เสียงปิดประตูดังปึง
เป็นเวลาที่อัสคาและเมเรียเข้าห้องไปพักผ่อนเป็นสัญญาณให้ร่างบางที่คอยเงี่ยหูฟังตั้งแต่หัวค่ำ
รีบขยับกาย และพาตนเองมุ่งสู่ป่าต้องห้ามตามนัดหมาย
โดยไม่เอะใจสักนิดว่ามีคนกำลังตามนางมา เฟยาเดินเข้าป่าต้องห้ามอย่างรวดเร็วและชำนาญทาง
แม้รอบกายจะมีแต่ความมืดมิดก็ตาม
นางใช้เวลาเพียงน้อยนิดก็เดินมาถึงต้น
‘เดวา’ ต้นไม้แห่งความทรงจำของนาง
นางจะรอคีลอยู่ที่นี่ตามที่เขาได้สัญญาไว้
นางรอเขามาทุกปีและปีนี้เองที่การรอคอยจะสิ้นสุด
ฉับพลันความร้อนจากแผ่นหลังได้บังเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและลามเลียไปทั่วทุกแห่งในร่างกาย
ร่างบางไม่สามารถหยัดยืนได้จำต้องทรุดลงกับพื้น ความเจ็บปวดที่ค่อย ๆ
ทวีขึ้นทำให้นางหอบหายใจถี่ ความร้อนที่น่าจะระบายออกไปพร้อมกับลมหายใจออก
กลับคอยทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนไฟโหมแรงคอยแผดเผาภายในให้มอดไหม้ไม่ยอม
แต่กระนั้นเฟยาก็ยังข่มความเจ็บปวด ค่อย ๆ ตะเกียกตะกายพาตนเองไปหลบอยู่หลังต้นไม้
เพราะไม่อยากให้คีลมาเห็นนางในสภาพเช่นนี้
แม้ร่างกายจะทรมานจนสุดจะทน
แต่กำลังใจที่จะต่อสู้กลับมีมากมายกว่าครั้งไหน ๆ
ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องพบกับเขาให้ได้
เฟยาค่อย ๆ
ยืนขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มีไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดมากมายที่โถมเข้าใส่
ร่างกายโงนเงนไม่มั่งคงพยายามประคองตนไม่ให้ล้ม มือหนึ่งคอยเกาะต้นไม้ไว้เป็นหลัก
อีกมือหนึ่งเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายเต็มดวงหน้า ลมหายใจหอบถี่ไม่หยุด
ความเจ็บปวดทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จู่ ๆ
ต้นเดวาก็มีละอองแสงล้อมรอบสว่างไสว ๆ ไปหมด เหมือนครั้งที่คีลต้องเดินทางออกจากอีสการ์ดพร้อมคณะของรายาองค์ก่อน
นี่คือเครื่องหมายที่เขาทำไว้
...เฟยายิ้มออกมา ในที่สุดเขาก็มาแล้ว
นางพยายามประคองร่างกายของตนให้เดินไปที่ด้านหน้าของต้นไม้
ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยเจ็บปวดอย่างสุดแสน แต่กระนั้นเมื่อได้ยินเสียงของเขา
ความเจ็บปวด ความทรมานทั้งหลายก็พลันหายไปอย่างสิ้นเชิง
เหลือเพียงความรู้สึกที่ท่วมท้นใจอยู่ในขณะนี้
“เดวาของข้า”
คีลกำลังเรียกนาง
“ท่าน” เสียงที่แทรกขึ้นมาทำให้เฟยาหยุดชะงัก
นั่นไม่ใช่เสียงของนาง แต่เสียงนั่น...เฟเรีย!
เป็นไปได้อย่างไรกัน
ทำไมเฟเรียถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อย่าว่าแต่อยู่ที่นี่เลย
ทำไมเฟเรียถึงได้เข้ามาในป่าต้องห้ามได้
“เป็นท่านจริง
ๆ หรือนี่”
เสียงของเฟเรียทำให้เฟยาไม่กล้าปรากฏตัว
นางทำได้แต่ลอบมองคนทั้งคู่
แสงสว่างที่โอบล้อมต้นไม้ได้หายไปแล้ว
คีลจึงสร้างดวงไฟสีเหลืองนวลงดงามขึ้นมาให้ความสว่าง
แต่ก็เป็นเพียงความสว่างริบหรี่พอให้เห็นอย่างรางเลือนตามความประสงค์ของผู้ใช้เวทย์เท่านั้น
และนั่นก็ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นเฟยาที่กำลังแอบมองคนทั้งคู่
“ท่านมาหาข้าหรือ”
น้ำเสียงอ่อนหวานเอื้อนเอ่ยอย่างนุ่มนวล
“ถ้าข้าไม่มาหาเจ้าแล้วข้าควรจะมาหาใครหรือ
เดวา”
เฟเรียแปลกใจนักว่าทำไมเขาถึงเรียกนางว่า
‘เดวา’ ชื่อนี้มีความหมายว่าอย่างไรกัน
แต่ความสงสัยก็หมดไปเมื่อบุรุษเบื้องต้นได้ถามนางว่า
“คราวนี้ข้าคงได้รู้แล้วสินะว่าเจ้ามีนามที่แท้จริงว่าอะไร”
“ข้า...”
‘ไม่นะเฟเรีย
อย่าพูดชื่อของเจ้านะ’ เสียงที่ไม่สามารถเปล่งออกมาได้
ได้แต่ตะโกนอยู่ในใจ เหตุการณ์ไม่ควรเป็นเช่นนี้ คนที่ควรยืนอยู่ตรงนั้นควรเป็นนาง
ไม่ใช่เฟเรีย
“ข้าชื่อเฟเรีย”
พูดจบเฟเรียกลับก้มหน้างุด ท่าทางขัดเขินของนางทำให้คีลแปลกใจ เขาไม่เคยเห็นนางเขินอายเยี่ยงสตรีทั่วไปเช่นนี้
ที่ผ่านยามนางขัดเขิน นางมักจะทำแค่หลุบสายตาลงเท่านั้น
ทว่า
เมื่อเห็นจี้คริสตัลที่ห้อยอยู่ที่คอ เขาก็ขจัดความสงสัยทั้งสิ้นทิ้งไป จี้คริสตัลนี้เขาเป็นคนสวมให้นางเองกับมือ
ไม่มีทางจะเป็นคนอื่นได้ และที่สำคัญ...หญิงที่งดงามเช่นนี้จะมีถึงสองได้อย่างไร
คีลเอื้อมมือไปจับจี้คริสตัลของตนที่อยู่บนคอของเฟเรีย
แล้วยกมันขึ้นมาจรดกับริมฝีปาก
“รักษาไว้ให้ดีล่ะ”
เฟเรียตื่นเต้นจนพูดไม่ออก
นางทำได้แค่พยักหน้าตอบเท่านั้น ถึงจี้ชิ้นนี้จะไม่ใช่ของนางตั้งแต่ต้น
แต่นับจากนี้ไปนางจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี เพราะมันเป็นสัมผัสจากคนที่นางหลงรัก
ใบหน้าคมคายที่ยิ้มอย่างพึงพอใจค่อย
ๆ โน้มลงมาใกล้ เฟเรียได้แต่ยืนนิ่งรอคอยสัมผัสจากเขา
...นางรู้ดีกว่ากระทำเช่นนี้ไม่งาม แต่นางกลับห้ามใจตนเองไม่ได้
‘หยุดนะ อย่าทำอย่างนั้น
นั่นไม่ใช่นางนะคีล’
เฟยาที่แอบมองจากด้านหลังตะโกนก้องอยู่ในใจ ภาพเบื้องหน้ายิ่งกว่าตราสะกดบนแผ่นหลังนางเสียอีก
เจ็บกายไม่เท่าไรแต่เจ็บที่หัวใจนี่สิ...
“หยุดนะ”
คราวนี้เฟยาเปล่งเสียงออกมา ทว่ามันกลับไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย
นางอ่อนแรงเกินกว่าจะกระทำการใด ๆ ได้อีกแล้ว แม้ว่าจะพยายามเปล่งเสียงออกมาสักเท่าใด
ก็มีเพียงแค่ลมปากเท่านั้น
หรือนางจะต้องเสียเขาไป
เสียเขาให้เฟเรีย
เมื่อเห็นคนที่รักจำนางไม่ได้
ความรู้สึกโศกเศร้าเริ่มเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง
ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่เข้าใกล้กันทีละนิด ทีละนิดด้วยแล้ว
ความอัดอั้นในใจพลันถูกปลดปล่อยออกมาอย่างคาดไม่ถึง
เปรี้ยง!!!
แสงสว่างวาบและเสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า
ก้อนเมฆที่ไม่อาจมองเห็นในยามราตรีเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว
สายลมพัดกรรโชกแรงดั่งพายุ ต้นไม้ไหวสะเทือนโยกคลอน
ความแปรปรวนอันผิดปกติโหมกระหน่ำรุนแรงทำให้ทั้งคู่ผละออกจากกันเพราะความตกใจ
เปรี้ยง!!!
“กรี๊ด” ฟ้าผ่าเกิดขึ้นอีกครั้งและใกล้มาก
เฟเรียตกใจโผเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคีล ตัวนางสั่นน้อย ๆ เหมือนลูกนกผู้อ่อนแอ
ทำให้คีลต้องกอดนางไว้หลวม ๆ พร้อมทั้งปลอบประโลมนางให้หายตกใจ
สิ่งที่เกิดขึ้นดูผิดธรรมชาติ
หากมองเผิน ๆ จะดูเหมือนภัยธรรมชาติ ทว่าด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้คีลมองออกว่าเกิดจากอำนาจเวทย์
และเป็นอำนาจเวทย์ที่มหาศาลขนาดบงการลมฝนได้
ไม่ทันไรพื้นดินก็เริ่มสั่นไหว
ยิ่งทำให้เฟเรียกลัวยิ่งขึ้นจนคีลตัดสินใจพานางออกจากป่าแห่งนี้ เหลือไว้เพียงความสงสัยต่ออำนาจเวทย์ที่สามารถแม้กระทั่งสั่นคลอนพื้นดินได้
เฟยาถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง
อำนาจเวทย์รั่วไหลออกมาในขณะที่ตราสะกดกำเริบ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
แน่นอนว่าร่างกายของนางเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ จนสติเริ่มพร่าเลือน
ปากกระอักเลือดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าร่างกายกลับไม่สามารถหมดสติลงได้ เพราะความเจ็บปวดที่คอยทิ่มแทงไปทุกส่วน
เส้นเลือดทุกเส้น ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่มีที่ใดที่นางไม่รู้สึกเจ็บ
แต่ยิ่งกว่าร่างกายที่ทรมาน หัวใจที่กำลังเต้นอยู่กลับเจ็บยิ่งกว่า
จนพาลนึกอยากให้มันหยุดเอาเสียดื้อ ๆ
พลันสติดับวูบ
ร่างบางร่วงลงสู่พื้นดินไม่ได้สติอีกต่อไปเป็นเวลาเดียวกับที่พื้นดินหยุดสั่นไหว
และสายลมสงบนิ่ง มีเพียงร่างกายที่บอบช้ำท่ามกลางความมืดมิดของป่าต้องห้าม
ต่อจากนี้ไปนางคงไม่เหลือใครอีกแล้ว
เรื่องนี้เป็นหนังสือรึยังคะ อยากซื้อเก็บไว้ค่ะ
ตอบลบยังแต่ไม่เสร็จเลยค่ะ
ลบ