดเดี๋ยวนี้นะเฟยา” เฟยาไม่ฟัง นางพยายามจะเอาจี้คืนมาให้ได้ เมเรียจึงจับเฟยาแยกออก แล้วยืนขวางหน้าเฟยาไว้โดยกันเฟเรียไว้ด้านหลังตน “เจ้ากำลังจะทำอะไรเฟยา”
                “ข้าแค่จะเอาของ ๆ ข้าคืนมาเท่านั้น ...เอาคืนข้ามาเดี๋ยวนี้นะเฟเรีย” เฟยาบอกแฝดผู้น้องอีกครั้ง แต่เฟเรียกลับนิ่งเฉยทำให้เฟยาเกรี้ยวกราดหนักยิ่งกว่าเดิม
                “ของอะไรของเจ้าเฟยา” เมเรียถามกลับ
                “ท่านแม่ก็ลองถามเฟเรียดูสิ”
                เมเรียหันกลับไปหาเฟเรียที่ยืนกุมสร้อยไม่ยอมปล่อย
                “ข้า ข้าก็แค่เห็นว่าสร้อยมันขาด ก็เลยหาสร้อยใหม่มาเปลี่ยนให้ แล้วทีนี้...ข้าก็แค่ขอลองใส่ดูเท่านั้น” เฟเรียก้มหน้างุด รู้ว่าตนกำลังทำผิด แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือออกจากสร้อยเพราะความเสียดาย
                ฟังแล้วเมเรียก็พอจะรู้ว่าปัญหาคงเกิดมาจากสร้อยที่เฟเรียไม่ยอมปล่อยมือนั่นเอง นางหันไปหาเฟยาแล้วพูดว่า
                “ในเมื่อเฟเรียขอลองใส่ดู เจ้าก็ให้เฟเรียลองเถอะ ลองเสร็จนางก็เอาคืนเจ้าเอง เจ้าก็อย่าโวยวายไปหน่อยเลยเฟยา”
                “แต่ข้าไม่ให้” นางหันไปถลึงตาใส่เฟเรียแล้วกล่าวว่า “เอาคืนข้ามาได้แล้ว”
                “พอทีเถอะเฟยา ของแค่นี้จะหวงอะไรนักหนา เฟเรียก็บอกแล้วยืมใส่ นางไม่ได้คิดจะเอาไปสักหน่อย ใช่ไหมเฟเรีย” ผู้เป็นแม่หันไปหาลูกสาวคนโปรด แต่เฟเรียกลับไม่ยอมพูดอะไรได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ
                นางไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่คิดจะเอาไปเป็นของตน จี้คริสตัลชิ้นนี้งดงามและดึงดูดใจนางเหลือเกิน นางไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่เคยได้ ไม่เคยมีใครขัดใจนาง มีแต่คนประเคนสิ่งของมากมาย มาวางไว้ตรงหน้าให้นาง จนเมื่อเจอของที่ใจอยากได้ แต่กลับกลายเป็นของ ๆ คนอื่น นางจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
                “แต่ข้าต้องการของ ๆ ข้าคืน เดี๋ยวนี้!” ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรนางก็ต้องเอาจี้ของคีลคืนมาให้ได้
                “เอ๊ะ นี่เจ้าไม่ฟังที่ข้าพูดหรืออย่างไรเฟยา เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะก้าวร้าวขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ เจ้าเป็นพี่มีอะไรก็คงจะแบ่งปันให้น้อง แค่จี้คริสตัลชิ้นเดียว ให้เฟเรียยืมใส่จะเป็นอะไรไป”
                ท่านแม่กล่าวว่ามีอะไรก็ให้นางแบ่งปันเฟเรีย ผ่านมาท่านแม่มักจะคอยย้ำว่าของ ๆ เฟเรียก็คือของเฟเรีย นางไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง ทีจะของ ๆ นาง ทำไมท่านแม่ถึงยอมให้เฟเรียเข้ามายุ่งได้กัน
                เรื่องราวชักไม่จบง่าย ๆ อย่างที่คาด เมื่อไม่มีใครยอมใคร จนอัสคากลับมาจากข้างนอก และเห็นว่าในบ้านกำลังเหมือนเกิดเรื่องกันอยู่ เขาถามความจากเมเรียจนได้รู้เรื่องทั้งหมด
                “เจ้าเอาจี้มาให้พ่อ” อัสคาหันไปสั่งเฟเรียอย่างเด็ดขาด
                แม้ใจไม่อยากปล่อยแต่เฟเรียจำต้องถอดสร้อยส่งให้ท่านพ่อ
                อัสคารับมาพิจารณาแล้วหันไปถามเฟยา “จี้ปัญหานี่น่ะหรือที่เป็นของเจ้า”
                “ของข้า” เฟยาตอบ แต่อัสคากลับยื่นจี้คืนให้เฟเรีย สร้างความประหลาดใจให้แก่เฟยานัก
                “อย่ามาโกหกข้าเลยเฟยา อย่างเจ้าน่ะหรือจะมีของล้ำค่าเช่นนี้ ทั้งรูปทรงและประกายของมัน ดูก็รู้ว่าเป็นของหายากและมีค่ามาก ถ้าเป็นของเจ้าจริง เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าไปเอาของมีค่าอย่างคริสตัลชิ้นนั้นมาจากไหน”
                “มีคนให้ข้ามา” เฟยาพลั้งปากไป
                “ใคร”
                “เพื่อนของข้าเอง”
                “เพื่อนของเจ้า แล้วใครกันล่ะ” เฟยาเริ่มอึกอักไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จะให้บอกว่าคีลให้นางมา แล้วใครจะเชื่อ ในอีสการ์ดเพื่อนของนางก็มีแค่เจ้าคนแคระเท่านั้น แล้วอย่างเจ้าคนแคระน่ะหรือที่จะให้ของล้ำค่ากับนาง
                “ข้าบอกไม่ได้”
                “เจ้าบอกไม่ได้ หรือเจ้าไม่รู้กันแน่ ...ถ้าเจ้าตอบไม่ได้ข้าก็จะถือว่าคริสตัลชิ้นนี้เป็นของเฟเรีย”
                “อะไรนะ” นี่นางฟังผิดหรือเปล่า ทำไมถึงได้อยุติธรรมเช่นนี้ “นั่นมันของข้า ทำไมท่านพ่อถึงเอาของ ๆ ข้าไปให้เฟเรียอย่างนี้ ข้าไม่ยอม”
                “ของล้ำค่าเช่นนั้น ยากนักที่เจ้าจะได้ครอบครอง หากเจ้าตอบไม่ได้ว่าได้มาอย่างไร เจ้าก็ไม่ใช่เจ้าของ ๆ มัน หากเป็นเฟเรียข้าจะไม่สงสัยเลย เพราะของล้ำค่าที่เฟเรียได้ครอบครองนั้นมีมากมายจนแม่แต่ตัวเฟเรียเองก็อาจจะหลงลืมไปบ้าง บางที...” อัสคาลากเสียงยาว แล้วใช้สายตาจ้องจับผิดเฟยา “เจ้าอาจจะขโมยคริสตัลชิ้นนั้นของเฟเรียไปแล้วอุปโลกน์เป็นของตนก็ได้”
                “ท่านกำลังปรักปรำว่าข้าเป็นขโมยรึ ท่านพ่อ” เสียงนางแหบแห้งลงทุกที ทำไมพวกเขาถึงได้ทำกับนางเยี่ยงนี้ ทำไมพวกเขาถึงได้โหดร้ายและอยุติธรรมกับนาง ทั้ง ๆ ที่นางก็เป็นบุตรสาวของเขาเช่นกัน
                ภาพความทรงจำเมื่อวัยเด็กได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ครั้งนั้นกระท่อมของผู้อื่นได้เกิดไฟไหม้ ท่านพ่อได้กล่าวหานางว่าเป็นคนทำ ครั้งนี้พ่อพ่อก็ได้กล่าวหาว่านางเป็นขโมย ท่านกล่าวหาโดยไม่เคยถามเฟเรียเลยแม้แต่ครั้งเดียว
                ทุกครั้งนางต้องเป็นผู้กระทำผิดเสมอ
                แววตาที่โศกเศร้าเหมือนจะรื้นจะน้ำตา กลับแห้งลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความเย็นชา นางมองคนทั้งสามแล้วแค่นหัวเราะออกมา พวกเขาช่างเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับนางเหลือเกิน นี่น่ะหรือคนในครอบครัวที่ควรจะรักและเข้าใจกัน  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าถูกทำร้ายอยู่เสมอเล่า คนอื่นอย่างเจ้าคนแคระยังมีความห่วงใยให้แก่นางมากกว่าคนพวกนี้เสียด้วยซ้ำ
                เฟยาหันหลังกลับเข้าห้อง ไม่สนใจต่อทำพูดไล่หลังของท่านพ่อที่คิดจะลงโทษนาง เรื่องที่นางขโมยของ ...พอเสียทีกับคนพวกนี้ นางไม่อยากจะหวังอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่รักนาง นางก็จะไม่คาดหวังความรักจากพวกเขาอีก ...พอกันที

                ราตรีเริ่มมาเยือน แต่ละบ้านเริ่มปิดประตูลงทีละหลัง ๆ แม้แต่หน้าต่างก็ปิดไว้อย่างมิดชิด ซ้ำยังเอากระดาษมาปิดทับไว้ข้างใน เพื่อให้แน่ใจว่าแสงจันทร์สีเลือดจะไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาทำให้เกิดความอัปมงคลภายในบ้านได้อย่างเด็ดขาด
                มีเพียงห้อง ๆ เดียวเท่านั้นไม่ยอมทำตามอย่างคนอื่น เพราะเจ้าของห้องพร้อมจะกระโจนออกไปนอกหน้าต่างได้ทุกเมื่อ รอเพียงเวลาที่ทุกคนหลับใหลเท่านั้น
                เฟยานั่งรอเวลาอยู่บนเตียงด้วยหัวใจที่เต้นระทึก อีกไม่นานแค่รอให้ทุกคนหลับเท่านั้น นางก็จะเปิดหน้าต่างแล้วมุ่งสู่ป่าต้องห้าม เพื่อเจอกับคนที่นางเฝ้ารอมาตลอดหลายปีนี้ ...แต่จู่ ๆ ขณะกำลังนั่งอมยิ้มอยู่เพียงลำพัง เฟยากลับล้มตัวลงบนเตียงขดตัวเหมือนกุ้ง ดิ้นพล่านทุรนทุรายอย่างทรมาน ร่างกายร้อนผ่าวดั่งไฟลามเลีย แต่สักพักความเจ็บปวดทั้งหมดก็หายวับไป
                นางดีใจจนลืมเรื่องสำคัญไป ทุกปีในวันพระจันทร์สีเลือด หรือวันครบรอบที่คีลสะกดอำนาจเวทย์ของนาง ทุกปีตราสะกดจะต้องปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของนาง แล้วสำแดงอานุภาพของมัน และนางก็ต้องทรมานเจียนตายในวันเดียวกันนี้ของทุกปี และที่จู่ ๆ นางล้มไปเช่นนี้ ก็แสดงว่ามันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
                เฟยาเริ่มกังวลกับตราสะกดนี่เหลือเกิน หากมันกำเริบขณะที่อยู่กับคีล เขาจะต้องเป็นกังวลและอาจจะโทษตัวเองที่ทำให้นางต้องทรมานเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่นางรู้สึกขอบคุณเขาเสมอมาที่ช่วยให้นางให้เวทย์ใช้ได้อย่างใจนึก
                สิ่งเดียวที่นางพอจะนึกออกและทำได้นั่นคือ อดทนไว้
                               
                ขณะกำลังล้อมวงทานอาหารเย็นกันสามคนพ่อแม่ลูกอยู่นั้น เฟเรียคอยชำเลืองมองไปข้างบนตรงห้องเฟยาอยู่เสมอ นางเป็นห่วงเฟยานัก พอเฟยาเก็บตัวอยู่ในห้องนางก็ไม่กล้าพอไปเรียกให้เฟยาลงมาทานอาหาร ท่านพ่อกับท่านแม่ก็บอกให้ปล่อยเฟยาไปไม่ต้องสนใจ แต่จะให้นางไม่สนใจก็คงจะไม่ได้ เพราะนางรู้ตัวดีว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตน รู้ทั้งรู้ว่าตนผิด แต่ก็ขลาดเกินไปที่จะยอมรับ และนางก็เสียดายจี้คริสตัลเหลือเกิน
                ทั้ง ๆ ที่นางเองก็มีเพชรพลอยและเครื่องประดับอยู่มากมาย แต่ไม่รู้ทำไมนางถึงต้องตาต้องใจจี้คริสตัลนี้เหลือเกิน ถึงขนาดอยากขโมยมาเป็นของตนเอง แต่การขโมยเป็นสิ่งไม่ดีนางจึงคิดว่าจะลองเกลี้ยกล่อมเฟยาให้แลกจี้คริสตัลนี้กับเครื่องประดับชิ้นอื่น ๆ ของนางดู เมื่อคิดได้ดังนั้น เฟเรียจึงรอเวลาที่ท่านพ่อท่านแม่เข้าไปพักผ่อนในห้อง และตนจะได้เข้าไปคุยกับเฟยา
                เฟเรียถือวิสาสะเปิดประตูเข้าห้องเฟยา แต่สิ่งที่นางเห็นกลับเป็นเฟยาในชุดเสื้อคลุมสีเข้มกำลังกระโจนออกนอกหน้าต่าง นางตั้งใจรีบคว้าตัวเฟยาไว้ แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้นางชะงักไป หากจะส่งเสียงเรียก ก็เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นแตกตื่นและเกิดเรื่องราวใหญ่โต แล้วจู่ ๆ ความคิดที่ว่าเฟยาอาจจะคิดสั้นก็แวบเข้ามาในหัว ทำให้เฟเรียรีบกลับเข้าห้องตนเองแล้วสวมเสื้อคลุมมิดชิดก่อนจะตามเฟยาออกไปทางหน้าต่าง
                เมื่อครั้นกระโจนออกไปทางหน้าต่าง เฟเรียก็รู้สึกแปลกใจนัก การกระโจนลงมาจากชั้น 2 นั้นแม้แต่นางเองยังต้องใช้เวทย์ช่วยประคองตนให้ลงมาอย่างปลอดภัย เพราะตนนั้นยังไม่สามารถเหาะได้อย่างจอมเวทย์คนอื่น ๆ แต่สำหรับเฟยาทำไมมันช่างดูง่ายตายเสียเหลือเกิน
                ข้อกังขานั้นเป็นอันต้องพับเก็บไว้ก่อน เพราะเฟเรียกำลังรีบรุดตามเฟยาปกป้องไม่ให้นางคิดสั้น แต่ก็เป็นอีกครั้งที่นางต้องชะงัก เบื้องหน้าคือป่าต้องห้ามที่ไม่ว่าใครที่เข้าไปต้องถูกลงโทษถึงชีวิต ...หรือเฟยาจะคิดสั้นจริง ๆ
                ด้วยความเป็นห่วงเฟยา ทำให้เฟเรียตัดสินใจตามเข้าไปในป่าต้องห้าม แต่ป่าแห่งนี้มืดมิดเสียจริง แม้แต่แสงจันทร์ยังไม่สามารถลอดผ่านมาได้ นางจึงสร้างดวงไฟเล็ก ๆ ขึ้นมาคอยส่องนำทาง เมื่อมีแสงสว่างนางจึงได้เห็นป่าต้องห้ามชัด ๆ ในคราวนี้
ป่าต้องห้ามแห่งนี้ดูไปก็เหมือนป่าทั่วไป เพียงแต่มีต้นไม้แต่ละต้นสูงชะลูดและแผ่กิ่งก้านปกคลุมจนมิดท้องฟ้า ทำให้ดูน่ากลัวโดยเฉพาะยามราตรีเช่นนี้
“เฟยาเจ้าอยู่ไหนกันนะ” เฟเรียรำพึง นางคลาดกับเฟยาทันทีเมื่อเข้ามาในป่าต้องห้าม ในใจก็กังวลว่าหากตามหาเฟยาไม่พบ เฟยาอาจจะเป็นอันตรายก็ได้ แต่นางเองก็ไม่กล้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะกลัวจะหลงป่า “แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ เฟยาเจ้าอยู่ทีไหนกันนะ”
ในเวลาเดียวกันนั้น เฟเรียพลันเหลือบไปเห็นแสงสว่างอยู่ลิบ ๆ นางเดินเข้าไปดูอย่างใคร่สนใจ ต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบที่อยู่เบื้องหน้าส่องแสงระยิบระยับงดงาม แล้วยิ่งเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่ามีจุดแสงเล็ก ๆ เหมือนมีดวงดาวนับร้อยโอบล้อม ต้นไม้ทำให้ดูเหมือนว่ามันกำลังส่องแสง
ไม่เพียงแค่ต้นไม้เท่านั้นที่ทำให้นางประหลาดใจ บุรุษเบื้องต้นที่กำลังยืนหันหลังให้นางทำให้นางใคร่รู้นักว่าเป็นใคร แต่เมื่อเขาค่อย ๆ หันกลับมา ความสงสัยที่มีอยู่มากมายกลับกลายเป็นความปิติ หัวใจเต้นระรัวไม่หยุดเมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นใกล้ ๆ
“เดวาของข้า” เสียงทุ้มน่าฟังกำลังเรียกหานาง เอื้อมมืองดงามยื่นตรงมาพร้อมกับรอยยิ้มที่นางไม่สามารถปฏิเสธได้
เฟเรียเดินเข้าไปหาดั่งต้องมนต์ ความหวานล้ำในหัวใจที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ปราศจากความคลางแคลงใจใด ๆ คำถามมากมายที่น่าผุดขึ้นมา กลับถูกกดทับไว้ด้วยความรัก ...รักแรกพบกับบุรุษปริศนาที่นางคำนึงถึงอยู่ทุกยาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น