ท่ามกลางอากาศร้อนและแสงแดดยามบ่าย
ทำให้ชายหนุ่มผู้ลงมาจากรถส่วนตัวถึงกับหยีตาเพราะทนสู้ความสว่างจ้าของแสงแดดไม่ไหว
ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถที่เพิ่งผละมาเมื่อครู่
มลายหายไปอย่างรวดเร็วแทนที่ด้วยความร้อนเหนอะหน่ะจนต้องคลายเน็คไทที่คอออก
ชายหนุ่มเดินไปตามทางเท้าที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน
หากวันนนี้เขาไม่มีนัดกับคนสำคัญเขาคงไม่ยอมออกมาจากห้องแอร์เย็น ๆ
ในตอนบ่ายที่อากาศร้อนที่สุดอย่างนี้
เดินมาได้สักพักก็ถึงร้านกาแฟที่อยู่ติดถนนซึ่งเป็นสถานที่ที่เขานัดพบกับคนสำคัญ
ชายหนุ่มมองย้อนกลับไปตามทางที่ตนเองเดินมา แทบจะทุกตารางนิ้วริมทางเท้ามีรถยนต์จอดจองไว้แล้วทั้งนั้น
ทำให้เขาต้องเสียเวลาจอดรถเลยร้านไปอีก จากนั้นก็ต้องลงเดินฝ่าความอันแสนจะไม่ชอบ
เขามองดูเวลาที่ข้อมือ อย่างน้อยเขาก็มาถึงก่อนเวลานัด 5 นาที
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในร้านสัมผัสกับอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
กลิ่นกาแฟหอม ๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงมาก จากนั้นจึงเดินไปที่เคาท์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มเย็น
ๆ มาดับกระหาย
พนักงานเห็นลูกค้าเดินเข้ามาที่หน้าเคาท์เตอร์
ก็รีบวางทุกอย่างเพื่อต้อนรับ แต่ไหนเลยลูกค้าผู้ชายคนนี้ถึงได้ทำให้ผู้หญิงถึงกับตาค้างเพราะใบหน้าอันมีเสน่ห์ดึงดูดใจ
ชายหนุ่มดูเมนูแล้วสั่งกาแฟเย็นในขณะนั้นเองสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นหญิงสาวผมยาวนั่งอยู่มุมในสุดของร้าน
ร้านทั้งร้านมองยังไงก็ไม่มีแขกมานั่ง ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องเข้าไปนั่งมุมในสุดของร้านก็ไม่รู้
เขารู้ว่าเธออยากได้ความเป็นส่วนตัว แต่เห็นอย่างนี้แล้วมันก็เกินไปหน่อย
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาว
เขายืนอยู่ตรงหน้าหล่อนรอจนหล่อนเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าเรียวเล็กที่ปรากฏแก่สายตา
ดวงตากลมโต ปากได้รูป จมูกรั้นนิด ๆ นั่น เห็นแล้วทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ชาลีใช่ไหม” เขาถามหญิงสาวตรงหน้า ทั้ง ๆ
ที่เขาแน่ใจอยู่แล้วว่าเป็นเธอ
“คุณ...ธีธัช”
เป็นหญิงสาวเองที่ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่เธอนัดมา
เป็นลูกชายเพื่อนสนิทของแม่ หรือดารานายแบบกันแน่
ขนาดอยู่ในชุดที่ไม่เรียบร้อยเท่าไรเขายังดูดีและมีเสน่ห์ได้ถึงขนาดนี้
ใบหน้าคมคาย ผิวขาว ตาคมดูเจ้าเล่ห์ แต่จมูกกลับโด่งสวยรับกับใบหน้าและริมฝีปาก
เข้ากันดีอย่างพอเหมาะพอเจาะ
ชายหนุ่มเข้าไปนั่งตรงข้ามหญิงสาวพร้อมกับสำรวจท่าทางของเธอไปด้วย
“คือว่า...” หญิงสาวเริ่มเข้าบทสนทนา เพราะยิ่งเริ่มช้าก็ยิ่งรู้ผลช้า
“คุณรู้ใช่ไหมคะว่าคุณจะต้องแต่งงานกับฉันอาทิตย์หน้า”
เธอพูดจากับชายหนุ่มค่อนข้างสุภาพ เพราะเขาอายุมากกว่าเธอ
“ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ”
“แล้วคุณคิดยังไงกับการแต่งงานครั้งนี้ล่ะคะ
เราไม่เคยเจอกันมาก่อนแล้วจู่ ๆ ก็ต้องมาแต่งงานกัน คุณยอมรับได้เหรอ”
จากคำพูดของเธอแสดงว่าเธอไม่ยอมรับกับการแต่งงานครั้งนี้
...แต่เขาไม่ใช่
“ผมยอมรับได้นะ”
เขาพูดพร้อมรอยยิ้มอันสดใสที่ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องหลงใหล
ซึ่งเขาพิสูจน์มาแล้วเป็นระยะเวลาหลายปี
“ทำไม เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แล้วเราจะแต่งงานกันได้ยังไง เรื่องแต่งงานมันเรื่องใหญ่นะคะ
โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง”
“สำหรับผมก็เรื่องใหญ่
แล้วตอนนี้เราก็รู้จักกันแล้วด้วย” เขาพูดอย่างสบายอกสบายใจ
เธอเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา อยากจะลงไม้ลงมือกับใบหน้ายียวนนั่นเหลือเกิน
หญิงสาวข่มอารมณ์ไม่ให้ตัวเองลุกขึ้นไปข่วนหน้าคนตรงหน้า
เธอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่อยากแต่งงาน แต่ฉันก็ไม่มีกำลังพอจะล้มเลิกงานนี้ได้
ฉันถึงอยากให้คุณเป็นฝ่ายปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้แทน”
“ผมไม่ทำ”
ก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
เครื่องดื่มที่ทั้งสองคนสั่งได้ถูกยกมาเสริฟพร้อมกันพอดี
“ชาลี คุณนี่ประหลาดนะ
ผู้หญิงส่วนใหญ่ของอยากแต่งงานกันจะตาย ทำไมคุณถึงไม่อยากแต่งงาน
ปฏิเสธการแต่งงานอย่างนี้
คุณไม่รู้สึกผิดกับผู้หญิงที่เขาอยากแต่งแต่ไม่ได้แต่งบ้างเหรอ”
ว่ายังไงนะ เธอเนี่ยนะประหลาด
คนประหลาดคือเขาสิไม่ว่า แถมยังยกเหตุผลบ้าบออะไรขึ้นมาอ้างก็ไม่รู้ เห็นทีเธอต้องบอกความจริงเขาไป
“ฉันมีแฟนแล้ว เรากำลังคบหากันอยู่”
เธอมองมือที่กำลังถือแก้วกาแฟยกค้างอยู่กลางอากาศ
เมื่อได้ยินเธอบอกว่าเธอมีแฟนแล้ว ...หรือว่าเรื่องที่เธอมีแฟนแล้วทำให้เขาตกใจ
“ใคร” เขาหันมาจ้องเธอ ท่างทางสบาย ๆ นั่นเปลี่ยนไปจนแทบไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าจะเป็นคน
ๆ เดียวกับคนยียวนที่เธออยากข่วนหน้านัก
“ถามว่าใคร” ท่าทีคุกคามของเขาทำให้หญิงสาวปรับตัวไม่ทันแต่ก็ยังเอ่ยตอบเขาไปได้
“รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย เราคบกันมาได้เกือบ 2
ปีแล้ว ตอนนี้เขาไปเรียนต่อที่เมืองนอก”
ชายหนุ่มจ้องหน้าว่าที่เจ้าสาวในอนาคตพร้อมกับพิจารณาเรื่องราวไปด้วย
เวลาผ่านไปสักพักเมื่อเขาสรุปทุกอย่างให้กับตนเองได้
ก็กลับมามีท่าทีผ่อนคลายเหมือนเดิม
“ยังไงเจ้าสาวของผมก็ยังต้องเป็นคุณอยู่ดี”
หญิงแทบไม่เชื่อหูตนเอง
ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังจะให้การแต่งงานดำเนินต่อไปอย่างนั้นเหรอ
โดยที่คนสองคนไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน ไม่เคยคบหาดูใจ หรือรู้จักนิสัยกันมาก่อนน่ะเหรอ
แต่ในเมื่อเธอไม่สามารถล้มงานแต่งงานได้
เธอก็ต้องใช้แผน 2
หญิงสาวล้วงกระดาษออกมาจากกระเป๋า
ในนั้นมีสัญญาที่เธอร่างไว้เผื่อเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่หวัง กระดาษมี 2 แผ่น
สำหรับเธอและเขาคนละแผ่น เนื้อความข้างในเหมือนกันทุกประการ
เป็นข้อตกลงหลังแต่งงานที่เธอคิดขึ้นมา
“อะไรเนี่ย”
ชายหนุ่มอ่านออกเสีย “ข้อ 1 ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ห้ามลวนลาม
รวมถึงห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน” เขามองเธอทีนึงแล้วแล้วอ่านข้อต่อไป “ข้อ 2
ห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ข้อ 3
เมื่อครบกำหนด 1 ปีต้องหย่าขาดจากกัน”
ข้อตกลงของเธอมีแค่
3 ข้อเท่านั้น แต่ละข้ออ่านแล้วปวดจี๊ดที่หัวใจเลยทีเดียว
“ถ้าจะแต่งงานก็ต้องมาตกลงทำสัญญากันก่อน
ถือว่ายอมถอยคนละก้าว ถ้าคุณเซ็นต์ ฉันก็ยอมแต่ง” หญิงสาวเสนอ ในมือข้างหนึ่งถือสัญญาอีกข้างถือปากกาเตรียมรอให้เขาเซ็นต์
ชายหนุ่มมองใบหน้าเธอที
สลับมองใบสัญญาที แล้วจู่ ๆ เขาก็ดึงสัญญาอีกแผ่นจากมือเธอ
ก่อนจะฉีกสัญญาทั้งสองเป็นชิ้นเล็กน้อย
แล้วโปรยขึ้นในอากาศให้มันร่วงลงพื้นกลายเป็นเศษกระดาษธรรมดา
เธอมองตามเศษกระดาษที่ปลิวอยู่ในอากาศจนตกลงพื้น
แผนที่เธอคิดมาทั้งคืนถูกเขาทำลายซะไม่มีชิ้นดี แถมเขายังพูดขึ้นมาว่า
“ไร้สาระจริงเลยคุณ”
ปรี๊ด!!!
ขีดจำกัดของเธอมาถึงแล้ว
ใครจะจับเธอแต่งงานก็ช่างปะไร อย่างมากก็แค่หนีไปเท่านั้นแหละ
คอยดูสิว่างานแต่งที่ไม่มีเจ้าสาวมันจะเป็นยังไง
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้เตรียมออกจากร้าน
แต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มคว้าเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ ฟังผมหน่อย”
น้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับท่าทางกวนประสาททำให้เธอเผลอนั่งลงกับที่โดยไม่รู้ตัว
“เรื่องแต่งงาน ผมอยากแต่งกับคุณจริง ๆ นะ แล้วที่คุณว่าเราไม่เคยรู้จักกัน จริง ๆ
แล้วเราเคยเจอกันแล้วนะแต่คุณอาจจำไม่ได้เอง แต่ก็ช่างมันเถอะ
ถือว่าเรารู้จักกันเสียตั้งแต่วันนี้เลย ส่วนเรื่องสัญญา...”
เขามองเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ตกตามพื้น
“เรื่องหย่าหรือไม่หย่านั้นเป็นเรื่องในอนาคต
เรากะเกณฑ์กันไม่ได้หรอก ส่วนที่ว่าห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัว... แต่งงานกันแล้ว
เรื่องส่วนตัวของผมก็เหมือนเรื่องส่วนตัวของคุณ
เรื่องส่วนตัวของคุณก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผม คุณไม่ให้ยุ่งก็คงไม่ได้
แล้วเรื่องแตะเนื้อต้องตัว ...ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ อย่างน้อยผมก็อยากจับมือถือแขนภรรยาผมนะ”
ได้ยินเขาพูดคำว่า ‘ภรรยา’ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอกลับรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน
จนใบหูทั้งสองข้างที่อยู่ใต้เรือนผมดกดำเริ่มเป็นสีชมพูเข้มขึ้นอย่างรู้ตัว
“แล้วถ้าคุณกังวลเรื่องบนเตียง
อันนี้ผมบอกได้เลยว่าผมเป็นสุภาพบุรุษพอ ผมไม่มีทางข่มเหงคุณแน่นอน
และผมก็ไม่มีนิสัยชอบลวนลามผู้หญิงด้วย คุณสบายใจได้ ...ส่วนสัญญานั่นก็เป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว
อย่าเอากระดาษแผ่นเดียวมาผูกมัดเราดีกว่า มันไม่มีค่าอะไรหรอก”
ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นเธอกลับรู้สึกว่าคำพูดของเขาเชื่อถือได้มากกว่าการลงนามในสัญญาเสียอีก
แต่ว่า...
“ฉันมีแฟนแล้ว” เธอไม่สามารถแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก
“ผมไม่สน” เขากุมมือเธอไว้ “ผมจะทำให้คุณเปลี่ยนใจมารักผมเอง
ยังไงเจ้าสาวของผมก็ต้องเป็นคุณคนเดียวเท่านั้น ...แต่งงานกับผมเถอะนะ”
หญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะ นี่เขากำลังขอเธอแต่งงานอยู่เหรอ
เธอนัดเขามานี่เพื่อให้เขาปฏิเสธเรื่องแต่งงาน ไม่ใช่ให้เขามาขอเธอแต่งงานหรอกนะ
แต่ว่า...ชีวิตหนึ่งของลูกผู้หญิงมีผู้ชายมาขอแต่งงานอย่างนี้
ใจเธอกลับเต้นไม่เป็นส่ำจนแทบจะหลุดปากตอบตกลงเขาในทันที
ใบหูที่เริ่มเป็นสีชมพูเข้มกลับแดงยิ่งขึ้นไป
เมื่อตนเองไม่มีทางหนีการแต่งงานพ้น หญิงสาวจึงยื่นข้อเสนอ
ให้เรื่องการแต่งงานนี้รู้กันภายในครอบครัว
“ทำไม” เขาถามแต่เธอไม่บอกเหตุผล แต่เธออ้างว่าให้ถอยคนละก้าว
และเธอก็ขอร้อง ...ในเมื่อเธอขอร้อง ทำไมเขาจะทำให้ไม่ได้ล่ะ
ใจจริงเขาไม่อยากให้เรื่องแต่งงานเป็นความลับแค่ในครอบครัวเท่านั้น
เขาอยากทำให้มันเปิดเผย ...แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่ง
มันอาจจะสนุกก็ได้
ความคิดสายหนึ่งไหลเข้ามาในหัวคนเจ้าเล่ห์อย่างต่อเนื่อง
ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก ยิ่งคิด ว่าที่เจ้าสาวของเขาก็ยิ่งดิ้นไม่หลุด ...ใบหน้าเจ้าเล่ห์ยิ้มเยือนแล้วตอบตกลง
คอยดูเถอะเขาจะทำให้เธอเป็นของเขาทั้งตัวและใจ
“ขอบคุณ ในเมื่อคุณตกลงแล้ว...ฉันก็อยากให้งดจัดงานเลี้ยง
อย่างมากกินเลี้ยงแค่ภายในครอบครัวก็พอ”
“ได้ เรื่องนี้ผมจัดการให้เองคุณสบายใจได้
แต่คุณคงไม่ลืมเรื่องจดทะเบียนหรอกนะ”
หญิงสาวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
ใจจริงเธอก็อยากเนียนไม่ต้องจดทะเบียน แต่เขาดันพูดขึ้นมาซะก่อน
“ผมยอมคุณขนาดนี้แล้ว กะแค่เรื่องจดทะเบียนสมรส
คงไม่นักหนาเกินไปนะ” ไม่มีงานเลี้ยงไม่ว่า แต่เรื่องจดทะเบียนสมรสยอมไม่ได้
เขาต้องได้เธอมาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ...มีทะเบียบอยู่ในมือถือว่าได้ชัยไปกว่าครึ่ง
“ตกลง” ถอยคนละก้าว เขายอมถอยเธอก็ต้องถอย
เขายอมตามใจเธอ เธอก็ต้องตามใจเขาบ้าง
ชาลินีกลับบ้านพร้อมกับความวุ่นวายในใจ
ไม่รู้ว่าที่ตัดสินใจไปมันจะนำพาอนาคตเช่นไรมาให้
เธอเปิดกระเป๋าสตางค์ดูรูปคู่ของเธอกับวสันต์รุ่นพี่ที่กำลังคบหาดูใจกันอยู่
ตั้งแต่เขาสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ เธอกับเขาก็เริ่มห่างกันมากขึ้น ช่วงแรก
ๆ เขาจะโทรศัพท์มาหาเธอบ้าง อีเมลมาหาเธอบ้าง แต่ก็แค่ช่วง 3 เดือนเท่านั้น
หลังจากนั้นจนผ่านมาเกือบปี การติดต่อก็ขาดหายไป จนเธอหวั่นใจว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขา
แต่เพื่อนเธอที่ไปเรียนประเทศเดียวกันบอกว่าเขาอยู่สุขสบายดี เมื่อได้รู้อย่างนี้เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นแต่ก็อดพ้อเขาไม่ได้
ว่าเขาไม่คิดถึงเธอบ้างเลยหรือถึงไม่ยอมติดต่อมาหาเธอบ้าง
พอดูรูปแฟนที่อยู่ห่างกันเกือบครึ่งค่อนโลก
เธอกลับนึกถึงพ่อกับแม่ที่อยู่ห่างกันแค่ประตูกั้นซะงั้น
ไม่รู้ทำไมพวกท่านถึงไม่ชอบวสันต์นักหนา หน้าตาเขาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่
ถึงจะไม่หล่อเหลาเหมือนว่าที่สามีเธอก็เถอะ
แต่แฟนของเธอก็จัดได้ว่าหน้าตาดีพอใช้ได้คนหนึ่ง นิสัยก็ดี
ถึงจะไม่ร่ำรวยแต่ก็เป็นคนขยันคนหนึ่ง พ่อกับแม่ของเธอเองก็ไม่ใช่คนที่ตัดสินคนอื่นจากฐานะ
...แล้วทำไมพวกท่านถึงขัดขวางที่เธอจะคบกับวสันต์นัก
ถึงขั้นบังคับให้เธอแต่งงานกับธีธัช ลูกชายเพื่อนสนิทของแม่
เธอจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเรื่องทุนการศึกษาของวสันต์มันค้ำคอ
ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ใช้เส้นสายอะไร ทุนที่วสันต์สอบชิงได้
จากที่นึกว่าเป็นทุนรัฐบาลกลับกลายเป็นทุนจากพ่อแม่เธอซะงั้น
พอเธอดื้อแพ่งจะไม่ยอมแต่งงาน พวกท่านก็บอกว่าจะตัดทุนที่ให้วสันต์
ลอยเคว้งเขาอย่างไม่ใยดี ...ทำให้เธอไม่สามารถล้มการแต่งงานได้ดั่งใจ
ถึงได้บากหน้าไปให้ธีธัชล้มการแต่งงาน แต่กลับ...ถูกขอแต่งงานเสียอีก
เสียงของธีธัชเมื่อตอนขอเธอแต่งงานยังติดหูอยู่เลย
น้ำเสียงอ่อนโยนทว่าแฝงไว้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม หากคนที่พูดกับเธอเป็นคนที่เธอรัก
มันคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
น่าเสียดายที่เธอและเขาต่างก็ไม่ใช่คนรักกัน
2 วันต่อมา ธีธัชได้ทำให้ชาลินีได้ทึ่งในความสามารถเล็ก
ๆ ของธีธัชชายหนุ่มสามารถเกลี้ยกล่อมผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายให้งดจัดเลี้ยงฉลองสมรส
พิธีการทั้งหมดมีเพียงแค่จดทะเบียนและกินเลี้ยงกันภายในสองครอบครัวเท่านั้น
ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจมากที่พ่อแม่ของชาลินีเห็นดีเห็นงามด้วย
เพราะปกติแล้วพวกท่านต้องไม่ยอมและก็จะโวยวายเอาเรื่อง
ลูกสาวคนเดียวของพวกท่านจะแต่งงาน พวกท่านไม่มีทางยอมให้ทำอย่างลวก ๆ ผ่านไปได้
ความเก่งกาจของธีธัชได้ช่วยหญิงสาวเอาไว้
เพราะเธออยากให้เรื่องแต่งงานในครั้งนี้มีคนรู้น้อยที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น