หน้าเว็บ

ปฏิบัติการที่ 1 : จับแต่งงาน



                ท่ามกลางอากาศร้อนและแสงแดดยามบ่าย ทำให้ชายหนุ่มผู้ลงมาจากรถส่วนตัวถึงกับหยีตาเพราะทนสู้ความสว่างจ้าของแสงแดดไม่ไหว ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถที่เพิ่งผละมาเมื่อครู่ มลายหายไปอย่างรวดเร็วแทนที่ด้วยความร้อนเหนอะหน่ะจนต้องคลายเน็คไทที่คอออก
                ชายหนุ่มเดินไปตามทางเท้าที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน หากวันนนี้เขาไม่มีนัดกับคนสำคัญเขาคงไม่ยอมออกมาจากห้องแอร์เย็น ๆ ในตอนบ่ายที่อากาศร้อนที่สุดอย่างนี้
เดินมาได้สักพักก็ถึงร้านกาแฟที่อยู่ติดถนนซึ่งเป็นสถานที่ที่เขานัดพบกับคนสำคัญ ชายหนุ่มมองย้อนกลับไปตามทางที่ตนเองเดินมา แทบจะทุกตารางนิ้วริมทางเท้ามีรถยนต์จอดจองไว้แล้วทั้งนั้น ทำให้เขาต้องเสียเวลาจอดรถเลยร้านไปอีก จากนั้นก็ต้องลงเดินฝ่าความอันแสนจะไม่ชอบ เขามองดูเวลาที่ข้อมือ อย่างน้อยเขาก็มาถึงก่อนเวลานัด 5 นาที
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในร้านสัมผัสกับอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ กลิ่นกาแฟหอม ๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วร้าน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงมาก จากนั้นจึงเดินไปที่เคาท์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มเย็น ๆ มาดับกระหาย
พนักงานเห็นลูกค้าเดินเข้ามาที่หน้าเคาท์เตอร์ ก็รีบวางทุกอย่างเพื่อต้อนรับ แต่ไหนเลยลูกค้าผู้ชายคนนี้ถึงได้ทำให้ผู้หญิงถึงกับตาค้างเพราะใบหน้าอันมีเสน่ห์ดึงดูดใจ
ชายหนุ่มดูเมนูแล้วสั่งกาแฟเย็นในขณะนั้นเองสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นหญิงสาวผมยาวนั่งอยู่มุมในสุดของร้าน
ร้านทั้งร้านมองยังไงก็ไม่มีแขกมานั่ง ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องเข้าไปนั่งมุมในสุดของร้านก็ไม่รู้ เขารู้ว่าเธออยากได้ความเป็นส่วนตัว แต่เห็นอย่างนี้แล้วมันก็เกินไปหน่อย
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาว เขายืนอยู่ตรงหน้าหล่อนรอจนหล่อนเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าเรียวเล็กที่ปรากฏแก่สายตา ดวงตากลมโต ปากได้รูป จมูกรั้นนิด ๆ นั่น เห็นแล้วทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ชาลีใช่ไหม” เขาถามหญิงสาวตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่เขาแน่ใจอยู่แล้วว่าเป็นเธอ
“คุณ...ธีธัช” เป็นหญิงสาวเองที่ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่เธอนัดมา เป็นลูกชายเพื่อนสนิทของแม่ หรือดารานายแบบกันแน่ ขนาดอยู่ในชุดที่ไม่เรียบร้อยเท่าไรเขายังดูดีและมีเสน่ห์ได้ถึงขนาดนี้ ใบหน้าคมคาย ผิวขาว ตาคมดูเจ้าเล่ห์ แต่จมูกกลับโด่งสวยรับกับใบหน้าและริมฝีปาก เข้ากันดีอย่างพอเหมาะพอเจาะ
ชายหนุ่มเข้าไปนั่งตรงข้ามหญิงสาวพร้อมกับสำรวจท่าทางของเธอไปด้วย
“คือว่า...” หญิงสาวเริ่มเข้าบทสนทนา เพราะยิ่งเริ่มช้าก็ยิ่งรู้ผลช้า “คุณรู้ใช่ไหมคะว่าคุณจะต้องแต่งงานกับฉันอาทิตย์หน้า” เธอพูดจากับชายหนุ่มค่อนข้างสุภาพ เพราะเขาอายุมากกว่าเธอ
“ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะ”
“แล้วคุณคิดยังไงกับการแต่งงานครั้งนี้ล่ะคะ เราไม่เคยเจอกันมาก่อนแล้วจู่ ๆ ก็ต้องมาแต่งงานกัน คุณยอมรับได้เหรอ”
จากคำพูดของเธอแสดงว่าเธอไม่ยอมรับกับการแต่งงานครั้งนี้ ...แต่เขาไม่ใช่
“ผมยอมรับได้นะ” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มอันสดใสที่ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องหลงใหล ซึ่งเขาพิสูจน์มาแล้วเป็นระยะเวลาหลายปี
“ทำไม เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วเราจะแต่งงานกันได้ยังไง เรื่องแต่งงานมันเรื่องใหญ่นะคะ โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง”
“สำหรับผมก็เรื่องใหญ่ แล้วตอนนี้เราก็รู้จักกันแล้วด้วย” เขาพูดอย่างสบายอกสบายใจ เธอเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา อยากจะลงไม้ลงมือกับใบหน้ายียวนนั่นเหลือเกิน
หญิงสาวข่มอารมณ์ไม่ให้ตัวเองลุกขึ้นไปข่วนหน้าคนตรงหน้า เธอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่อยากแต่งงาน แต่ฉันก็ไม่มีกำลังพอจะล้มเลิกงานนี้ได้ ฉันถึงอยากให้คุณเป็นฝ่ายปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้แทน”
“ผมไม่ทำ”
ก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เครื่องดื่มที่ทั้งสองคนสั่งได้ถูกยกมาเสริฟพร้อมกันพอดี
“ชาลี คุณนี่ประหลาดนะ ผู้หญิงส่วนใหญ่ของอยากแต่งงานกันจะตาย ทำไมคุณถึงไม่อยากแต่งงาน ปฏิเสธการแต่งงานอย่างนี้ คุณไม่รู้สึกผิดกับผู้หญิงที่เขาอยากแต่งแต่ไม่ได้แต่งบ้างเหรอ”
ว่ายังไงนะ เธอเนี่ยนะประหลาด คนประหลาดคือเขาสิไม่ว่า แถมยังยกเหตุผลบ้าบออะไรขึ้นมาอ้างก็ไม่รู้ เห็นทีเธอต้องบอกความจริงเขาไป
“ฉันมีแฟนแล้ว เรากำลังคบหากันอยู่” เธอมองมือที่กำลังถือแก้วกาแฟยกค้างอยู่กลางอากาศ เมื่อได้ยินเธอบอกว่าเธอมีแฟนแล้ว ...หรือว่าเรื่องที่เธอมีแฟนแล้วทำให้เขาตกใจ
“ใคร” เขาหันมาจ้องเธอ ท่างทางสบาย ๆ นั่นเปลี่ยนไปจนแทบไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าจะเป็นคน ๆ เดียวกับคนยียวนที่เธออยากข่วนหน้านัก
“ถามว่าใคร” ท่าทีคุกคามของเขาทำให้หญิงสาวปรับตัวไม่ทันแต่ก็ยังเอ่ยตอบเขาไปได้
“รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย เราคบกันมาได้เกือบ 2 ปีแล้ว ตอนนี้เขาไปเรียนต่อที่เมืองนอก”
ชายหนุ่มจ้องหน้าว่าที่เจ้าสาวในอนาคตพร้อมกับพิจารณาเรื่องราวไปด้วย เวลาผ่านไปสักพักเมื่อเขาสรุปทุกอย่างให้กับตนเองได้ ก็กลับมามีท่าทีผ่อนคลายเหมือนเดิม
“ยังไงเจ้าสาวของผมก็ยังต้องเป็นคุณอยู่ดี”
                หญิงแทบไม่เชื่อหูตนเอง ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังจะให้การแต่งงานดำเนินต่อไปอย่างนั้นเหรอ โดยที่คนสองคนไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน ไม่เคยคบหาดูใจ หรือรู้จักนิสัยกันมาก่อนน่ะเหรอ
                แต่ในเมื่อเธอไม่สามารถล้มงานแต่งงานได้ เธอก็ต้องใช้แผน 2
                หญิงสาวล้วงกระดาษออกมาจากกระเป๋า ในนั้นมีสัญญาที่เธอร่างไว้เผื่อเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่หวัง กระดาษมี 2 แผ่น สำหรับเธอและเขาคนละแผ่น เนื้อความข้างในเหมือนกันทุกประการ เป็นข้อตกลงหลังแต่งงานที่เธอคิดขึ้นมา
                “อะไรเนี่ย” ชายหนุ่มอ่านออกเสีย “ข้อ 1 ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ห้ามลวนลาม รวมถึงห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน” เขามองเธอทีนึงแล้วแล้วอ่านข้อต่อไป “ข้อ 2 ห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน  ข้อ 3 เมื่อครบกำหนด 1 ปีต้องหย่าขาดจากกัน”
                ข้อตกลงของเธอมีแค่ 3 ข้อเท่านั้น แต่ละข้ออ่านแล้วปวดจี๊ดที่หัวใจเลยทีเดียว
                “ถ้าจะแต่งงานก็ต้องมาตกลงทำสัญญากันก่อน ถือว่ายอมถอยคนละก้าว ถ้าคุณเซ็นต์ ฉันก็ยอมแต่ง” หญิงสาวเสนอ ในมือข้างหนึ่งถือสัญญาอีกข้างถือปากกาเตรียมรอให้เขาเซ็นต์
                ชายหนุ่มมองใบหน้าเธอที สลับมองใบสัญญาที แล้วจู่ ๆ เขาก็ดึงสัญญาอีกแผ่นจากมือเธอ ก่อนจะฉีกสัญญาทั้งสองเป็นชิ้นเล็กน้อย แล้วโปรยขึ้นในอากาศให้มันร่วงลงพื้นกลายเป็นเศษกระดาษธรรมดา
                เธอมองตามเศษกระดาษที่ปลิวอยู่ในอากาศจนตกลงพื้น แผนที่เธอคิดมาทั้งคืนถูกเขาทำลายซะไม่มีชิ้นดี แถมเขายังพูดขึ้นมาว่า
                “ไร้สาระจริงเลยคุณ”
                ปรี๊ด!!!
ขีดจำกัดของเธอมาถึงแล้ว ใครจะจับเธอแต่งงานก็ช่างปะไร อย่างมากก็แค่หนีไปเท่านั้นแหละ คอยดูสิว่างานแต่งที่ไม่มีเจ้าสาวมันจะเป็นยังไง
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้เตรียมออกจากร้าน แต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มคว้าเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ ฟังผมหน่อย” น้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับท่าทางกวนประสาททำให้เธอเผลอนั่งลงกับที่โดยไม่รู้ตัว “เรื่องแต่งงาน ผมอยากแต่งกับคุณจริง ๆ นะ แล้วที่คุณว่าเราไม่เคยรู้จักกัน จริง ๆ แล้วเราเคยเจอกันแล้วนะแต่คุณอาจจำไม่ได้เอง แต่ก็ช่างมันเถอะ ถือว่าเรารู้จักกันเสียตั้งแต่วันนี้เลย ส่วนเรื่องสัญญา...” เขามองเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ตกตามพื้น
“เรื่องหย่าหรือไม่หย่านั้นเป็นเรื่องในอนาคต เรากะเกณฑ์กันไม่ได้หรอก ส่วนที่ว่าห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัว... แต่งงานกันแล้ว เรื่องส่วนตัวของผมก็เหมือนเรื่องส่วนตัวของคุณ เรื่องส่วนตัวของคุณก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผม คุณไม่ให้ยุ่งก็คงไม่ได้ แล้วเรื่องแตะเนื้อต้องตัว ...ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ อย่างน้อยผมก็อยากจับมือถือแขนภรรยาผมนะ”
ได้ยินเขาพูดคำว่า ภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอกลับรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน จนใบหูทั้งสองข้างที่อยู่ใต้เรือนผมดกดำเริ่มเป็นสีชมพูเข้มขึ้นอย่างรู้ตัว
“แล้วถ้าคุณกังวลเรื่องบนเตียง อันนี้ผมบอกได้เลยว่าผมเป็นสุภาพบุรุษพอ ผมไม่มีทางข่มเหงคุณแน่นอน และผมก็ไม่มีนิสัยชอบลวนลามผู้หญิงด้วย คุณสบายใจได้ ...ส่วนสัญญานั่นก็เป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว อย่าเอากระดาษแผ่นเดียวมาผูกมัดเราดีกว่า มันไม่มีค่าอะไรหรอก”
ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นเธอกลับรู้สึกว่าคำพูดของเขาเชื่อถือได้มากกว่าการลงนามในสัญญาเสียอีก แต่ว่า...
“ฉันมีแฟนแล้ว” เธอไม่สามารถแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก
“ผมไม่สน” เขากุมมือเธอไว้ “ผมจะทำให้คุณเปลี่ยนใจมารักผมเอง ยังไงเจ้าสาวของผมก็ต้องเป็นคุณคนเดียวเท่านั้น ...แต่งงานกับผมเถอะนะ”
หญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะ นี่เขากำลังขอเธอแต่งงานอยู่เหรอ เธอนัดเขามานี่เพื่อให้เขาปฏิเสธเรื่องแต่งงาน ไม่ใช่ให้เขามาขอเธอแต่งงานหรอกนะ แต่ว่า...ชีวิตหนึ่งของลูกผู้หญิงมีผู้ชายมาขอแต่งงานอย่างนี้ ใจเธอกลับเต้นไม่เป็นส่ำจนแทบจะหลุดปากตอบตกลงเขาในทันที ใบหูที่เริ่มเป็นสีชมพูเข้มกลับแดงยิ่งขึ้นไป
เมื่อตนเองไม่มีทางหนีการแต่งงานพ้น หญิงสาวจึงยื่นข้อเสนอ ให้เรื่องการแต่งงานนี้รู้กันภายในครอบครัว
“ทำไม” เขาถามแต่เธอไม่บอกเหตุผล แต่เธออ้างว่าให้ถอยคนละก้าว และเธอก็ขอร้อง ...ในเมื่อเธอขอร้อง ทำไมเขาจะทำให้ไม่ได้ล่ะ
ใจจริงเขาไม่อยากให้เรื่องแต่งงานเป็นความลับแค่ในครอบครัวเท่านั้น เขาอยากทำให้มันเปิดเผย ...แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่ง
มันอาจจะสนุกก็ได้
ความคิดสายหนึ่งไหลเข้ามาในหัวคนเจ้าเล่ห์อย่างต่อเนื่อง ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก ยิ่งคิด ว่าที่เจ้าสาวของเขาก็ยิ่งดิ้นไม่หลุด ...ใบหน้าเจ้าเล่ห์ยิ้มเยือนแล้วตอบตกลง คอยดูเถอะเขาจะทำให้เธอเป็นของเขาทั้งตัวและใจ
“ขอบคุณ ในเมื่อคุณตกลงแล้ว...ฉันก็อยากให้งดจัดงานเลี้ยง อย่างมากกินเลี้ยงแค่ภายในครอบครัวก็พอ”
“ได้ เรื่องนี้ผมจัดการให้เองคุณสบายใจได้ แต่คุณคงไม่ลืมเรื่องจดทะเบียนหรอกนะ”
หญิงสาวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ใจจริงเธอก็อยากเนียนไม่ต้องจดทะเบียน แต่เขาดันพูดขึ้นมาซะก่อน
“ผมยอมคุณขนาดนี้แล้ว กะแค่เรื่องจดทะเบียนสมรส คงไม่นักหนาเกินไปนะ” ไม่มีงานเลี้ยงไม่ว่า แต่เรื่องจดทะเบียนสมรสยอมไม่ได้ เขาต้องได้เธอมาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ...มีทะเบียบอยู่ในมือถือว่าได้ชัยไปกว่าครึ่ง
“ตกลง” ถอยคนละก้าว เขายอมถอยเธอก็ต้องถอย เขายอมตามใจเธอ เธอก็ต้องตามใจเขาบ้าง

ชาลินีกลับบ้านพร้อมกับความวุ่นวายในใจ ไม่รู้ว่าที่ตัดสินใจไปมันจะนำพาอนาคตเช่นไรมาให้ เธอเปิดกระเป๋าสตางค์ดูรูปคู่ของเธอกับวสันต์รุ่นพี่ที่กำลังคบหาดูใจกันอยู่ ตั้งแต่เขาสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ เธอกับเขาก็เริ่มห่างกันมากขึ้น ช่วงแรก ๆ เขาจะโทรศัพท์มาหาเธอบ้าง อีเมลมาหาเธอบ้าง แต่ก็แค่ช่วง 3 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นจนผ่านมาเกือบปี การติดต่อก็ขาดหายไป จนเธอหวั่นใจว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขา แต่เพื่อนเธอที่ไปเรียนประเทศเดียวกันบอกว่าเขาอยู่สุขสบายดี เมื่อได้รู้อย่างนี้เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นแต่ก็อดพ้อเขาไม่ได้ ว่าเขาไม่คิดถึงเธอบ้างเลยหรือถึงไม่ยอมติดต่อมาหาเธอบ้าง
พอดูรูปแฟนที่อยู่ห่างกันเกือบครึ่งค่อนโลก เธอกลับนึกถึงพ่อกับแม่ที่อยู่ห่างกันแค่ประตูกั้นซะงั้น ไม่รู้ทำไมพวกท่านถึงไม่ชอบวสันต์นักหนา หน้าตาเขาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ถึงจะไม่หล่อเหลาเหมือนว่าที่สามีเธอก็เถอะ แต่แฟนของเธอก็จัดได้ว่าหน้าตาดีพอใช้ได้คนหนึ่ง นิสัยก็ดี ถึงจะไม่ร่ำรวยแต่ก็เป็นคนขยันคนหนึ่ง พ่อกับแม่ของเธอเองก็ไม่ใช่คนที่ตัดสินคนอื่นจากฐานะ ...แล้วทำไมพวกท่านถึงขัดขวางที่เธอจะคบกับวสันต์นัก ถึงขั้นบังคับให้เธอแต่งงานกับธีธัช ลูกชายเพื่อนสนิทของแม่
เธอจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเรื่องทุนการศึกษาของวสันต์มันค้ำคอ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ใช้เส้นสายอะไร ทุนที่วสันต์สอบชิงได้ จากที่นึกว่าเป็นทุนรัฐบาลกลับกลายเป็นทุนจากพ่อแม่เธอซะงั้น พอเธอดื้อแพ่งจะไม่ยอมแต่งงาน พวกท่านก็บอกว่าจะตัดทุนที่ให้วสันต์ ลอยเคว้งเขาอย่างไม่ใยดี ...ทำให้เธอไม่สามารถล้มการแต่งงานได้ดั่งใจ ถึงได้บากหน้าไปให้ธีธัชล้มการแต่งงาน แต่กลับ...ถูกขอแต่งงานเสียอีก
เสียงของธีธัชเมื่อตอนขอเธอแต่งงานยังติดหูอยู่เลย น้ำเสียงอ่อนโยนทว่าแฝงไว้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม หากคนที่พูดกับเธอเป็นคนที่เธอรัก มันคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
น่าเสียดายที่เธอและเขาต่างก็ไม่ใช่คนรักกัน

2 วันต่อมา ธีธัชได้ทำให้ชาลินีได้ทึ่งในความสามารถเล็ก ๆ ของธีธัชชายหนุ่มสามารถเกลี้ยกล่อมผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายให้งดจัดเลี้ยงฉลองสมรส พิธีการทั้งหมดมีเพียงแค่จดทะเบียนและกินเลี้ยงกันภายในสองครอบครัวเท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจมากที่พ่อแม่ของชาลินีเห็นดีเห็นงามด้วย เพราะปกติแล้วพวกท่านต้องไม่ยอมและก็จะโวยวายเอาเรื่อง ลูกสาวคนเดียวของพวกท่านจะแต่งงาน พวกท่านไม่มีทางยอมให้ทำอย่างลวก ๆ ผ่านไปได้
ความเก่งกาจของธีธัชได้ช่วยหญิงสาวเอาไว้ เพราะเธออยากให้เรื่องแต่งงานในครั้งนี้มีคนรู้น้อยที่สุด



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น