ห้องพักราคาถูกหลังโรงน้ำชาสภาพกลางเก่ากลางใหม่
ทว่าภายในกลับอบอุ่นอยู่เสมอเพื่อเปิดรับการมาเยือนของหญิงสาวที่มักจะแอบเข้ามาในยามวิกาลทางหน้าต่าง
เสื้อคลุมสีเข้มที่มักจะมีเศษหิมะเกาะอยู่ถูกพาดไว้กับเก้าอี้ไม้เก่า
ๆ และรองเท้าบูทที่ใช้เดินฝ่าหิมะก็ถูกวางไว้ใกล้ ๆ เตาผิง เพื่อไม่ให้อับชื้น
ห้องพักชั่วคราวเก่า ๆ
ห้องนี้ได้กลายเป็นสถานที่นัดพบระหว่างชายผู้มีฐานันดรสูงศักดิ์
กับหญิงสาวผู้ชอบทำตัวแปลกประหลาด
หลังจากพบว่าบ่อน้ำร้อนซึ่งเป็นสถานที่ส่วนบุคคลนั้น
ไม่เป็นส่วนตัวพอสำหรับคนสองคน
ในยามวิกาลเฟยามักแอบออกมาหาคีลที่ห้องพักหลังโรงน้ำชา
ซึ่งเขาเช่าไว้อยู่ชั่วคราวขณะพำนักอยู่ที่เซาท์การ์ด
ซึ่งเขาก็จะเตรียมห้องให้อบอุ่น แล้วหาของกินอุ่น ๆ ไว้รอนางมาอยู่เสมอ
เมื่อเห็นหญิงสาวเข้ามาทางหน้าต่าง
คีลก็รีบเลื่อนเก้าอี้ที่โต๊ะ เป็นนัยบอกให้นางมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้
“ข้างนอกลมแรงรึไร
ทำไมผมเผ้าของเจ้าถึงได้ตกลงมาปรกหน้าเช่นนี้” เขาปัดผมด้านหน้าที่ตกลงมาปรกใบหน้าของนาง
จนใบหน้างามเผยสู่สายตา
ทุกครั้งที่จะมาหาเขา
เฟยามักจะปัดผมที่ปรกใบหน้าขึ้นเผยดวงหน้างดงามที่ไม่ค่อยให้ผู้ใดเห็นมาก่อน
เขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของนาง นางก็อยากให้เขาได้รู้จักตัวตนของนาง
ทว่าความคิดที่มีเหตุผลไม่อาจอธิบายความกระทำที่แท้จริงของนางได้
ว่าทำไมนางถึงต้องเผยดวงหน้าที่แท้จริงให้เขาเห็น
เฟยายังไร้เดียงสาเกินไปที่จะรับรู้ว่าอยากให้เขาเห็นใบหน้าที่งดงามของตนเพราะอะไร
“ลมไม่แรงหรอก
แต่ว่าข้ารีบมา” เฟยาห่อไหล่เพราะอากาศหนาว แม้อากาศในห้องจะอบอุ่น
แต่นางเพิ่งจะเดินฝ่าหิมะ ฝ่าอากาศหนาวมา ตอนนี้จึงยังรู้สึกหนาวอยู่บ้าง
“ข้างนอกอากาศเย็นนัก เจ้าคงหนาว
ดื่มนี่เสียสิจะได้อบอุ่นขึ้น” คีลก็ยื่นขวดกระเบื้องเคลือบ
สุราชั้นดีของเซาท์การ์ดให้นาง เป็นเหล้าที่ทำให้ผู้ที่ดื่มเข้าไปรู้สึกร่างกายอบอุ่นขึ้นในทันที
เพียงอึกแรกที่ดื่มเข้าไป
ความร้อนแรงของเหล้าทำให้เฟยาถึงกับสำลัก
คีลที่เห็นเฟยาไอไม่หยุดก็ตรงเข้าไปลูบหลังให้นาง ทั้งยังหัวเราะนางอีกด้วย
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไม่เคยดื่มสุรามาก่อน”
“ไม่...ข้าไม่ แค่ก ๆ ”
เฟยาไอไม่หยุด นางอยากจะกล่าวแก้ตัวว่าไม่ใช่ว่านางไม่เคยดื่มสุรามาก่อน แต่สุราขวดนี้รสชาติไม่ได้เรื่องเกินไป
มีแต่ความร้อนแรง รสชาติฝืดเฝื่อนและแหลมคอ ไม่มีความหอมหวานสักนิด
นางเคยดื่มแต่สุราของเจ้าคนแคระ
ไม่เคยดื่มสุราฝีมือผู้อื่นมาก่อน จึงไม่รู้ว่ารสชาติของผู้อื่น
จะแตกต่างกันถึงเพียงนี้
“สุรานี่ต้องค่อย ๆ จิบ
จะดื่มรวดเดียวเหมือนดื่มน้ำไม่ได้” คีลบอก
“ช่างเถอะ
ว่าแต่วันนี้เจ้าจะพาข้าไปเที่ยวที่ไหนอีกรึเปล่า” เมื่อตั้งตัวได้เฟยาก็รีบหันไปถามเขาทันที
หลายคืนที่ผ่านมาเขาได้พานางไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ไปล่องเรือผ่านหุบเขาน้ำแข็ง
ไปเล่นหิมะบนยอดเขาสูง และเมื่อวานเขาก็พานางไปที่ลานน้ำแข็งกว้าง สอนให้นางเดินบนแผ่นน้ำแข็งด้วยรองเท้าแปลก
ๆ ที่มีใบมีดที่พื้นรองเท้า ซึ่งดูเหมือนใส่แล้วจะทำให้เดินไม่ได้
แต่มันก็ทำให้สามารถเดินบนพื้นน้ำแข็งได้
“เดวา...ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
น้ำเสียงของคีลฟังดูเศร้าสร้อย เหมือนว่าเขากำลังจะบอกข่าวร้ายให้แก่นาง
ซึ่งนางเองก็พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ก็ใจคอไม่ดี
“มีอะไรหรือ”
“อีกสองวันข้าต้องกลับมิดการ์ดแล้ว
ข้าคงอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“อีกสองวันหรือ ...แล้ว ข้าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้วใช่ไหม”
“เจ้าสามารถออกมาหาข้าได้ถึงคืนพรุ่งนี้เท่านั้น
แล้วข้าจะต้องออกเดินทางในเช้าตรู่อีกวัน”
“พรุ่งนี้? ...พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้
แต่คืนนี้เจ้ายังไม่กลับมิดการ์ด เจ้าก็ต้องพาข้าออกไปเที่ยวอยู่ดี” เฟยาปรับน้ำเสียงและทำจิตใจให้ร่างเริงขึ้น
ในเมื่อคืนนี้เขายังอยู่กับนาง แล้วนางจะเศร้าไปทำไม “ว่าอย่างไรเล่า
คืนนี้เจ้าจะพาข้าไปเที่ยวที่ไหน”
คีลมองหน้าเฟยาแล้วยิ้มออกมา
หญิงนางนี้เดาอารมณ์ไม่ออกจริง ๆ ตั้งแต่เด็กจนสาว
นางเป็นอย่างไรก็อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน เป็นคนที่นิสัยไม่เหมือนใคร อยู่ด้วยแล้วไม่เคยเบื่อเลยสักครั้ง
“เดี๋ยวไปถึงเจ้าก็จะรู้เอง”
คีลพาเฟยามาจนถึงถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งปากทางเข้าเป็นทางแคบ
ๆ ทำให้รู้สึกว่าข้างในถ้ำแห่งนี้คงไม่กว้างมากนัก
เขาจูงมือนางเดินเข้าไปในถ้ำที่แสนจะมืดมิดและเย็นเยียบจะเฟยาต้องห่อไหล่เพราะความเย็นที่เข้ามากระทบกาย
หลักจากนั้นเขาก็สร้างลูกไฟดวงเล็กขึ้นมา เป็นแสงไฟคอยส่องนำทาง
ลูกไฟที่คีลสร้างขึ้นนั้นสวยงามจนเฟยาแทบจะละสายตาไม่ได้
ขนาดของมันเท่ากำปั้น สว่างใสดั่งลูกแก้วแต่กลับให้แสงสว่างดั่งดวงอาทิตย์ยามเช้า
เวทย์ของคีล
ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้เห็นก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจทุกครั้งไป
คีลจูงมือเฟยาเดินชมความสวยงามของถ้ำน้ำแข็ง
ด้านบนของถ้ำเต็มไปด้วยแท่งน้ำแข็งมากมายที่ย้อยลงมาอย่างสวยงาม
แล้วเมื่อกระทบกับแสงไฟก็จะทำให้น้ำแข็งแต่ละแท่งดูระยิบระยับดั่งเพชรพลอยยามต้องแสง
และสองข้างของผนังถ้ำ ก็เต็มไปด้วยความน่าอัศจรรย์
กำแพงทั้งสองด้านเปรียบได้ดั่งบ่อปลาขนาดใหญ่
ซึ่งเต็มไปด้วยปลาหลากหลายชนิด แต่บ่อปลาที่ว่าเป็นบ่อปลาที่ถูกแช่แข็ง
และปลาที่อยู่ในบ่อนี้ก็ถูกแช่แข็งไปด้วย
ทำให้ดูเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ใต้ทะเลลึก
คีลประคองเฟยาเดินอย่างระมัดระวัง
เพราะพื้นในถ้ำเต็มไปด้วยหิมะสลับกับพื้นแข็งทำให้เฟยาลื่นล้มอยู่บ่อยครั้งจนเขาต้องเปลี่ยนจากจูงมือนางเดินเป็นประคองนางแทน
แต่การประคองนางนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะนางคอยแต่จะหันซ้ายหันซ้ายขวา
พยายามมองทุกอย่างรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ
ยิ่งทำให้เขาต้องกระชับวงแขนให้นางอยู่ชิดเขาให้มากขึ้น
เพื่อที่นางจะได้ไม่ลื่นล้มvud
“คีลข้าเดินไม่ถนัด
เจ้าอย่าจับข้าไว้สิ” นางบ่น
“ก็ข้ากลัวเจ้าล้มอีก”
ดูสิเขากอดนางไว้ แต่นางหาว่าเขาจับนางไว้
“แต่ข้าเดินไม่ถนัดนี่” ไม่พูดเปล่าเฟยายังพยายามดันตัวออกห่าง
แต่เขาก็ยังคงกอดนางไว้แน่น และอาจจะแน่นขึ้นกว่าเดิม
“นี่เจ้า” เฟยาชักมีน้ำโห
นางบอกเขาแล้วว่านางเดินไม่ถนัด แต่เขายังไม่ยอมปล่อยนางอีก
เฟยาเงยหน้ามองชายหนุ่ม แต่มิทันไม่ได้พูดอะไรก็พบว่าใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้จนแทบจะแนบชิด
เมื่อสายตาประสานกัน ความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้น หัวใจของหญิงสาวกลับเต้นระรัวจนน่าแปลกใจ
สายตาที่จ้องมองก็ค่อย ๆ หลุบต่ำลง หลบสายตาคมกล้าเยี่ยงคนขลาดเขลาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
...นี่นางเป็นอะไรไป
“เจ้าปล่อยข้าเถอะ
ข้าเดินไม่ถนัด” เฟยายังคงหลบสายตาที่จ้องมองนาง
“อย่าเลย
ถ้าข้าปล่อยเจ้าแล้วเจ้าล้มอีก พรุ่งนี้ตัวเจ้าคงระบมไปหมดแน่
ให้ข้าประคองเจ้าไว้อย่างนี้ดีแล้ว”
“ข้าไม่เป็นไร ปล่อยข้า”
เฟยาออกแรงผลักให้หนักขึ้นจนดันคีลออกห่างได้
แต่เท้าที่ยืนอยู่บนพื้นน้ำแข็งกลับไม่มั่นคง ลื่นล้มหงายหลังก้นกระแทกเข้ากับพื้นน้ำแข็งในที่สุด
“โอ้ย!
ก้นข้า” เฟยาร้องโอดโอยเมื่อก้นกระแทกพื้นอย่างแรง
คีลถอนหายใจ ยืนมองเด็กดื้อที่ไม่ยอมเชื่อฟังเขาจนต้องเจ็บตัวอย่างที่เห็น
ยิ่งมองนางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่านางเป็นเด็กไม่ยอมโต
จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจโน้มตัวลงแล้วอุ้มหญิงสาวขึ้นมา
ก่อนจะพานางเดินต่อไปจนถึงปลายทางออกอีกด้านของถ้ำ
“คีล ปล่อยข้าลง” เฟยาก้มหน้างุด
พูดจาไม่เต็มเสียงมากนัก
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าให้ลงเดินเองอีกหรือเดวา
เมื่อครู่ก็ล้มก้นกระแทกเสียแรง ตอนนี้เจ้าคงเดินไม่ไหวหรอก ข้าจะอุ้มเจ้ากลับเอง”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก ปล่อยถ้าลงเถอะ
ข้าเดินเองกลับเองได้”
“เจ้าเดินกลับเองไม่ได้”
คีลทำเสียงเข้มไม่ยอมให้นางดื้อกับเขาอีก
เพราะนางไม่ยอมฟังเขานางถึงต้องเจ็บตัวเช่นนี้
คีลอุ้มเฟยากลับห้องพักของตน เขาวางนางลงบนที่นอนเบา
ๆ แล้วบอกให้นางนอนตะแคงเพื่อที่เขาจะได้รักษานาง
“เจ้าจะรักษาข้าอย่างไร” เฟยาขยับหนีเมื่อเห็นมือที่ยื่นมาคล้ายทำท่าจะจับก้นของนาง
“ข้าก็จะใช้เวทย์รักษาเจ้าน่ะสิ”
“ใช้เวทย์? แต่มือเจ้าทำเหมือนกำลังจะจับก้นข้านะ
เจ้าคิดจะล่วงเกินข้าใช่ไหม”
คีลหลุดหัวเราะออกมา นี่นางคิดได้อย่างไรว่าเขาจะจับก้นนาง
“ข้าไม่จับก้นเจ้าหรอก แค่จะเอามือไปไว้ใกล้ ๆ เท่านั้น จะได้รักษาเจ้าได้
...ข้าไม่สัมผัสก้นเจ้าหรอก”
คีลยื่นมือจะรักษาให้นางอีกครั้ง
แต่เฟยาก็กระถดหนีอีกครั้ง
“เจ้าหนีทำไม
ข้ากำลังจะรักษาเจ้านะ หากเจ้ายังหนีข้าอยู่เช่นนี้พรุ่งนี้เจ้าต้องระบมไปทั้งตัวแน่
เพราะวันนี้เจ้าลื่นล้มเสียหลายรอบ”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าหายแล้ว
ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะ เจ้าไม่ต้องรักษาข้าแล้วคีล”
“เจ้าหุบปากเสียแล้วให้ข้ารักษาเจ้าดี
ๆ เถอะเดวา”
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ นะคีล
เจ้าดูนี่สิ” เฟยารีบลุกออกจากที่นอน แล้วกระโดดโลดเต้น ทั้งยังตบก้นตัวเองให้เขาดู
พิสูจน์ว่านางไม่เป็นอะไรจริง ๆ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่เจ็บแล้ว”
เมื่อตอนที่นางล้มนางยังร้องโอดโอยเพราะเจ็บอยู่เลย
แต่นี่นางถึงขนาดตบก้นตัวเองแล้วสีหน้าไม่เปลี่ยน เหมือนคนไม่ได้ลื่นล้มมา
...เหตุใดนางถึงได้ดูเป็นปกติถึงเพียงนี้
“ข้าไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเลยตอนนี้
เพราะข้าเป็นพวกฟื้นตัวเร็ว ลื่นล้มแค่นี้ไม่ทันข้ามคืนข้าก็หายแล้ว อาจารย์บอกว่าอาจเป็นเพราะอำนาจเวทย์ที่ข้ามี
เลยทำให้ข้าฟื้นตัวเร็วกว่าคนทั่วไปเช่นนี้”
เมื่อเฟยาพูดถึงอำนาจของตน
คีลเองก็เพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก ...ตราสะกด
“เดวา
ตราสะกดที่ข้าสะกดอำนาจเวทย์ของเจ้า ตอนนี้มันยังอยู่หรือไม่”
“อยู่สิ” แน่นอนว่ามันยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน
และนางก็ยังรู้สึกถึงมันทุกครั้งที่ฝืนใช้เวทย์มากเกินไป
“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรผิดปกติกับเจ้าบ้างหรือไม่”
คีลถามอย่างห่วงใย เพราะตอนนั้นเขายังเด็กและอวดดีเกินไป
คิดว่าตัวเองเก่งกาจพอจะใช้เวทย์สะกดช่วยเหลือผู้อื่นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าผู้ถูกสะกดจะเป็นเช่นไร
และก็ไม่เคยมีใครพูดถึงด้วยว่าผู้ถูกสะกดจะเป็นเช่นไร
จนทุกวันนี้เขายังคาใจอยู่เสมอว่าเดวาจะเป็นเช่นไร
การช่วยเหลือของเขาจะกลับกลายเป็นการทำร้ายนางหรือไม่
“ข้าปกติดี ปกติทุกอย่าง
เพราะเจ้าช่วยข้าไว้ทำให้ตอนนี้ข้าถึงใช้เวทย์ได้ดั่งใจ” เฟยาละเว้นที่จะพูดถึงเรื่องความเจ็บปวดที่ได้รับจากตราสะกด
เพราะนางไม่อาจให้เขากังวลใด ๆ ในเมื่อสิ่งที่เขาทำให้นาง เป็นเพราะเขาต้องการจะช่วยนาง
นางจึงไม่อยากให้ความหวังดีของเขาต้องเสียเปล่า
ไม่อยากให้เขาคิดว่าความหวังดีของเขากลายเป็นหวังร้าย
แม้ว่านางจะเจ็บปวดทุกครั้งที่ใช้เวทย์เกินกำลัง
และเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อถึงคืนพระจันทร์สีเลือดซึ่งเป็นวันครบรอบที่เขาได้มอบตราสะกดให้แก่นาง
แต่นางก็ไม่เคยเสียใจเลยกับการมีตราสะกดบนแผ่นหลังนี้
เพราะมันคือมิตรภาพและความหวังดีที่เขามอบให้นาง
“ได้ยินเจ้าพูดข้าก็สบายใจ ตอนนั้นข้ายังเด็กและขาดความยั้งคิด
ข้าไม่เคยรู้เลยว่าผู้ถูกสะกดจะเป็นเช่นไร รู้แค่ว่าจะใช้เวทย์ไม่ได้
หรือใช้เวทย์ได้บ้างแล้วแต่ตามที่ผู้สะกดจะกำหนด แล้วพอคิดถึงเรื่องเวทย์สะกดทีไร
ข้าก็จะนึกห่วงเจ้าอยู่เสมอ”
“เจ้าวางใจเถอะคีล ข้ายังสบายดี
สิ่งที่เจ้าทำให้ข้ามันคือการช่วยเหลือ และข้าก็ยังรู้สึกขอบคุณเจ้าจนถึงทุกวันนี้”
“เช่นนั้นข้าก็เบาใจ”
เมื่อใกล้รุ่งสาง
เฟยาก็ตัดสินใจกลับบ้านของท่านป้าโดยมีคีลไปส่งเช่นทุกครั้ง
พวกเขาเดินย่ำหิมะทีละก้าว ๆ ใช้เวลาที่เหลือที่อยู่ด้วยกันพูดคุยสัพเพเหระ จนถึงบ้านหลังใหญ่พวกเขาถึงได้แยกย้ายกลับที่พักของตน
และเช่นเดิม...คีลจะยืนรอจนเฟยาเดินเข้าบ้านไปแล้วเขาถึงจะหันหลังกลับ
กลับสู่ที่พักของตน
“ท่านเฟยา ตื่นเถอะเจ้าค่ะ” จานีน
เด็กสาวรับใช้ขึ้นมาปลุกเฟยาที่ห้องตามคำสั่งของนายหญิงของบ้าน
แต่หญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนที่นอนไม่มีทีท่าว่าจะตื่นหรือรู้สึกตัวสักนิด
“ท่านเฟยาเจ้าคะ ตื่นเถอะเจ้าค่ะ”
จานีนเข้าไปเขย่าตัวเฟยาจนหญิงสาวรู้สึกตัว
“อือ”
เฟยาพลิกตัวแล้วคลุมโปงนอนต่อ
“โธ่! ท่านเฟยา
ลุกเถอะเจ้าค่ะ ได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ”
เด็กสาวทนไม่ไหวถึงกับดึงผ้าห่มที่เฟยาคลุมโปงอยู่ แต่หากนางปลุกหลานสาวของนายหญิงผู้นี้ไม่ได้
เกรงว่านางอาจจะโดนลงโทษ
“อะไรกันจานีน
ข้าขอนอนต่อไม่ได้หรือไร” เฟยางัวเงีย จำใจลุกขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ลืมตาตื่นดี
...ก็นางเพิ่งได้นอนไปไม่เท่าไรเองนี่
“ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ
ท่านต้องเตรียมตัวแล้วนะเจ้าคะ”
“เตรียมตัวอะไร”
“วันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับพวกท่านนะเจ้าคะ
ได้เวลาที่ท่านต้องเตรียมตัวแล้วเจ้าค่ะ คนอื่น ๆ เตรียมตัวกันไปแล้ว
เหลือแต่ท่านที่ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย” จานีนรีบสาธยาย เผื่อหญิงสาวตรงหน้าจะรีบเร่งขึ้นมาได้
แต่หารู้ไม่ว่าเฟยาที่ยังไม่ตื่นดี จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับครอบครัวของนาง
“วันนี้หรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วข้าต้องเตรียมตัวอะไรในตอนเช้าขนาดนี้”
“ท่านต้องลองชุดแล้วก็เครื่องประดับ
หลังจากนั้นก็ต้องขัดผิวกาย พอกหน้า หลังจากนั้นก็ต้องแต่งหน้าทำผมอีกนะเจ้าคะ”
เฟยาฟังแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้
ทำไมอะไร ๆ มันถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้กันนะ แค่ฟังจานีนพูดนางก็รู้สึก...สยองพิกล
“ทั้งหมดที่เจ้าพูดมานี่
ค่อยทำหลังจากข้านอนเต็มอิ่มแล้วได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ
แค่ลองชุดก็ใช้เวลาครึ่งวันแล้ว เพราะชุดที่ตัดมาหากท่านใส่ไม่พอดีก็ต้องมีการปรับแก้ในทันที
ไหนจะต้องลองเครื่องประดับให้เข้าชุด แล้วยังต้องมาลองทำผม...”
“พอ ๆ พอแล้วจานีน
เจ้าไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ข้าลุกแล้วก็ได้”
“เจ้าค่ะ
ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะยกให้มาให้ท่านอาบนะเจ้าคะ”
“อืม ขอบใจมาก”
จานีนรีบออกจากห้องไปเอาน้ำอุ่นมาให้เฟยาอาบ
กลัวว่าถ้าช้ากว่านี้เฟยาอาจจะเปลี่ยนใจกลับไปนอนต่อก็ได้
เหนื่อยให้นางต้องการคอยปลุกอีกครั้ง
เฟยาแช่น้ำในอ่างไม้ซึ่งจานีนเตรียมไว้ให้ในห้องนอนของนางเอง
โดยมีฉากกั้นตั้งไว้เป็นตัวแบ่งพื้นที่สำหรับอาบน้ำเพื่อให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวมากขึ้น
นางนอนแช่น้ำทั้งตัวโผล่ศีรษะพิงขอบอ่างไว้ในท่านอน
ใช้น้ำลูบหน้าแก้ความง่วงงุน และเมื่อสมองปลอดโปร่งขึ้นนางก็ลุกพรวดขึ้นมาจากอ่างน้ำเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญออก
งานเลี้ยงต้อนรับมีคืนนี้
และคีลก็อยู่ที่เซาท์การ์ดคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย
เหมือนจะเลือกยากแต่เฟยาก็รู้ในทันทีว่านางจะเลือกสิ่งใด...
งานไม่ชอบงานเลี้ยงวุ่นวาย และนางก็อยากเจอคีล
นางจะไปหาเขา
แม้จะต้องทำผิดต่อท่านป้าที่อุตส่าห์จัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ก็ตาม
แต่นางก็ไม่อาจทนเฉยอยู่ในงานเลี้ยงได้ในเมื่อใจของนางอยู่ที่อื่น
“คีล” เมื่อนึกถึงใบหน้าคมคาย
หัวใจกลับเต้นระรัวไม่หยุดเหมือนเมื่อคืน
นี่นางเป็นอะไรไปทำไมหัวใจของนางถึงได้เต้นเร็วเพียงนี้แค่นึกถึงเขา
...หรือนางจะไม่สบายกัน
เมื่อจานีนเจ้ามาในห้องหลังจากที่นางอาบน้ำเสร็จ
เฟยาก็ได้นั่งนิ่งรออยู่บนเตียงแล้ว
“ข้าจะไปตามช่างเสื้อมาให้ท่านนะเจ้าคะ”
จานีนรีบบอกเมื่อเห็นเฟยาพร้อมที่จะลองชุดแล้ว
“เดี๋ยวก่อนจานีน”
เฟยาเรียกสาวใช้ไว้ทันก่อนที่นางจะเดินพ้นประตูไป
“อะไรเจ้าคะ”
“ข้าคิดว่าข้าคงไม่สบาย”
“ไม่สบาย!”
สาวใช้เผลอตัวตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ท่านเฟยาเป็นอะไรไปเจ้าคะ ท่านไม่สบายตรงไหน
เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
“ข้า...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าเป็นอะไร
แต่หัวใจของข้าเต้นเร็วมากเลย ...ข้าเป็นอะไรไปเหรอจานีน” เมื่อเอามือขวาทาบอกด้านซ้าย
หัวใจที่เคยเต้นตุบ ๆ กลับเต้นเร็วกว่าปกติจนน่ากังวล อยู่ดี ๆ
มันก็เต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในขณะที่นางยังไม่ได้ทำอะไรเลย
นางไม่ได้ออกกำลัง ไม่ได้ใช้แรง ...แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
จานีนตกใจที่เฟยาบอกว่าไม่สบาย
ๆ ยิ่งหัวใจเต้นเร็วโดยไม่รู้สาเหตุ นางก็ยิ่งแตกตื่นจนรีบไปบอกผู้เป็นนาย
ไม่นานนักมาร่าก็มาถึงห้องของเฟยาพร้อมกับจานีน
“เด็กบอกว่าเจ้าไม่สบายรึเฟยา”
ผู้เป็นป้านั่งข้างเฟยาแล้วใช้หลังมือแตะหน้าผากและลำคอ
เพราะคิดว่านางอาจจะเป็นไข้
“คงเป็นเช่นนั้นท่านป้า
หัวใจของข้า...จู่ ๆ มันก็เต้นเร็วขึ้น สักพักมันก็กลับมาเป็นปกติ แต่จู่ ๆ
มันก็เต้นเร็วขึ้นมาอีก ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด”
“เช่นข้าจะให้เด็ก
ๆ ไปตามหมอมาให้เจ้า”
“ไม่ต้องหรอกมาร่า”
สาวใช้บอกนางว่าเฟยาไม่สบาย นางจึงเข้ามาดูอาการลูกสาว
แต่ก็ไม่เห็นว่านางจะเป็นอะไรไป
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรเมเรีย
เฟยาไม่สบายนะ เป็นธรรมดาที่จะตามหมอมารักษานาง แล้วทำไมเจ้าถึงบอกว่าไม่ต้องกัน”
“มาร่า
เฟยาเป็นลูกสาวข้า ข้ารู้จักนางดี เฟยาร่างกายอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จู่ ๆ
นางมักจะล้มหมอนนอนเสื่อ แต่เมื่อได้พักผ่อนนางก็จะหายของนางเอง
เจ้าไม่ต้องตามหมอให้มากความหรอก”
“นั่นสิท่านป้า
อย่างที่ท่านแม่บอก ขอแค่ให้ข้าพักผ่อนก็พอแล้ว อย่าให้ข้าต้องทำให้ท่านวุ่นวายใด
ๆ เลย”
“ได้อย่างไรกัน
แล้วงานเลี้ยงคืนนี้เล่า ป้าจัดเพื่อต้อนรับพวกเจ้าที่เดินทางมาจากอีสการ์ด แล้วจะขาดคนใดคนหนึ่งไปได้อย่างไร”
“มาร่า
เจ้าปล่อยให้เฟยาได้พักผ่อนเถอะ” เมเรียพูดแทรก
“แต่ว่า...”
“เชื่อข้าเถอะ
ข้าเป็นแม่ของนางนะมาร่า ข้าบอกแล้วว่าข้ารู้จักนางดี”
“นั่นสิท่านป้า
ขอให้ข้าได้พักผ่อนเถอะ”
เจ้าของงานคืนนี้มองหน้าหลานสาวที
หน้าน้องสาวทีแล้วก็ต้องตัดใจปล่อยให้เฟยาได้พักผ่อน
แล้วก็ต้องตัดใจเรื่องที่จะให้เฟยามางานเลี้ยงคืนนี้ด้วย ...เสียดายเหลือเกินที่ขาดเฟยาไปคนหนึ่ง
เมื่อปล่อยให้เฟยาได้พักผ่อนอยู่ในห้อง
มาร่าก็หันไปโวยน้องสาวที่ไม่ดูดำดีลูกสาวของตนเอง
เฟยาไม่สบายก็ควรจะตามหมอมาดูอาการสักนิด แต่นี่อะไร...แค่บอกว่าให้พักผ่อนเท่านัก
ไม่มีท่าทางเป็นห่วงเป็นใยสักนิด
“มาร่า
ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้ารู้จักเฟยาดี ร่างกายเฟยาค่อนข้างจะอ่อนแอ
นางมักจะล้มป่วยบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
หากต้องตามหมอทุกครั้งที่นางไม่สบาย ไม่เป็นการวุ่นวายไปหรอกหรือ
แล้วเฟยาเองก็มักจะหายป่วยเองเป็นประจำอยู่แล้ว
แค่เจ้าปล่อยให้นางได้พักผ่อนเดี๋ยวนางก็กลับเป็นปกติเอง”
“เมเรีย...นี่มันคำพูดของคนเป็นแม่หรือ
เจ้าไม่ห่วงลูกสาวของเจ้าเลยหรือ”
นางไม่เคยมีลูกเลยไม่รู้ว่าความรู้สึกของคนเป็นแม่นั้นเป็นอย่างไร
แต่การกระทำของเมเรียมันไม่เกินไปหน่อยหรือ มันไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ
“ทำไมข้าจะไม่ห่วงล่ะมาร่า
แต่ก็อย่างที่ข้าบอก ข้ารู้จักลูกสาวข้าดีและข้าก็รู้ว่าควรจะจัดการกับลูกสาวของข้าอย่างไร
เจ้านั่นแหละอย่าเพิ่มตื่นตูมไป ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก”
“ตามใจเจ้า...เจ้าเป็นแม่นี่
แต่ถ้าพรุ่งนี้เฟยายังไม่หายอีก เจ้าคงไม่ห้ามข้าให้ตามหมอมาดูอาการเฟยาแล้วนะ”
“เมื่อถึงตอนนั้นก็ตามใจเจ้าแล้วกันมาร่า”
เมื่อท้องฟ้ามืดมิด
หิมะโปรยปรายจนทุกอย่างดูขาวโพลน เสียงดนตรีบรรเลงเคล้าคลอบรรยากาศ
แขกเหรื่อที่เชิญมาร่วมงานต่างเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเซาท์การ์ดทั้งสิ้น
พ่อค้าวานิช จอมเวทย์ หรือแม้แต่ลูกศิษย์ของผู้นำแห่งเซาท์การ์ด
ก็ถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับนี้ทั้งสิ้น
จุดสนใจที่อยู่หญิงงามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกดินแดน
ผู้มีความงามที่เปรียบดั่งเทพธิดามาจุติ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงที่งดงามที่สุด
ซึ่งทุกคนต่างเฝ้ารอจะได้ยลโฉมให้ประจักษ์แก่สายตา
ว่าข่าวลือนั้นจะเป็นจริงมากน้อยเพียงไร
“เจ้าพร้อมหรือยังเฟเรีย”
ผู้เป็นแม่เปิดประตูเข้ามาถามเมื่อได้เวลาที่ครอบครัวของตนต้องลงไปพบปะผู้คนด้านล่าง
“ข้าพร้อมแล้วท่านแม่”
รอยยิ้มประดับใบหน้าแลดูสดใสขับให้เฟเรียดูงดงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เช่นนั้นก็ลงไปกันเถอะ
ป้าของเจ้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว”
เมเรียเดินนำหน้าควงสามีของตนค่อย
ๆ เดินลงบันไดสู่งานเลี้ยงต้อนรับที่จัดไว้อย่างใหญ่โต
แขกเหรื่อแปลกหน้าต่างถูกมาร่าแนะนำให้รู้จัก
ยิ่งคนมากเท่าใดการแนะนำตัวก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น
แต่เจ้าภาพก็ยังคงเพียรแนะนำครอบครัวของน้องสาวให้รู้จักกับบุคคลต่าง ๆ
ในเซาท์การ์ด
“แล้วเฟเรียล่ะเมเรีย
ยังไม่ลงมาอีกหรือ วันนี้ข้าได้ยินแต่คนถามหาเฟเรียกันทั้งนั้น
หลานสาวข้าไปไหนเสียล่ะ”
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกมาร่า
นางใกล้จะลงมาแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงพูดคุยกลับเงียบลง
สายตาทุกคู่ต่างหันไปมอง
หญิงงามในชุดสีเหลืองอ่อนที่กำลังเยื้องกรายลงมาดั่งเทพธิดาลงมาจากสรวงสรรค์
เสียงฮือฮาค่อย ๆ ดังขึ้นราวกับห่าฝน ผู้ใดที่ได้เห็นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ข่าวลือเป็นความจริง”
หญิงผู้ที่งดงามที่สุด หญิงผู้ที่งดงามหาผู้ใดเทียบ
บุรุษน้อยใหญ่ต่างพาตัวเองเข้าไปแนะนำตัวกับเฟเรีย
อยากผูกสัมพันธ์อยากฝากรักกับหญิงงาม จนพากันแย่งแนะนำตัวเอง กลัวว่าหากไม่ได้เอ่ยชื่อของตนไปจะทำให้โอกาสงามหลุดลอยไป
งานเลี้ยงต้อนรับเกือบจะกลายเป็นงานชุลมุน
จนมาร่าต้องเข้าไปยืนเคียงข้างหลานสาวราวกับปราการด่านสำคัญไม่ให้ผู้ใดเข้ามากล้ำกรายได้ง่าย
ๆ แต่นางก็ยังทำหน้าที่เจ้าภาพได้อย่างดี พาเฟเรียไปแนะนำให้รู้จักกับคนอื่น ๆ
ให้นางได้เปิดหูเปิดตารู้จักคนให้มาก
ซึ่งเมื่อถูกแนะนำเฟเรียก็น้อมกายเคารพโดยไม่มีใครสังเกตเลยว่านางไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
งานเลี้ยงใหญ่โตที่น่าจะสนุกสนาน
แต่เฟเรียกับวางท่าเฉยชาไม่ยินดีและไม่ยินร้าย
แต่นางก็ยังคงรักษามารยาทไว้ไม่ให้ท่านป้าเสียหน้า ยิ้มออกมาแทนที่จะทำหน้าบูดบึ้ง
งานเลี้ยงนี้ช่างน่าเบื่อหน่าย
ไม่ต่างอะไรกับตอนที่นางอยู่บ้านแล้วมีบุรุษมากมายเอาของกำนัลมาให้
บุรุษทั้งหลายต่างหลงใหลในความงามของนาง แต่นางกลับไม่พึงพอใจใครสักคน
ไม่มีชายใดที่พอจะสะดุดตานางได้เลยสักคน ในสายตานางไม่มีใครใดที่แตกต่าง
ไม่มีใครที่เห็นนางแล้วไม่วิ่งเข้าใส่
นางเบื่อผู้ชายพวกนี้จริง
ๆ
ระหว่างที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไป
เฟยากำลังย่ำเท้าลงบนหิมะที่ค่อย ๆ ทับถมสูงขึ้นจนทำให้เดินลำบากเพื่อไปหาเพื่อนชายคำสำคัญซึ่งจะอยู่ที่เซาท์การ์ดเป็นคืนสุดท้าย
“คีล
ข้ามาแล้ว” เฟยาปีนหน้าต่างเข้ามาอย่างทุกครั้ง นางเดินเข้ามาหาอย่างยิ้มแย้ม
แต่แล้วนางกลับหยุดยืนแล้วเอามือขวาแนบกับหน้าอกด้านซ้ายตนเอง
“เจ้าเป็นอะไรไปรึเดวา”
คีลเดินเข้ามาหาอย่างเป็นห่วงแล้วกลัวว่านางจะเป็นอะไรไป
“ข้า...ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไรไป
ข้าอาจจะไม่สบายก็ได้”
“ไม่สบายหรือ
แล้วเจ้าเป็นอะไรล่ะบอกข้ามาเถอะ เผื่อข้าจะช่วยเจ้าได้”
“หัวใจข้าเต้นแรง
เวลาที่ข้าคิดถึงเจ้ามันจะเต้นแรงขึ้นเสมอ
และเมื่อครู่ที่ข้าได้เห็นหน้าเจ้าหัวใจข้ามันก็เต้นแรงขึ้นมากอีก
...ข้าไม่สบายหรือเปล่าคีล หรือว่าข้าโดนเวทย์อะไรเข้าไป” เมื่อก่อนเวลานางคิดถึงเขา
หัวใจของนางไม่เห็นจะเต้นแรงอย่างนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับนาง
องค์รายาได้ยินความกังวลของหญิงสาวไร้เดียงสา
ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ รู้สึกสมใจนักที่ได้ยินคำพูดดั่งคำสารภาพเช่นนี้ออกมา
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นอะไร”
นางถามอย่างเป็นกังวล
“ข้ารู้”
“ถ้าเจ้ารู้
เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าข้าเป็นอะไรไป ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย”
“ก่อนที่ข้าจะบอกเจ้า
ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้ไหม”
“ได้สิ
เจ้าถามข้ามาได้เลย”
“เจ้าลองนึกถึงใบหน้าของพ่อกับแม่เจ้าดูนะ
ว่าเวลาเจ้าคิดถึงพ่อกับแม่ หัวใจเจ้าเต้นแรงบ้างไหม”
เฟยาหลับตาแล้วนึกถึงท่านพ่อกับท่านแม่
มือขวายังคงแนบหน้าอกด้านซ้ายแต่หัวใจก็ไม่เต้นเร็วขึ้น
เฟยาส่ายศีรษะเป็นคำตอบ
“เช่นนั้นเจ้าลองนึกถึงเพื่อนของเจ้าดู”
“นึกถึงเจ้าน่ะหรือ”
“ไม่ใช่
คนอื่นที่ไม่ใช่ข้าสิ”
“แต่ข้ามีเจ้าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวนี่”
“อืม...ถ้าเช่นนั้นคนที่สอนเวทย์เจ้าล่ะ
เจ้าใช้เวทย์เป็นแสดงว่าต้องมีคนสอนเวทย์แก่เจ้า”
“อาจารย์ข้าน่ะหรือ
เจ้าจะให้ข้านึกถึงอาจารย์หรือ”
“ใช่
เจ้าลองหลับตาแล้วนึกถึงอาจารย์ของเจ้าดู
แล้วลองสังเกตสิว่าหัวใจของเจ้าเต้นแรงขึ้นบ้างไหม”
เฟยาส่วนศีรษะเป็นคำตอบอีกครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าลองนึกถึงใบหน้าข้าดูสิ”
รอยยิ้มผุดบนไปหน้าอีกครั้งเมื่อได้คำตอบว่าหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้น
“ทำไมข้าเป็นอย่างนี้
เจ้าบอกข้าสิคีลว่าข้าเป็นอะไร” เฟยาคะยั้นคะยอเอาคำตอบจากคีล
แต่เขากลับเอาแต่ยิ้มไม่ยอมบอกอะไรนางเลย “ข้าว่าเจ้าไม่รู้มากกว่าว่าข้าเป็นอะไร”
“ข้ารู้”
“เจ้าก็บอกข้าสิ”
“ได้
แต่เจ้าต้องตั้งใจฟังดี ๆ นะ”
“อืม”
“ที่หัวใจเจ้าเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าข้า
นึกถึงข้า และเป็นปกติเมื่อนึกถึงคนอื่น นั่นก็เป็นเพราะว่า...เจ้าชอบข้า”
“...”
“เจ้ารักข้า”
เขาพูดย้ำเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังตื่นตะลึงกับคำตอบ เห็นนางเป็นอย่างนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้งนางให้มากกว่านี้
“ขะ
ข้าน่ะหรือชอบเจ้า”
“ใช่แล้ว
เจ้าชอบข้า รักข้า รักมากเสียด้วย”
“จะเป็นไปได้อย่างไร
ข้าน่ะหรือชอบเจ้า”
“ก็เป็นไปแล้ว”
“แต่ว่า...”
คีลยกนิ้วขึ้นมาปิดปากเฟยาไว้
ไม่ให้นางได้ปฏิเสธอะไรมากไปกว่านี้
“อย่าพูดอะไรไปมากกว่านี้เลยเดวา
ยอมรับหัวใจของตัวเองเถอะ มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”
“ข้าไม่ได้กลัว
ข้าแค่สับสนเท่านั้น” นางยังไม่รู้เลยว่าความรักคืออะไร
แต่เขากลับบอกนางว่านางรักเขา นางชอบเขา
...แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นางสับสนได้อย่างไร
“เจ้าสับสนอะไร”
“เจ้าบอกว่าข้ารักเจ้า
แต่ความรักมันคืออะไรข้ายังไม่รู้ แล้วข้าจะรักเจ้าได้อย่างไร”
“จะรักได้อย่างไรนั้นไม่สำคัญ
สำคัญที่ว่าเจ้ายอมรับใจเจ้าเองหรือไม่ ...เช่นนั้นข้าจะพิสูจน์ให้ดู”
ใบหน้าคมคายค่อย
ๆ โน้มลงมาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักบรรจงจูบบนปากอิ่มได้รูปอย่างนุ่มนวลก่อนจะผละออก
แล้วถามนางว่า
“เจ้ารังเกียจข้าไหม”
เฟยาส่ายศีรษะน้อย
ๆ ยังคงอยู่ในภวังค์เคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสแปลกใหม่
“ถ้าคนอื่นทำกับเจ้าเช่นนี้ล่ะ
เจ้าชอบไหม”
เฟยานึกภาพว่าหากมีชายอื่นมาจูบนางเช่นนี้
“ไม่
ข้ารังเกียจ” นางตอบได้ทันที
“แล้วข้าเล่า”
เขาหยอกถามเล่น รู้ทั้งรู้ว่านางเต็มใจ
และเมื่อเห็นว่านางพยายามหลบสายตาไม่ยอมตอบเขา
กิริยาที่เขาเดาเอาเองว่านางกำลังเอียงอาย ยิ่งทำให้เขาพึงพอใจ ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม
คีลเอื้อมมือไปด้านหลังศีรษะของเฟยา
ประคองให้นางเข้ามาใกล้แล้วก้มลงจูบนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมตามแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ
เฟยาที่กำลังตกใจและตั้งตัวไม่ทันยันแขนทั้งสองข้างกับอกของคีล
แต่เขาก็กอดนางไว้แน่นจนแขนทั้งสองข้างของเฟยาที่ยันไว้ไม่มีผลอะไรเลย ร่างสองร่างแนบชิดสนิทกันยิ่งกว่าครั้งไหน
ๆ มีเพียงผืนผ้ากั้นกลางเท่านั้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
กว่าคีลจะยอมผละจากกลีบดอกไม้หวานฉ่ำอย่างแสนเสียดาย
ริมฝีปากของนางหวานยิ่งกว่าน้ำหวานไหน ๆ หอมยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ
มีเสน่ห์ชวนให้อยากลิ้มลองครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าไม่ติดว่านางยังคงไร้เดียงสาเกินไป
คีลยังคงกอดเฟยาไม่ปล่อย
เมื่อคิดว่าเขาจะต้องกลับมิดการ์ดในวันรุ่งขึ้นแล้วก็อดรู้สึกอาลัยอาวรณ์นางไม่ได้
อยากพานางกลับมิดการ์ดไปพร้อมเขาเสียเดี๋ยวนี้ ...แต่นางคงไม่ยอม
วันนี้นางเพิ่งได้รู้ใจตนเอง
(เพราะเขาบอก) ส่วนเขาพอจะรู้ความรู้สึกของตนที่มีต่อนางบ้าง
แต่ก็ไม่คิดว่ามันท่วมท้นขนาดนี้ เขาไม่อยากจากนางเป็นครั้งที่สอง
แต่ก็ไม่อาจกระทำการใด ๆ โดยขาดการไตร่ตรองไม่ได้
“เดวา
วันรุ่งข้าจะต้องเดินทางกลับมิดการ์ดแล้ว แต่ข้าสัญญาว่าข้าจะกลับมารับเจ้า
เจ้าไปอยู่กับข้าที่มิดการ์ดเถอะนะ”
“ข้า...”
“เจ้าอยากอยู่กับข้าหรือไม่”
“แน่นอน
ข้าชอบเวลาที่ได้อยู่กับเจ้า”
“เช่นนั้นก็ไปอยู่กับข้าที่มิดการ์ดเถอะ
เป็นรานีของข้า อยู่เคียงข้างข้าตลอดไป ...ที่ข้าพูดอาจจะกะทันหันเกินไป
แต่ทั้งหมดนั้นคือความในใจของข้า เจ้ายังไม่ต้องตอบข้าตอนนี้ก็ได้ แต่ได้โปรดรอข้า
รอข้าที่อีสการ์ด แล้วข้าจะไปพบเจ้า...ในวันที่พระจันทร์เป็นสีเลือด
วันที่เราสัญญากัน”
“คืนพระจันทร์สีเลือด
ข้าจะรอเจ้าที่เดิม” ต้นเดวา ต้นไม้ที่เขาใช้ชื่อของนางตั้ง
ต้นไม้ที่มีแต่ความทรงจำระหว่างนางและเขา
เขาบอกว่าคืนพระจันทร์สีเลือดปีนี้เขาจะมาหานางตามสัญญา
หลังจากที่นางรอเขามาหลายปี ในที่สุดการรอคอยของนางก็ไม่ได้สูญเปล่า
คีลถอดสร้อยคริสตัลซึ่งเขาใส่ติดตัวไว้มานานออก
แล้วใส่ให้เฟยาแต่นางกลับปฏิเสธ และบอกเขาด้วยเหตุผลเมื่อหลายปีก่อน
คือนางไม่ชอบใส่เครื่องประดับ
“ใส่ไว้เถอะ
สร้อยเส้นนี้ข้าใส่ติดตัวไว้ตลอด ถือว่ามันเป็นตัวประกันแล้วกัน
แล้วคืนพระจันทร์สีเลือดข้าจะไปทวงมันคืนจากเจ้า”
เฟยาปล่อยให้เขาใส่สร้อยคริสตัลให้นางง่าย
ๆ “ข้าจะเก็บไว้อย่างดี รอจนกว่าเจ้าจะมาเอามันคืนไป”
“ข้าไม่ปล่อยให้มันอยู่กับเจ้านานหรอกเดวา”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น”
ราตรียังอีกยาวนางทั้งสองใช้เวลาทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า
พูดคุยกันโดยไม่ยอมให้สูญเปล่าทุกวินาที เฟยายังคงให้เขาเล่าเกี่ยวกับดินแดนอื่น ๆ
ที่เขาไปเยือน และนางก็ฟังอย่างตื่นตาตื่นใจ
คีลกอดประคองเฟยาจากด้านหลังในขณะที่เล่า
นางยังคงเกร็งอยู่บ้างแต่ก็มิได้ขัดขืน เขาชื่นชอบกิริยาไร้เดียงสาของนางเหลือเกิน
นางไม่มีจริตจะก้าน ทุกสิ่งที่นางแสดงออกมานั้นตรงไปตรงมา อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด
“เดวา
...ข้าชอบชื่อนี้จัง” เขาพูดอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่น ๆ
ที่เป่ารดอยู่ทำให้นางหน้าแดงอย่างง่ายดาย
“ชื่อนี้อาจารย์เป็นคนตั้งให้ข้า
ตั้งแต่ข้ายังเด็ก อาจารย์บอกว่าชื่อนี้เหมาะกับข้า ชื่อ ‘เดวา’
มีความหมายว่า หญิงผู้มีความงามดั่งเทวา ชวนให้ลุ่มราวกับซาตาน”
เทวาและซาตาน
...ความงดงามของเทวาล้วนประจักษ์ ซาตานและปีศาจร้ายแม้จะไม่งดงามเท่า
แต่กลับมีเสน่ห์รัญจวนอันล้ำลึก ทำให้ผู้คนลุ่มหลงคลั่งไคล้ได้ยิ่งกว่า
เดวา
จึงมีทั้งความงดงามและเสน่ห์อันชวนให้ลุ่มหลง ...เหมาะกับนางอย่างยิ่ง
“เดวา
เป็นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้หลังจากรับข้าเป็นศิษย์ ข้าเองก็มีนามที่บิดามารดาตั้งให้เช่นกัน”
“เช่นนั้นเจ้าชื่ออะไรล่ะ”
เขาอยากรู้เรื่องราวของนาง ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาง
“ข้า...ไม่บอกหรอก”
เขาพลิกตัวนางให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา
สตรีผู้นี้รู้จักมีเล่ห์เหลี่ยมกับเขาด้วยรึ ทำให้เขาอยากรู้ แต่กลับไม่ยอมบอก
“แล้วข้าควรทำเช่นไรเจ้าถึงจะยอมบอกล่ะ”
“คืนพระจันทร์สีเลือด...วันนั้นข้าจะบอกเจ้า”
“แน่นอนว่าวันนั้นข้าย่อมได้รู้แน่นอน”
เขาจูบลงบนกลีบปากเย้ายวนนั้นอีกครั้ง ไม่อยากจากนางไปไหนเลย ท่าทางเก้อเขิน เงอะ
ๆ งะ ๆ ของนางเห็นแล้วให้รู้สึกอยากจับนางกดแล้วทำให้นางเป็นของเขาเสียงตรงนี้
แต่เขาก็มิอาจทำได้
รอจนสมควรแก่เวลา เมื่อนั้นเขาย่อมไม่มีทางยอมปล่อยนางไปแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น