หน้าเว็บ

บทที่ 7 : คนที่เฝ้ารอ


                เฟยาแอบหนีออกมาข้างนอกหลังจากแน่ใจว่าค่ำพอที่จะไม่มีใครมากวนนางที่ห้อง และค่ำพอที่เวรยามรอบ ๆ บ้านของท่านป้าไม่แน่นหนาเช่นตอนกลางวัน
                นางรีบย่ำเท้าฝ่าหิมะหนาไปทางตลาดนัดที่นางไปมาเมื่อกลางวัน นางติดใจขนหมีผืนใหญ่สีดำปลอดผืนนั้น แต่เมื่อกลางวันนางไม่สะดวกจะซื้อกลับมาด้วย แต่คนขายขนสัตว์ได้บอกนางไว้ก่อนแล้วว่าเขาขายถึงเมื่อไหร่ และก็เป็นโชคดีของนางที่เขาจะขายหนังสัตว์พวกนั้นจนถึงดึก แต่พรุ่งนี้เขาจะเดินทางออกนอกเซาท์การ์ดแล้วทำให้นางมีเวลาแค่ภายในวันนี้เท่านั้น
                แต่พอเฟยาไปถึง แผงที่ตั้งขายขนสัตว์กลับว่างเปล่า มีเพียงร้านรวงไม่กี่ร้านที่ยังตั้งอยู่ แค่กวาดตามองแค่รอบเดียวเท่านั้นก็สามารถบอกได้ว่ายังมีร้านค้าตั้งขายของอยู่กี่ร้าน
                "ท่านป้า คนขายหนังสัตว์เขากลับไปนานแล้วหรือ" เฟยาตัดสินใจเดินไปถามคนขายซุปปลาที่มีแผงตั้งอยู่ใกล้กับแผงขายขนสัตว์ที่สุด
                "อ๋อ เจ้านั่นน่ะเหรอ กลับไปได้ไม่นานนี้เอง เห็นมันพูดว่าต้องรีบไปมิดการ์ด เจ้ามีอะไรหรือเปล่าจะซื้อหนังสัตว์หรือ"
                "ใช่แล้วท่านป้า ข้าอยากได้ขนสัตว์ผืนใหญ่ที่เขาขายอยู่ แต่ข้าคงมาช้าเกินไป" แววตาของเฟยาดูเศร้าสร้อย แต่ผมที่ปรกหน้ากลับซ่อนสีหน้าและแววตาจากคนอื่น ๆ ไว้หมด มีเพียงน้ำเสียงที่ใครฟังแล้วก็รู้ว่านางกำลังรู้สึกเสียดาย
                "ถ้าเจ้าอยากได้ขนาดนั้นก็ลองไปดูที่โรงน้ำชาทางทิศใต้สิ มีอยู่ที่เดียวเท่านั้นหาไม่ยากหรอก พวกขาจรส่วนใหญ่จะพักที่นั่นกันทั้งนั้น ถ้าเจ้ารีบไปตอนนี้อาจจะยังทันก็ได้"
                ประโยคแห่งความกรุณาของเจ้าของร้านขายซุปปลาทำให้เฟยาดีใจ นางรีบกล่าวขอบคุณแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ตามคำบอกในทันที แต่จนแล้วนางก็ไปไม่ทันอยู่ดี พอนางไปถึงโรงน้ำชา ถามหาคนขายหนังสัตว์ นางถึงได้รู้ว่าเขาออกเดินทางไปแล้ว และป่านนี้เรือเทียบท่าไปมิดการ์ดก็คงออกจากฝั่งแล้ว
                ขนหมีสีดำผืนใหญ่ที่นางตั้งใจจะซื้อไปฝากอาจารย์ต้องหลุดลอยไปเพราะความขี้กังวลเกินเหตุของนางแท้ ๆ เชียว ด้วยความที่ขนหมีผืนนั้นราคาค่างวดไม่ใช่ถูก ๆ และก็นางไม่อยากให้ใครรู้ว่าซื้อ จึงทำให้นางต้องแอบออกมาซื้อคนเดียวในตอนกลางคืน เพราะนางไม่สามารถตอบคนที่บ้านได้ว่าขนหมีราคาแพงนั้นนางเอาไปให้ใคร หรือนางเอาไปไว้ที่ไหน หากวันหนึ่งมันไม่ได้อยู่ที่นาง
                แต่ตอนนี้นางก็ไม่มีโอกาสกังวลเรื่องนั้นอีกต่อไป เพราะขนหมีผืนนั้นถ้าไม่ถูกคนอื่นซื้อไปเสียก่อน ตอนนี้มันก็คงกำลังเดินทางไปมิดการ์ดแล้ว
                เฟยาเดินคอตกกลับบ้านท่านป้า เสียดายขนหมีผืนนั้นที่สุด เหมือนบรรยากาศจะเป็นใจ อากาศที่หนาวอยู่แล้วกลับมีลมพัดหวีดหวิวทำเอาตัวนางสั่นหนาวยิ่งกว่าเดิม แต่ระหว่างทางที่นางเดินกลับอยู่นั้น นางกลับพบว่ามีคนกำลังหนาวสั่นยิ่งกว่านางเดินนำหน้านางอยู่
                ร่างที่เห็นจากด้านหลัง ดูเหมือนจะเป็นร่างของหญิงชรา เพราะดูตัวผอมเล็ก และหลังโก่งไม่เหยียดตรง เวลาเดินจะสั่นอยู่ตลอดเวลา เฟยาเดินตามหลังอย่างระมัดระวังคอยดูท่าที แต่พอเห็นว่าหญิงชราที่อยู่ด้านหน้ากำลังล้มคะมำ เฟยาจึงรีบปรี่เข้าไปประคอง ทำให้เห็นใบหน้าของหญิงชราชัด ๆ
                ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา มีเกล็ดหิมะจับอยู่ตรงแนวคิ้วทั้งสองข้าง ปากสั่นเป็นสีม่วงคล้ำ ผิวกายเย็นชืดแทบไม่มีความอบอุ่น
                เฟยาเห็นท่าไม่ดี รีบถอดเสื้อคลุมหนาของตนออกแล้วห่อร่างเล็กนั้นไว้
                "ท่านยาย ท่านไหวไหม" เฟยาถามด้วยความเป็นห่วง และก็ได้คำตอบกลับมาเป็นการพยักช้า ๆ
                เฟยาประคองหญิงชราไปนั่งพักใต้ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ จากนั้นก็สร้างลูกไฟขนาดเท่าลูกแตงโมขึ้นมาสองลูก ให้ความอบอุ่นแก่พวกนางท่ามกลางความหนาวเหน็บ
                ลูกไฟนั้นแม้ไม่ร้อนแรงแต่ก็ให้ความอบอุ่นได้ จนหญิงชราที่นั่งหนาวสั่นในตอนแรกสงบลงได้ หยุดสั่นและสามารถพูดคุยกับเฟยาได้เป็นปกติ
                "ท่านยาย เหตุใดท่านถึงมาเดินคนเดียวอยู่แถวนี้ มิหนำซ้ำอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ท่านยังไม่มีเสื้อคลุมอีก"
                "ข้ามาเดินเล่นแม่หนู"
                "เดินเล่น?" เฟยาตะโกน "ท่านบอกข้าว่าท่านออกมาเดินเล่นเท่านั้นหรอกรึ แล้วการออกมาเดินเล่นของท่านนี่ ไม่ต้องสวมเสื้อคลุมกันหนาวหรือไรท่านยาย"
                หญิงชรามองหน้าเฟยาอย่างตะลึงงัน นางมีชีวิตอยู่มานาน เจอผู้คนมากมายแต่ก็ไม่เคยมีใครแสดงท่าทางเช่นนี้กับนางมาก่อน หญิงสาวผู้นี้พูดเสียงดังเหมือนไม่ให้ความเคารพนางสักนิด อย่างน้อยก็น่าจะเคารพในความอาวุโสของนาง
                "ข้าถูกปล้น" หญิงชราพูดเสียงแข็ง นอกจากจะไม่สบอารมณ์หญิงสาวนางนี้แล้ว ตนยังไม่ค่อยอยากจะนึกถึงช่วงเวลาที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตนี้กับตน
                "แล้วท่านยายบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า" เฟยารีบปราบเข้าดูว่าร่างกายของหญิงชราผู้นี้มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำตรงไหนบ้าง
                "ข้าไม่บาดเจ็บอะไรหรอก เป็นห่วงก็แต่ตอนนี้ทางบ้านข้าคงวิ่งวุ่นตามหาตัวข้ากันใหญ่ เมื่อรู้ว่าจนป่านนี้ข้ายังไม่กลับ"
                "เช่นนั้นข้าไปส่งท่านยายที่บ้านก็แล้วกัน"
                เฟยาดับลูกไฟที่สร้างขึ้นมา แล้วให้หญิงชราขึ้นขี่หลัง เมื่อดวงไฟหายไปความอบอุ่นก็ถูกแทนที่ด้วยความหนาวเย็น หญิงชราแม้จะมีเสื้อคลุมหนาของเฟยาแต่ก็ยังรู้สึกเย็น จนต้องถามเฟยาว่าเหตุใดถึงต้องดับดวงไฟที่ให้ความอบอุ่นเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นไป
                "มันไม่จำเป็น" ด้วยนิสัยและขีดจำกัดหลาย ๆ อย่างของนาง ทำให้เฟยาไม่ค่อยใช้เวทย์หากไม่จำเป็น ยิ่งใช้เวทย์ต่อหน้าผู้อื่นที่ไม่ใช่อาจารย์ด้วยแล้ว นางยิ่งไม่อยากใช้
                เฟยาส่งหญิงชรากลับโดยการเดินเร็ว ๆ แทนการวิ่งซึ่งจะทำให้คนที่อยู่บนหลังนางโยกคลอน และยิ่งนางเดินไกลเท่าใดร่างกายของนางก็ยิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นจากภายในมากยิ่งขึ้น แม้ไม่มีเสื้อคลุมไว้ห่มกันความเย็นนางก็ยังพอทนได้
                "ที่นี่แหละ" หญิงชราบอกให้เฟยาหยุดเดินเมื่อมาถึงประตูไม้บานใหญ่ ทางเข้าของรั้วอาณาเขตที่กินอาณาบริเวณที่กว้างขวาง
ก่อนจะเดินมาที่นี่ได้ นางเดินเลียบรั้วยาวจนนางนึกสงสัยว่าบ้านหลังนี้จะมีอาณาเขตกว้างขวางสักเพียงไร แล้วจะสิ้นสุดอยู่ตรงไหน แต่นึกว่าไม่ถึงว่าท่านยายที่อยู่บนหลังนางจะอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย
                "ท่านยาย ท่านแน่ใจนะว่าท่านอาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ" นางทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้
                "เจ้าปล่อยข้าลงได้แล้ว" หญิงชราไม่ตอบเพียงแค่บอกให้เฟยาปล่อยนางลงจากหลัง พอเท้าแตะพื้นร่างกายที่เมื่อยขบมาพักใหญ่ก็บิดไปมาไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะเดินไปเคาะห่วงหน้าประตูไม้จนเกิดเสียงดัง ก๊อก...ก๊อก
                เพียงไม่นานประตูบานใหญ่ก็เปิดออก ทันทีที่เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นใคร ชายที่มาเปิดประตูให้ถึงกับทำตาโต แล้วหันไปตะโกนให้คนในบ้านได้ยินกันถ้วนทั่วว่า
                "แม่เฒ่ากลับมาแล้ว! แม่เฒ่ากลับมาแล้ว!"
                ไม่นานนักคนมากมายก็มาออกันอยู่เต็มด้านหน้า แล้วชายผมสีดอกเลาผู้หนึ่งก็แหวกหมู่คนนับสิบออกมาด้านหน้าเชิญผู้ถูกเรียกว่าแม่เฒ่าเข้าไปในบ้าน โดยคนทั้งหลายที่มายืนออกันอยู่ก่อนหน้าต่างหลบทางอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับก้มคำนับเมื่อพวกเขาเดินผ่าน
                เฟยาเดิมตามพวกเขาเข้าไปในบ้านด้วย สายตาเหลือบมองท่าทางก้มคำนับของคนเหล่านั้นก็ให้นึกแปลกใจ ท่านยายผู้นี้เป็นใครกัน อาศัยอยู่เขตบ้านอันกว้างขวางนี้ในฐานะอะไร ทำไมคนพวกนี้ถึงได้ให้ความเคารพและเกรงขามขนาดนี้ และยังถูกเรียกว่า 'แม่เฒ่า' อีกต่างหาก
                ท่านยายผู้ถูกเรียกว่า 'แม่เฒ่า' เดินเข้าไปในบ้านโดยมีชายผมสีดอกเลายืนประคองอยู่ข้าง ๆ เฟยาที่เดินตามหลังไม่ห่างกลับถูกมือหนึ่งรั้งไว้ไม่ให้นางเข้าไปข้างในพร้อมกัน
                "แม่นาง เชิญทางนี้เถิด" ชายวัยกลางคนหน้าตาเกลี้ยงเกลารั้งแขนเสื้อของเฟยาไว้
                แม้วาจาจะดูสุภาพแต่การรั้งแขนเสื้อของนางไว้ ก็เป็นการบอกอยู่ในทีว่าไม่ต้องการให้นางตามเข้าไป เฟยามองตามด้านหลังของหญิงชราที่เดินหายเข้าไปข้างในที มองคนที่รั้งแขนเสื้อของนางไว้ทีก็ตัดสินใจไม่เดินตามเข้าไปข้างใน เพราะคนที่เดินหายเข้าไปไม่แม้แต่จะหันหลังมองนางสักนิดเดียว

                "ท่านแม่เฒ่า มีคนผู้หนึ่งมารอพบท่านอยู่นานแล้ว" หัวหน้าพ่อบ้านซึ่งทำหน้าที่มาหลายปีบอกแก่ประมุขของบ้าน แต่ยังไม่ทันจะบอกว่าใคร ชายหนุ่มในชุดสีเขียวสะดุดตาได้เดินเข้ามาเสียก่อน
                ชายหนุ่มดวงหน้าคมคาย ดวงตาสีเหลืองอ่อนดั่งสีทอง คิ้วเข้มเฉียง ปากหยักได้รูป ผมยาวสีน้ำตาลแดงผูกเปียไว้อย่างลวก ๆ มีเชือกหยาบ ๆ มัดไว้ที่ปลายผม ใบหูข้างหนึ่งถูกเจาะและใส่ต่างหูเป็นห่วงเล็ก ๆ ถึง 3 ห่วง แลดูดิบเถื่อนภายนอกราวกับอันธพาล ทว่าท่วงท่ากลับสง่างามและน่าเกรงขาม
                "อิมมา ท่านหายไปไหนมา" ชายหนุ่มถามอย่างเป็นกังวล เขามาหาอิมมาถึงเซาท์การ์ด แต่เมื่อมาถึงกลับพบว่าหญิงชราได้หายออกไปจากบ้าน และไม่ใครรู้เห็นว่านางหายไปไหน
                "องค์รายา" หญิงชรานามว่าอิมมารีบลุกจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงเคารพผู้สูงศักดิ์ แต่กลับถูกวงแขนแกร่งพยุงไว้ไม่ให้นางต้องย่อกายไปมากกว่านี้ "พอเถอะอิมมา เราบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าสำหรับท่านไม่ต้องทำความเคารพเราก็ได้ แล้วนี่ท่านหายไปไหนมา หากนานกว่านี้แล้วยังหาตัวท่านไม่นาน เราคงออกไปตามหาท่านเองแล้ว"
                "ขออภัยองค์รายาที่ทำให้ท่านเป็นห่วง  ข้าน้อยแค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้น" นางละเว้นเรื่องถูกปล้นไว้เพราะกลัวบุคคลตรงหน้าจะเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม
                อิมมาเปรียบเสมือนแม่นมให้องค์รายาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่คีลถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดตั้งแต่เด็ก เขาก็ได้อิมมาผู้นี้ดูแลมาตลอด  นับได้ว่าหญิงที่ใกล้ชิดและรู้ใจเขาที่สุดก็คือหญิงชราผู้นี้
                จวบจนเขาขึ้นเป็นองค์รายา และอิมมาก็ชราภาพมาก นางจึงได้ขอกลับมาอยู่บ้านเกิดที่เซาท์การ์ดเป็นการถาวร
                "จะไม่ให้เราห่วงอิมมาได้อย่างไร ในเมื่อท่านมีความสำคัญต่อเราถึงเพียงนี้ แล้วนี่...เสื้อคลุมของอิมมารึ" คีลสังเกตเห็นเสื้อคลุมสีเข้มแล้วนึกสงสัย เพราะเสื้อคลุมที่อิมมาสวมใส่อยู่นี้ เป็นแบบที่เด็กสาวนิยมใส่กันเสียมากว่า และตัวเสื้อก็ใหญ่โคร่งกว่าตัวของหญิงชราอย่างเห็นได้ชัด
                หญิงชรามองดูเสื้อคลุมที่ตนสวมใส่แล้วหันไปหาหัวหน้าพ่อบ้าน ถามถึงหญิงสาวที่มากับนาง
                "เรียนแม่เฒ่า ตอนนี้รองพ่อบ้านได้พานางไปตกรางวัลขอรับ" หัวหน้าพ่อบ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง
                "พาข้าไปพบนางที ข้าอยากขอบคุณนางด้วยตัวข้าเอง"
                หัวหน้าพ่อบ้านเดินนำประมุขของบ้านไปที่เรือนรับรองเล็ก โดยมีคีลประคองหญิงชราไม่ห่าง
                "เห็นทีข้าคงต้องขอบคุณหญิงสาวที่พาท่านมาส่งอย่างปลอดภัยด้วย" คีลพูดกับหญิงชรา ถึงอิมมาจะบอกแค่ว่าออกไปเดินเล่น แต่ด้วยนิสัยของอิมมาที่เจ้าระเบียบรอบคอบ ย่อมไม่มีทางลืมสวมเสื้อคลุมจนต้องพึ่งพาเสื้อคลุมของผู้อื่นเช่นนี้ แล้วยิ่งอากาศหนาวในเซาท์การ์ดด้วยแล้ว ใครกันที่จะออกไปเผชิญความหนาวโดยลืมเสื้อคลุม นี่แสดงว่าอิมมาต้องประสบกับเรื่องร้ายแรงเข้า
               
                "แม่นาง ที่คือสินน้ำใจสำหรับที่ท่านช่วยพาแม่เฒ่ากลับมา" รองพ่อบ้านยื่นถุงเงินให้เฟยา นางรับมาแล้วเปิดดูข้างในก็พบเหรียญทองหลายเหรียญ คำนวณดูแล้วเงินในถุงนี้นางสามารถนำไปซื้อเหล้าให้อาจารย์ได้ทั้งปี และซื้อขนหมีผืนใหญ่ให้อาจารย์ได้หลายสิบผืน แต่สิ่งที่นางต้องการตอนนี้ไม่ใช่เหรียญทองพวกนี้
                "ข้าอยากพบท่านยายก่อน" เฟยาแจ้งประสงค์ออกไป แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างนิ่มนวล
                "ขออภัยที่ไม่สามารถให้ท่านพบกับแม่เฒ่าในเวลานี้ได้ แม่เฒ่าชรามากแล้วป่านนี้คงกำลังพักผ่อน ข้าไม่สามารถให้ท่านไปรบกวนแม่เฒ่าได้"
                "แต่ข้าต้องพบท่านยายก่อน ข้าต้องการ..."
                "เกรงว่าเราจะสามารถให้ท่านได้เพียงสินน้ำใจในถุงนั้นเท่านั้น ข้าขอบคุณที่ท่านมาส่งแม่เฒ่าถึงที่นี่ ตอนนี้ดึกมากแล้วข้าจะเดินไปส่งท่านที่ประตู"
                เฟยายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อนางกลับถูกดุนหลัง และถูกแทรกแซงจังหวะพูดตลอดจนนางพ้นจากเขตรั้วของบ้าน
                "นี่" เฟยาตะโกน แต่ประตูที่ปิดสนิทนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดต้อนรับนางอีกครั้ง นางมองดูถุงเงินในมือตนเองแล้วให้นึกโมโห
                นางแค่ต้องการเสื้อคลุมของนางคืนเท่านั้น อากาศเย็นออกขนาดนี้พวกเขาไม่คิดจะคืนเสื้อคลุมให้นางบ้างเลยรึไร
                ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ

                เมื่อเห็นรองพ่อบ้านเดินมาทางเรือนรับรองเล็กหญิงชราก็รีบถามถึงหญิงสาวที่มาส่งนาง
                "เรียนแม่เฒ่า ข้าได้ตกรางวัลให้นางเป็นเหรียญทองหนึ่งถุง และเพิ่งเดินไปส่งนางที่ประตูมาเมื่อสักครู่" คำตอบที่ได้รับกลับทำให้หญิงชราเดือดดาลยิ่งนัก
                "นอกจากเหรียญทองหนึ่งถุง เจ้าได้ให้อะไรนางอีกหรือเปล่า" เสียงของหญิงชราเข้มขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่านางกำลังอารมณ์ไม่ดี
                รองพ่อบ้านจับน้ำเสียงของหญิงชราได้ ก็เริ่มลนลานพูดจาละล่ำละลัก "ข้าให้นางเพียงเหรีญทองหนึ่งถุงขอรับ" รองพ่อบ้านก้มมองเท้าของตัวเองไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับอารมณ์ของแม่เฒ่า
                "หลังจากนั้นเจ้าก็ไล่นางกลับ ใช่ไหม"
                "ข ข้า"
                "ตอบมา" หญิงชราตวาดจนรองพ่อบ้านตัวสั่นไปหมด
                "ข ข้าให้นางกลับทันทีขอรับแม่เฒ่า" น้ำเสียงสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าที่ก้มไม่กล้าเงยแทบจะมีน้ำตาปริ่มออกมา ทำไมแม่เฒ่าต้องอารมณ์เสียเช่นนี้ด้วย เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ในเมื่อปกติเขาก็ทำเช่นนี้ทุกครั้ง แล้วครั้งนี้เขาทำอะไรผิดไป
                "เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าบนตัวนางไม่มีเสื้อคลุมกันหนาว" เมื่อได้ยินคำพูดของแม่เฒ่า รองพ่อบ้านก็ถึงกลับเข่าทรุดลงเบื้องหน้าประมุขของบ้าน รู้ทันทีว่าตนทำสิ่งใดให้แม่เฒ่าโกรธ
                ภายในรั้วอาณาเขตกว้างขวางซึ่งเป็นที่พำนักของแม่เฒ่า ได้มีการใช้เวทย์ครอบคลุมอาณาบริเวณให้อบอุ่นอยู่เสมอ ทำให้ทุกคนที่อยูในเขตรั้วไม่จำเป็นต้องห่มคลุมกันหนาวใด ๆ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาลืมเลือนไปว่าหญิงสาวผู้นั้นต้องออกไปเผชิญความหนาวเย็นโดยไร้เสื้อคลุมใด ๆ
                เป็นเพราะความเลินเล่อของเขาแท้ ๆ เชียว เป็นความผิดของเขาเต็ม ๆ
                "ระหว่างทางนางเสียสละเสื้อคลุมให้ข้า นอกจากข้าจะไม่ได้ขอบคุณนางและคืนของให้นางด้วยตัวข้าเอง เจ้ายังทำให้ข้ากลายเป็นคนไม่รู้จักคุณคนอีกรึ"
                "ข้าผิดไปแล้วแม่เฒ่า"
                "ยังไม่รีบไปตามนางกลับมาอีกรึ" หญิงชราตวาดเป็นผลให้รองพ่อบ้านรีบหุนหันออกไปอย่างลนลาน ทว่าเขากลับถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน
                "เจ้าไม่ต้องไปหรอก" คีลพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าดูอ่อนโยน จนทำให้รองพ่อบ้านหายจากอาการลนลานไปได้บ้าง "เอาอย่างนี้ดีไหมอิมมา ข้าจะเป็นคนคืนเสื้อคลุมนี้ให้แก่นางเอง แล้วจะบอกนางด้วยว่าท่านซาบซึ้งใจที่นางช่วยท่านไว้"
                "อย่าเลยองค์รายา" หญิงชราห้ามไว้ เรื่องส่วนตัวของนางไม่อาจเอื้อมให้องค์รายาผู้มีฐานะสูงส่งช่วยเหลือด้วยตนเอง
                "เถอะน่าอิมมา หญิงผู้นั้นเป็นคนช่วยท่านซึ่งเป็นคนสำคัญของข้าไว้ ก็เท่ากับช่วยข้าไว้เช่นกัน ข้าเองก็อยากขอบคุณนาง"
                "แต่องค์..."
                "ดึกแล้ว ท่านต้องพักผ่อนนะอิมมา หรือท่านจะขัดใจข้า"
                เมื่อเห็นว่าหญิงชราไม่พูดอะไร คีลก็ยิ้มออกมาแล้วรับเสื้อคลุมจากมืออิมมา พร้อมกับพูดให้นางวางใจว่าเขาจะคืนเสื้อคลุมผืนนี้ให้แก่หญิงสาวผู้นั้นให้ถึงมือ
                หลังจากฟังรูปพรรณสัณฐานของหญิงสาวกับรองพ่อบ้านแล้ว คีลก็ออกไปตามหาเจ้าของเสื้อคลุม เขาเดินไปเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น เพราะไม่รู้ว่าจะไปตามหาหญิงสาวผู้นั้นที่ไหน แต่ทันใดนั้นมุมปากเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ
                ไม่นึกว่าจะเจอเร็วขนาดนี้
                รูปพรรณสัณฐานที่ฟังมาไม่สามารถช่วยเขาตามหาเจ้าของคลุมได้มากนัก หญิงสาวผมสีเข้มสวมชุดสีน้ำเงินเข้มส่วนใบหน้านั้น ถูกผมด้านหน้าปิดบังเสียหลายส่วนจนไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร
                แต่หญิงสาวที่กำลังเดินนำหน้าเขาอยู่ตอนนี้กลับทำให้เขามั่นใจว่าต้องใช่นางแน่ เพราะใครไหนเลยจะบ้าขนาดมาเดินย่ำหิมะโดยปราศจากเสื้อคลุมห่มกายในเซาท์การ์ด
                คีลเดินเข้าไปใกล้นางเรื่อย ๆ เขาเอื้อมมือไปด้านหน้าหมายจะสะกิดนาง แต่คาดไม่ถึงจู่ ๆ นางก็ทะยานขึ้น เหินร่างขึ้นไปราวกับสายลม
                อีกเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น อีกคืบเดียวเขาก็สามารถถึงตัวนางได้แล้วแท้ ๆ แต่กลับปล่อยให้นางจากไปต่อหน้าต่อตา เรื่องเล็กน้อยแต่กลับทำให้เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างบอกไม่ถูก คีลตัดสินใจเหาะตามนางไปหมายมาดว่าจะต้องจับตัวนางให้ได้

                อากาศหนาวเย็นเป็นอะไรที่เฟยาไม่เคยชินเอาเสียเลย ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านท่านป้าอย่างอารมณ์เสียนางคิดได้แค่ว่านางต้องฝ่าความหนาวจนถึงบ้าน จะให้นางวิ่งกลับนางก็ไม่รู้ทิศทางเพราะตั้งแต่ไปส่งท่านยายผู้นั้น นางก็จำทางกลับบ้านสับสนไปหมด เหลือก็แค่เหาะขึ้นที่สูงเท่านั้นนางถึงจะรู้ว่านางควรไปทิศทางใด แต่ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบ่อน้ำร้อนที่ท่านป้าพาไปเมื่อตอนเย็น
                ไม่คิดให้มากความนางรีบเหาะขึ้นไปทันที ไม่ต้องอาศัยรุคไม่ต้องอาศัยแผนที่ นางก็สามารถรู้ได้ว่าควรไปทางไหน เพราะยอดเขาจุดหมายปลายทางนั้น มีเพียงที่เดียวที่มีหมอกบาง ๆ ปกคลุม
                เมื่อถึงยอดเขาซึ่งเต็มไปด้วยดอกบ๊วยสีขาว นางก็รีบตรงไปที่บ่อน้ำร้อน ระหว่างทางก็เก็บกิ่งดอกบ๊วยกิ่งเล็กซึ่งตกอยู่กับพื้นขึ้นมา แล้วมวยผมขึ้นใช้กิ่งดอกบ๊วยเสียบผมแทนปิ่น

                คีลเดินตามเสียงน้ำจนได้พบบ่อน้ำร้อนซึ่งอยู่ท่ามกลางดงดอกบ๊วย ไอน้ำบาง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกบ๊วย แสงจันทร์กระจ่างทำให้ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเขาก็ดูน่าหลงใหลจนยากจะเบือนสายตาหนีไปทางอื่นได้
                ภาพหญิงสาวเอนกายพิงขอบบ่อ ผมเกล้ามวยไว้สูงมีกิ่งดอกบ๊วยเสียบไว้ ปลายกิ่งมีดอกบ๊วยสีขาวเล็ก ๆ ติดอยู่ดูสวยงาม ไรผมระต้นคอระหงดูเย้ายวน
                "อา สบายดีจัง"
                เสียงครางเบา ๆ ในลำคอฟังดูพึงพอใจ ศีรษะเอนไปด้านหลังเล็กน้อยอย่างผ่อนคลายเนินไหล่นวนเนียนโผล่พ้นผิวน้ำไม่มากมายดูปกปิดแต่ก็น่าค้นหา ยิ่งหญิงสาวแทบไม่ไหวกายเขาก็ยิ่งอยากเห็นนางขยับ ยิ่งนางหันหลังให้เขาก็ยิ่งอยากเห็นใบหน้านาง
                คีลมองดูกองเสื้อผ้าที่นางถอดทิ้งไว้ข้างบ่อน้ำร้อนก็ยิ้มออกมา อยากรู้นักว่าถ้านางหันมาแล้วเจอเขานางจะมีสีหน้าอย่างไร ทว่า...
                เขายืนมองนางอยู่นานแล้ว แต่นางก็แทบไม่ขยับกาย แล้วยิ่งเวลาผ่านไปนานก็เหมือนว่าระดับศีรษะของนางจะต่ำลงเรื่อย ๆ
                "แย่ล่ะสิ" คีลรีบเดินเข้าไปใกล้ เอื้อมมือสัมผัสต้นคอระหงที่พิงอยู่ขอบบ่อ ทว่า...นางก็ยังคงนิ่งเฉย
                ไม่รอช้าเขารีบคว้านางขึ้นมาจากบ่อแล้วหยิบเอาเสื้อผ้าที่นางถอดไว้มาคลุมกายนาง ...แต่เขาก็เปลี่ยนใจสลัดผ้าพวกนั้นทิ้งแล้วใช้เสื้อคลุมของนางที่อยู่ในมือเขาคลุมตัวนางไว้แทน แล้วถอดเสื้อคลุมของตนห่มนางทับอีกชั้น
                "ปล่อย" ร่างบอบบางดิ้นขลุกขลักเล็กน้อยในอ้อมแขนของเขา น้ำเสียงแหบพร่าเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง ดวงตาคมค่อย ๆ ปรือตามอง  เขาถึงได้ประจักษ์ในตอนนี้เองว่านางช่างเป็นหญิงที่งดงาม งามกว่าที่เขาจะคาดถึง งดงามกว่าหญิงใดที่เขาที่เจอ
                และเมื่อนางเอ่ยอีกครั้ง คำพูดของนางได้ทำคิ้วเขาขมวดเข้าหากัน ถ้าได้ยินไม่ผิดก่อนที่นางจะสลบไปเขาได้ยินนางพูดว่า
                "คีล"


เฟยาฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองนอนอยู่บนที่นอนหยาบ ๆ ในห้องที่ไม่รู้จัก แต่คำแรกที่นางพูดออกมากลับเป็น
                “คีล” นางเรียกหาเขา นางคิดว่านางได้เจอคนที่นางเฝ้าคอยมาตลอด
                แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เฟยาถึงได้สติ รู้ว่าตนกำลังเปลือยเปล่าอยู่ให้ห้องที่ไม่คุ้นเคย นางกระชับผ้าห่มคลุมกายให้แนบชิดกับลำตัว แล้วมองหาเสื้อผ้าของตนในแสงสลัว

ในห้องมีแสงสว่างไม่มากนักนางจึงต้องใช้เวลากวาดสายตามองให้ทั่ว ๆ แต่ห้องเล็กเพียงแค่นี้ ข้าวของน้อยชิ้น นางกลับไม่เจอเสื้อผ้าของนางเลยสักนิดเดียว นางไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน รู้แต่เพียงว่านางต้องออกไปจากที่นี่
เฟยาเดินไปที่หน้าต่างโดยมีผ้าห่มพันตัวระเกระกะ มองออกไปข้างนอกก็เห็นแต่ความมืด และหิมะขาวโพลนเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าคือที่ไหน ยืนอยู่ข้างหน้าต่างไม่นาน นางก็ต้องล้มตัวลงบนที่นอนตามเดิม ร่างกายของนางล้าและอ่อนเพลียกว่าปกติ อาการเช่นนี้เกิดขึ้นกับนางไม่บ่อยนัก
นางกำลังไม่สบาย
เฟยาพยายามนึกว่าทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้ นางพยายามนึกเหตุการณ์ย้อนไปแต่กลับมีเสียงบุรุษผู้หนึ่งขัดจังหวะเสียก่อน
                “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่รึ”  เฟยาสะดุ้งจนต้องเหลียวหลัง
                ชายหนุ่มนั่งอยู่ในมุมมืดของห้อง ซึ่งเฟยาไม่อาจสังเกตเห็นได้ เมื่อเขาเห็นว่านางรู้สึกตัวดีแล้ว เขาจึงเดินออกมาจากเงามืด
                “เจ้า” เฟยามองบุรุษตรงหน้าไม่ให้คลาดสายตา นางระแวดระวังตัวไว้ให้มากที่สุด การที่นางมาอยู่ที่นี่ได้ เขาต้องมีส่วนอยู่มากแน่ ๆ
                ขณะที่นางกำลังนึกสงสัยในตัวชายผู้นี้ หัวใจของนางกลับเต้นระรัวอย่างน่าแปลกใจ
                “เจ้าสลบไป ข้าเลยพาเจ้ามาพักที่นี่” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ
                เฟยาพยายามนึกย้อนอีกครั้ง แต่สิ่งที่นางจำได้คือ สร้อยคริสตัล และดวงตาสีเหลืองอ่อน
                “คีล” นางเจอคีล
                เฟยาจ้องมองชายตรงหน้า ทว่าแสงสว่างอันน้อยนิดทำให้นางไม่สามารถเห็นสิ่งที่ต้องการได้ เฟยาขยับตัวเข้าใกล้เขาด้วยความอยากรู้ นางไม่สนใจว่าตนเองอยู่ในสภาพไหน จะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ ในตอนนี้นางเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น ว่าบุรุษผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางเป็นใคร
                เฟยายืนอยู่ตรงหน้าแทบจะแนบชิดกับชายหนุ่ม นางเห็นสายสร้อยคอสีดำซึ่งโผล่พ้นออกมาจากชายคอเสื้อ นางค่อย ๆ ดึงมันออกมา แล้วนางก็พบว่ามันเป็นสร้อยคอซึ่งมีจี้คริสตัลแท่งทรงแปดเหลี่ยม นางลองหมุนจี้ไปมา ก็พบว่าสีสันของคริสตัลที่สะท้อนแสงออกมามีสีต่าง ๆ กัน ...เช่นเดียวกับคริสตัลของคีล
นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นขณะที่หัวใจของนางเต้นระรัวหนักยิ่งกว่าเดิม นางจ้องเข้าไปนัยน์ตาของเขา แล้วนางก็พบว่า
                “คีล เจ้า...เจ้าคือคีล” นัยน์ตาของเขาเป็นสีเหลืองอ่อน
                คิ้วเข้มเฉียงขมวดมุ่น น้อยคนนักที่จะมีคนเรียกชื่อของเขาเช่นนี้ เกือบทุกคนจะเรียกเขาว่าองค์รายา แล้วหญิงนางนี้เป็นใคร ถึงได้เรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมนัก
                “ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้าเสียที” เฟยากำลังตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนเก่าที่จากกันไปนาน จนไม่ทันสังเกตว่าเสียงของตนนั้นแหบแห้งขึ้นแค่ไหน “ข้ารอเจ้ามานาน ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอเจ้าที่เซาท์การ์ดแห่งนี้” พูดจบเฟยาก็ทรุดทั้งยืนจนคีลต้องรีบประคองนาง
                เขารวบตัวนางให้แนบชิดกับตน ประคองนางให้ยังคงยืนได้อยู่ ทำให้ตอนนี้ทั้งสองมีเพียงผืนผ้ากั้นกลาง มือข้างหนึ่งของคีลโอบเอวเฟยาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งโอบกระชับไหล่ของนางไว้ ทำให้รู้ว่าอุณหภูมิร่างกายของนางสูงขึ้นกว่าปกติ
                “เจ้าไม่สบายรึ” คีลถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเขาอุ้มนางขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อน แล้วห่มตัวนางด้วยเสื้อคลุมหนา ไม่ได้เช็ดตัวนางให้แห้งเสียก่อน เขาพานางมาทั้ง ๆ ที่ตัวนาง
                แต่เฟยากลับหัวเราะชอบใจ นางลืมความเจ็บป่วยของร่างกาย เหลือไว้เพียงความดีใจเท่านั้น
                “ทุกครั้งที่ข้ารอเจ้า ข้ากลัวเหลือเกินว่าเจ้าจะลืมข้าไปแล้ว แล้วข้าจะไม่ได้เจอเจ้าอีก แต่วันนี้...ข้าได้เจอเจ้าแล้ว”
                “เราเคยรู้จักกันด้วยรึ” เสียงทุ้มเอ่ยเป็นครั้งแรก
                เฟยาชะงักไป “เจ้าลืมข้าแล้วรึ ข้า...เดวาไงล่ะ”
                “เดวา?” นางบอกเขาว่านางชื่อเดวางั้นรึ เดวา...เด็กหญิงน่ารักตัวน้อยนั่นรึ หญิงเพียงคนเดียวนอกจากอิมมาที่เขาเคยยอมสยบให้ “เจ้าบอกว่าเจ้าคือเดวาว่างั้นรึ เช่นนั้น...เจ้ามาจากที่ไหน บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน”
                “ข้ามาจากอีสการ์ด”
                “อีสการ์ด? อย่างนั้นรึ” เขาแค่รับรู้ว่านางมาจากอีสการ์ด แต่ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ให้รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรและไม่บอกว่าเขาใช่คนที่นางกำลังพูดถึงอยู่หรือไม่ “เจ้าพักผ่อนเถอะ เจ้ากำลังไม่สบาย”
                เขาค่อย ๆ จับนางให้เอนตัวลงบนที่นอน ให้นางได้พักผ่อน
                “ไม่ได้หรอกข้าต้องกลับบ้านก่อนจะมีใครรู้ว่าข้าแอบออกมา”
                “หืม?” คราวนี้เขาเลิกคิ้วขึ้น หญิงผู้นี้มีอะไรให้เขาประหลาดใจอยู่เรื่อย
                “เสื้อผ้าข้าเล่า เสื้อผ้าข้ามีไหน” เฟยาพยายามยันตัวขึ้น แต่กลับถูกมือหนากดนางให้นอนอยู่กับที่
                “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้ากำลังไม่สบาย ตอนนี้เจ้าไม่ควรลุกไปไหนทั้งนั้น”
                “แต่ข้าต้องกลับบ้าน” เฟยายังคงดื้อดึง
                “เหตุใดเจ้าไม่ฟังข้าบ้าง”
                “แล้วข้าเคยฟังเจ้าที่ไหนกัน” แต่ไหนแต่ไรมา ถึงนางจะเชื่อมั่นเขา เชื่อในตัวเขา แต่มีสักครั้งไหมที่นางทำตัวว่านอนสอนง่ายกับเขา
                เมื่อได้ยินเฟยาพูดเช่นนั้น คีลก็นิ่งไปชั่วครู่ เขาไม่คิดว่าหญิงตรงหน้าจะเป็นคนเดียวกับเด็กสาวจากอีสการ์ดคนนั้น แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มไม่แน่ใจขึ้นเรื่อย ๆ ...หากนางคือเดวาล่ะ
                “คีล...เจ้าลืมสัญญาของเราไปแล้วรึยัง” นางอยากแน่ใจว่าตลอดมานางไม่ได้รอคอยเขาเก้อ
                “สัญญา?”
                “เจ้าลืมไปแล้วหรือ” เฟยาเริ่มหน้าเสีย หรือจะมีเพียงนางฝ่ายเดียวที่คิดว่าสัญญานั้นเป็นจริงเป็นจัง
                “ข้าจะลืมได้อย่างไร ข้าไม่เคยลืมเลย”
                ได้ยินเขาพูดดังนั้น เฟยาก็ยิ้มออกมา “ข้ารอเจ้ามาตลอด ทุกปีในวันพระจันทร์สีเลือด ข้าไปรอเจ้าตลอดแต่เจ้าก็ไม่เคยมาเลย ข้านึกว่าเจ้าจะลืม...” น้ำเสียงแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ พูดไม่ทันจบเฟยาก็ผลอยหลับไปเสียก่อนเพราะพิษไข้
                “เจ้าคือเดวาจริง ๆ น่ะหรือ” นิ้วยาวค่อย ๆ  ไล้ใบหน้างามที่หลับไหลอย่างแผ่วเบา ไม่ต้องล่อถามความจริงจากนางให้เหนื่อย หญิงพูดนี้ก็ได้พูดเรื่องราวความลับระหว่างเขากับนางออกมาได้อย่างถูกต้อง
                นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้มาเจอนางที่เซาท์การ์ดแห่งนี้
                มุมปากหยักเหยียดขึ้นเล็กน้อยจนเกิดรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ยากนักใครจะได้เห็นแม้แต่คนใกล้ชิดเขา และน้อยนักที่ใครจะทำให้ชายหนุ่มสูงศักดิ์เผลอยิ้มอย่างลืมตัวออกมาเช่นนี้
               
                “เสื้อผ้าข้าล่ะคีล” เฟยาถามหาเสื้อผ้าของตนเมื่อนางตื่นขึ้นมา
                “...” เขาเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไร เมื่อนึกถึงเสื้อผ้าของนาง ...เขาไม่ได้นำมันมาด้วย
                “เสื้อผ้าข้าเล่า”
                “ข้าทิ้งมันไว้แถวบ่อน้ำร้อน ตอนแรกข้าก็กะจะเอาเสื้อผ้าของเจ้ามาด้วย แต่มันทั้งเหม็นทั้งชื้น”
                “เจ้า...” เฟยาเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก นางเอาผ้าห่มปิดหน้าปิดบังความอายของตนไว้
                เขาต้องเห็นขณะที่นางเปลือยอยู่แน่เลย ไม่...นางแน่ใจว่าเขาต้องเห็นนางเปลือย โธ่!
                “เดวา เจ้า...”
                “ข้าต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้ แล้วต้องกลับไปเอาเสื้อผ้าของข้าที่บ่อน้ำร้อนด้วย เจ้าหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ข้าได้ไหม ...ไม่ ๆ อะไรก็ได้ที่ข้าสวมใส่ได้ ข้าต้องการมันเดี๋ยวนี้ และข้าต้องกลับไปเดี๋ยวนี้”
                “แต่เจ้าไม่สบายอยู่นะ”
                “ข้าบอกแล้วว่าข้าต้องไป แล้วตอนนี้ข้าก็สบายดี” น้ำเสียงเด็ดขาด ทำให้คีลต้องยอมตามใจนาง
                “ได้ ๆ แล้วแต่เจ้าจะบัญชา ...แต่เจ้าสบายดีแล้วแน่รึ”
“ข้าสบายดีแล้ว” ไม่ว่านางจะป่วยหนักแค่ไหน ขอแค่ได้นอนพักนางก็สามารถหายเป็นปลิดทิ้งได้อย่างน่าอัศจรรย์ มีเพียงยามที่นางต้องทุกข์ทรมานเพราะตราสะกดบนแผ่นหลังเท่านั้น ที่ต้องใช้เวลาพักหลายวันนางถึงจะกลับมาแข็งแรงดังเดิม และสามารถใช้เวทย์ได้ดังเดิม
ทุกครั้งที่ตราสะกดบนแผ่นหลังของนางปรากฏ นางต้องทรมานราวกับมีดนับร้อยนับพันกรีดร่างกายนางเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น แล้วร่างกายของนางก็จะร้อนดั่งถูกไฟแผดเผา แต่หากเมื่อใดที่ใช้น้ำเข้ามาช่วยดับอุณหภูมิในร่างกาย แทนที่จะดีขึ้นมันกลับยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม นางจะรู้ปวดแสบปวดร้อนมากกว่าเดิมเสียอีก

คีลให้เสื้อผ้าของเขาแก่เฟยา แม้ว่านางจะใส่แล้วมันหลวมโพรกแต่นางก็ไม่สนใจสักนิด มีเพียงเสื้อคลุมที่เขายื่นให้นางเท่านั้น ที่นางจำได้ว่าเป็นเสื้อคลุมของนาง
“นี่มันเสื้อคลุมของข้านี่ ข้าจำได้ว่ามันอยู่ที่ท่านยายคนนั้น ...เจ้าไปเอามาได้อย่างไร”
“ข้ารู้จักกับท่านยายผู้นั้น ที่จริงนางฝากเสื้อคลุมตัวนี้มาคืนให้เจ้า แล้วยังฝากข้ามาขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือนางไว้”
“เจ้ารู้จักนางหรือ” นี่สามารถเรียกว่าโชคชะตาได้หรือไม่นะ การพบกับท่านยายผู้นั้นทำให้นางได้เจอคีลในวันนี้
หลังจากนางสวมใส่มันเสร็จแล้ว เขาก็อุ้มนางไว้ในอ้อมแขน
“เจ้าจะทำอะไร ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะคีล”
เขาไม่พูดให้มากความแต่กลับอุ้มนางไว้ แล้วเหินร่างพานางกลับไปที่บ่อน้ำร้อน ที่ที่เขาเจอนาง
                เฟยาบอกให้เขาหันหลังทันที่ที่เขาพานางมาถึงบ่อน้ำร้อน พอเขาหันกลับไปอีกทีก็พบว่านางใส่เสื้อผ้าของนางที่เขาทิ้งไว้เสียแล้ว
                “เจ้ายังจะใส่มันอีกรึ มันทั้งเหม็นทั้งชื้น”
                “แต่ข้าไม่สามารถใส่เสื้อผ้าของเจ้ากลับได้ หากมีคนเห็นเข้ามันจะผิดสังเกต ข้าไม่อยากตอบคำถามให้มากความ”
                “แต่เจ้าไม่สบายอยู่นะ เจ้าใส่เสื้อผ้าตัวเก่าแบบนี้ มันจะยิ่งทำให้เจ้าไม่สบายหนักยิ่งขึ้น”
                “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าสบายดี”
                “...ทำไมเจ้าถึงดื้ออย่างนี้นะ” นางดื้อดึงมาตั้งแต่เด็ก จนโตแล้วนางก็ยังแก้ไม่หายหรือนี่
                “เจ้ากลับไปเถอะ” เฟยาไล่เขากลับ “แต่ว่า...ข้าจะได้เจอเจ้าอีกหรือไม่”
                “ข้าจะไปส่งเจ้าเอง” เขาไม่สนใจที่นางไล่เขากลับ เขาเป็นถึงรายาใยต้องฟังคำพูดของนางด้วย
                “ไม่ได้”
                “ได้” ถึงเวลาที่เขาต้องดื้อกับนางบ้าง
                “เจ้า...เฮ้อ ก็ได้”

                ทั้งสองเหาะเหินจากยอดเขาแล้วมองหาบ้านหลังใหญ่ของท่านป้ามาร่าจากท้องฟ้า เพราะเฟยาจำทางกลับบ้านไม่ได้พวกเขาจึงต้องหาบ้านจากที่สูง
                คีลมาส่งเฟยาตรงลานหิมะกว้างด้านหลังบ้านตามความต้องการของนาง แล้วนางก็บอกให้คีลกลับ นางไม่อยากให้ใครเห็นนางอยู่กับเขา ที่สำคัญนางไม่อยากให้ใครเห็นนางในรูปลักษณ์ที่เหมือนเฟเรียเช่นนี้
                “พรุ่งนี้ข้าจะเจอเจ้าอีกไหม” เฟยาเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
                “ข้าจะรอเจ้าที่บ่อน้ำร้อน ไม่ว่าเจ้าจะมาหรือไม่มา”
                “ข้าจะไปหาเจ้าที่บ่อน้ำร้อนแน่นอน แต่เจ้าต้องปรากฏกายทันที่ที่ข้าไปถึงนะ” เฟยานึกถึงตอนที่น้ำแช่น้ำอยู่ที่บ่อน้ำร้อนขึ้นก็หน้าแดง
                คีลเห็นหญิงสาวหลุบสายตาลง ก็รู้ว่านางกำลังเขินอายและนึกถึงตอนที่เขาเห็นร่างเปลือยเปล่าของนาง
                “ข้าจะปรากฏกายทันทีที่เจ้ามา”
                เฟยายิ้มให้คีลก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้าย ทันทีที่เขาหันหลังกลับ นางก็ได้ปัดผมลงมาปรกหน้า ปิดบังไว้หน้าของตนไว้ตามเดิม หลังจากนั้นก็เดินเข้าบ้านทางประตูหน้าทำทีว่านางออกไปเดินเล่นตั้งแต่เช้าแล้วเพิ่งกลับ
                คีลทำทีเป็นเดินกลับ แต่เพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เขาก็หันกลับมามองเฟยาที่กำลังเดินเข้าบ้าน รอจนนางเข้าบ้านอย่างปลอดภัยเขาถึงวางใจกลับไปที่ยังพักของตนได้
                เดวา...เด็กสาวในวันวาน เพื่อนสมัยเด็กของเขา ไม่คิดมาก่อนว่านางจะเติบใหญ่เป็นหญิงที่งดงามถึงเพียงนี้ ความสุข ความสดใสเล็ก ๆ ที่ขาดหายไปนาน ค่อย ๆ เติบโตขึ้นอยู่ภายในจนเขารู้สึกได้ ไม่ว่าจะนานเท่าใด จะกี่ครั้งกี่หน
                ความสุขของเขา ก็เกิดขึ้นจากนางเสมอ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น