เด็กสาวกำลังก้มเด็ดดอกไม้สีเหลืองที่กำลังบานสะพรั่ง ทั้งสูดดมกลิ่นหอมหวานของดอกไม้อย่างชื่นใจ
“เฟเรีย” เสียงตะโกนเรียกของเด็กสาวอีกคนซึ่งมีหน้าตาคล้ายคลึงกันหากดวงตาแทนที่จะกลมโต กลับเรียวคม และมีผมสีน้ำตาลเข้มแทนสีน้ำตาลอ่อน
“เจ้าทำอะไรอยู่ ข้าตามหาตั้งนาน นี่ก็เย็นมากแล้วท่านพ่อท่านแม่ไม่เห็นเจ้ากลับบ้านเสียที เลยให้ข้ามาตาม”
“ข้ากำลังเก็บดอกไม้อยู่ ว่าจะเอาไปประดับที่บ้าน เฟยาเจ้าช่วยข้าเก็บหน่อยสิ”
“ไม่ดีกว่า” เฟยาปฏิเสธทันที นางไม่กล้าเด็ดดอกไม้ หรือถอนต้นหญ้าที่ไหนอีกนับตั้งแต่วันที่นางเผลอไปเด็ดดอกไม้ป่าในป่าต้องห้าม
ต้นไม้ใบหญ้าส่วนใหญ่ในป่าต้องห้ามมักจะมีภูติอาศัยอยู่ นางซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เห็นดอกไม้ป่าสีสันสดใส ซ้ำกลิ่นยังหอมยั่วยวน ก็ต้องการเด็ดกลับบ้าน
พอเด็ดดอกไม้ยังไม่ทันจะยกขึ้นมาดมสูดกลิ่นหอม แค่ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก็มีเถาวัลย์เลื้อยมามัดขาทั้งสองข้างของนางไว้ แล้วโหนตัวนางขึ้นกลางอากาศ ห้อยต่องแต่งไว้กับต้นไม้ พวกภูติตัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ ต่างพากันออกมาจากที่พำนักและรายล้อมนาง
พวกเขาต่อว่านางไม่หยุด ซ้ำยังใช้เถาวัลย์มาฟาดก้นของนางเสียหลายที ดีที่พวกภูติยังปราณีนางอยู่บ้าง ไม่ใช้เถาวัลย์ที่มีหนามฟาดก้นนาง
กว่าพวกภูติจะปล่อยนางไป อาจารย์ของนางต้องออกมาเจรจาให้พวกเขาปล่อยนางไป โดยตกลงกันว่านางจะต้องหาต้นไม้มาปลูกทดแทนดอกไม้ที่นางเด็ดไปหนึ่งร้อยต้น
เด็ดดอกไม้เพียงดอกเดียว กลับต้องปลูกต้นไม้หนึ่งร้อยต้น ซ้ำก้นของนางยังระบมไปอีกหลายวัน
พวกภูตินี่น่ากลัวจริง ๆ
และตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่กล้าเด็ดดอกไม้อีกเลย
“กลับกันเถอะเฟยา” เฟเรียเดินมาหาแฝดของตนพร้อมดอกไม้สีเหลืองสดช่อใหญ่เต็มมือ
“ทำไมเจ้าเด็ดมามากมายนักเล่า”
“ข้าจะเอาไปประดับที่บ้าน แล้วก็เอาไปไว้ที่ห้องของข้าด้วย นี่ข้าเก็บมาเผื่อเจ้าด้วยนะ”
“เจ้าคงคิดจะเอาดอกไม้นี่ไปวางไว้ทั่วบ้านจริง ๆ ...ตายจริง” เฟยาหยุดเดินทันที นางเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท
“มีอะไรหรือเฟยา”
“ข้าลืมไปว่าต้องไปเอาของที่ตลาด เจ้ากลับไปก่อนนะเฟเรีย”
“ได้สิ แล้วข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่ให้”
เฟยาหันหลังกลับแล้ววิ่งทันที นางลืมเรื่องสำคัญนี้ไปได้อย่างไรนะ
เด็กสาวออกวิ่งเต็มฝีเท้า นางวิ่งอย่างเร่งรีบจนถึงกระท่อมหลังเก่า สภาพทรุดโทรมซึ่งอยู่ท้ายตลาด นางยืนอยู่หน้ากระท่อมหันซ้ายหันขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น แล้วรีบเปิดประตูเข้าไปในกระท่อมทันที
ในกระท่อมเล็ก ๆ เต็มไปด้วยขวดเหล้านานาชนิดวางเรียงรายอยู่ตามชั้นวางทั้งสี่ด้านของผนัง ตามพื้นก็มีลังใส่เหล้าอยู่อีกหลายลังวางระเกะระกะเต็มพื้น
“มาแล้วหรือ” เสียงเล็ก ๆ ของคนแคระเจ้าของกระท่อม “ข้ารอเจ้าตั้งนาน วันนี้เจ้ามาช้าจริง”
“ข้าขอโทษ แล้วของข้าขวดไหนกัน”
คนแคระได้เดินไปหยิบขวดเหล้ากระเบื้องสีขาวขนาดเหมาะมือมาให้นาง
“ข้าถามจริง ๆ เถอะ เจ้าบอกว่ามันไม่ใช่ของพ่อเจ้า แล้วมันเป็นของใคร เจ้าคงไม่ได้เอาไปดื่มเองใช่ไหม” คนแคระสงสัย
“ข้าจะดื่มเองได้อย่างไร แค่กลิ่นข้าก็จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว คนรู้จักข้าเขาวานให้ข้ามาเอาให้เท่านั้น เขายังบอกข้าเลยว่าเหล้าที่ไหน ๆ ก็สู้เหล้าของเจ้าไม่ได้”
“แน่นอน เหล้าของข้าทุกขวดล้วนเป็นเหล้าชั้นเลิศ ไม่ว่าใครได้ลิ้มลองเป็นต้องติดใจทุกราย” คนแคระตัวน้อยพูดอย่างโอ้อวด “เจ้ายังเด็กนัก อย่าเผลอดื่มเข้าไปเชียวล่ะ ขวดที่เจ้าถืออยู่นั้นมันแรงเป็นพิเศษ แค่สูดดมก็ทำให้ร่างกายเมามายได้ ยิ่งพอได้ดื่มความร้อนในร่างกายจะยิ่งสูงขึ้น ประดุจมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ภายใน”
“ขนาดนั้นเชียวหรือ” ฟังแล้วดูน่ากลัวพิกล ทำไมอาจารย์ของนางถึงได้ดื่มของอันตรายเช่นนี้กันนะ
เฟยายื่นเหรียญเงินให้คนแคระหนึ่งเหรียญ ทั้งกำชับไว้ว่าห้ามบอกใครว่านางมาที่นี่
หลังจากซื้อเหล้าให้อาจารย์เสร็จ นางก็รีบวิ่งกลับบ้านทันทีแต่ระหว่างทาง กลับได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย
ชายอ้วนท้วมเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นสีหน้าหวาดกลัว สองตาจ้องอสรพิษที่เลื้อยอยู่เบื้องหน้าไม่วางตา เสียงร้องให้คนช่วยแหบแห้งลงทุกขณะ
เฟยารีบขว้าหินก้อนใหญ่ แล้วขว้างใส่อสรพิษตัวใหญ่จนมันสะดุ้ง หากมันก็ไม่เลื้อยหนีไปไหน กลับหันหน้าชูคอใส่นางแทน
“ระวัง” ชายอ้วนท้วนร้องเตือนนางเมื่อเห็นว่างูเมื่อสักครู่หันเหความสนใจมาทางเด็กสาวแทนตน
เฟยาหยุดยืนนิ่ง พยายามรวบรวมสมาธิตามที่อาจารย์สอนไว้ นางค่อย ๆ ชี้นิ้วไปที่งูตัวใหญ่โดยที่แขนทั้งสองข้างอยู่แนบตัว เพียงกระดกนิ้วขึ้นสายลมเล็ก ๆ ตวัดผ่านร่างงูเบื้องหน้าจนเป็นแผลลึก เมื่อรู้ถึงอันตรายงูร้ายจึงรีบเลื้อยหนีทันที
เมื่อไม่มีสัตว์ร้ายใด ๆ มาทำอันตรายตนได้อีกชายอ้วนท้วนจึงรีบลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล แล้วเดินกระเผลก ๆ มาหานาง
“สาวน้อย ขอบใจมากที่ช่วยข้าไว้ ว่าแต่...เมื่อสักครู่เจ้าทำอะไร เจ้างูตัวนั้นมันถึงได้หนีไป” เขาไม่ทันสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นเพียงแค่ว่าเด็กสาวยืนอยู่เฉย ๆ แล้วงูก็เลื้อยหนีไปเอง
“ข้า...ข้าไม่รู้ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย มันเลื้อยหนีไปเอง” นางแก้ตัว
“ช่างเถอะ ๆ ยังไงข้าก็ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้า ข้านึกว่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียแล้ว...เจ้า ที่แท้ก็เจ้านั่นเอง เดี๋ยวก่อนนะ เจ้า...เจ้าชื่อ ชื่อเฟเรียใช่ไหม” แม้ว่าท้องฟ้าเริ่มจะมืดลงแล้ว แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ กลับเป็นสาวน้อยที่เขาเพิ่งเจอไม่นานนี้ “เราเพิ่งเจอกันเมื่อไม่นานนี้ไง เจ้าจำข้าไม่ได้หรอกหรือ เจ้าหอบดอกไม้เต็มสองมือ แล้วข้าก็ขอซื้อดอกไม้จากเจ้าไง แต่เจ้าไม่ขายกลับมอบให้ข้าดอกหนึ่ง นี่ไง ๆ” ชายอ้วนรีบดึงดอกไม้สีเหลืองดอกเล็ก ๆ ออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้นางดู
ที่แท้ชายคนนี้ก็จำคนผิด คิดว่านางคือเฟเรีย
“ท่านจำ...”
“ข้าขอบใจเจ้ามากนะ ขอบใจจริง ๆ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรตอบแทนเจ้า ไว้มีโอกาสขอให้ข้าได้ตอบแทนเจ้าบ้างนะ”
“ไม่ต้องหรอกท่าน ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย” นางขี้เกียจจะแก้ความเข้าใจผิดของเขาได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลย “ว่าแต่ท่านเดินเองได้ไหม ขาท่านบาดเจ็บนี่”
“ได้ ๆ ไม่ต้องห่วง ข้าพักอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง”
เฟยารีบหาท่อนไม้ใหญ่ขนาดเหมาะมือมาทำเป็นไม้เท้าให้ชายอ้วน
“ท่านใช้ไม้นี่แทนไม้เท้าแล้วกัน ข้าคงไปส่งท่านถึงที่พักไม่ได้เพราะข้าต้องรีบกลับบ้านแล้ว”
“ไม่เป็นไร ๆ ข้าขอบใจเจ้ามากนะสาวน้อย”
เฟยารีบกลับวิ่งกลับบ้านทันที เพราะตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ ถ้าขืนกลับช้ากว่านี้นางต้องโดนต่อว่าแน่นอน
พอถึงบ้านนางรีบเอาขวดเหล้าที่ซื้อมาจากเจ้าคนแคระซ่อนไว้ในพงไม้ด้านหลังบ้าน แล้วค่อยย้อนมาหน้าบ้านเดินเข้าทางประตู
“เจ้าไปเถลไถลที่ไหนมาเฟยา” มาเรียยืนหน้าง้ำหน้างอต่อว่าลูกสาว “เจ้ากลับมาช้ามากนะ ทุกคนเขารอเจ้าอยู่ ข้าให้เจ้าไปตามเฟเรียแต่เจ้ากลับเถลไถลเสียเองอย่างนี้ มันใช้ได้ที่ไหน”
“ข้าขอโทษท่านแม่ พอดีระหว่างทาง”
“เจ้าไม่ต้องแก้ตัว อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องโดนทำโทษอยู่ดี”
“แต่ว่าท่านแม่”
“พรุ่งนี้ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าออกไปไหนทั้งนั้น”
“ท่านแม่” นางไม่เข้าใจ ทำไมแม้แต่เหตุผลท่านแม่ก็ไม่ยอมฟัง ในสายตาของพวกเขานางเป็นคนไม่เอาไหน และเกเรมากเลยหรือไร
เฟยารีบวิ่งขึ้นห้องไป นางทั้งเสียใจ น้อยใจ ท่านพ่อท่านแม่มักจะเข้าข้างและเอาใจใส่เฟเรียอยู่เสมอ แต่กลับปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นส่วนเกิน ทั้งที่เกิดมาพร้อมกันหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ แต่ทำไมถึงได้ปฏิบัติต่างกันขนาดนี้นะ
พรุ่งนี้นางโดนกักบริเวณ แล้วนางจะเข้าไปในป่าต้องห้ามได้อย่างไร ปรกตินางต้องเข้าป่าไปฝึกฝนการควบคุมเวทย์ของตนเองกับอาจารย์ แล้วอย่างนี้นางจะทำอย่างไรได้
เมื่อนึกถึงการควบคุมเวทย์ของตนเอง นางก็นึกถึงงูเมื่อตอนเย็นขึ้นมา นางยังควบคุมอำนาจของตนเองไม่ได้จริง ๆ วันนี้นางตั้งใจแค่ดีดให้งูตัวนั้นลอยปลิวไปตกที่อื่น แต่กลับกลายเป็นว่านางสร้างบาดแผลให้มันแทน
“เฮ้อ...”
ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้ซึ่งแสงของดวงจันทร์ เฟยารอจนทุกคนในบ้านหลับกันหมด นางจึงแอบออกมาข้างนอก แล้วเข้าป่าต้องห้ามไปโดยไม่ลืมเอาขวดเหล้าที่ซ่อนไว้ไปด้วย
เมื่อถึงเขตป่าต้องห้าม ทุกอย่างเงียบสงัดและมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไร เมื่อนางยกมือขึ้นพลันมีรัศมีสีแดงสว่างปรากฏอยู่รอบฝ่ามือ ทันใดก็มีลูกไฟดวงใหญ่เกิดขึ้นบนฝ่ามือ
“ว้าย” นางร้องออกมาด้วยความตกใจ นางตั้งใจจะสร้างไฟดวงเล็ก ๆ พอให้สว่างมองเห็นทางได้ แต่กลับพลาดเกิดลูกไฟดวงใหญ่กว่าที่นางคิดไว้มาก แม้ไฟดวงนั้นจะไม่ทำอันตรายนาง แต่มันก็อดที่จะตกใจไม่ได้
“นี่เจ้าคิดจะเผาพวกข้าหรืออย่างไร” พวกภูติตัวเล็กที่อยู่ตามต้นไม้ต่างพากันออกมาต่อว่านางกันเสียยกใหญ่
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ว่าทางมันมืดมากข้าต้องการแค่แสงสว่างเท่านั้น ไม่คิดจะเผาพวกท่านเลยนะ ข้าแค่จะไปหาอาจารย์”
“อย่างนั้นเจ้าก็รีบ ๆ ไปเสีย”
“ไปเร็ว ๆ”
“รีบ ๆ ออกไปเลยนะเจ้าเด็กบ้า”
พวกภูติต่างพากันผลักไสนางไปให้ไกล ๆ สงสัยพวกเขาคงรังเกียจนาง เจอกันแต่ละครั้งนางต้องโดนพวกนั้นต่อว่าทุกที
เฟยารีบเดินไปหาอาจารย์ที่ถ้ำ โดยมีดวงไฟที่ฝ่ามือคอยให้ความสว่าง แต่ก็คอยระวังไม่ให้ดวงไฟนั้นเข้าใกล้ เผาไหม้สิ่งใดได้
“อาจารย์” นางเรียกหาอาจารย์
“ทำไมเจ้าถึงมาหาข้าเวลานี้กัน เดวา” ชายหนุ่มหนวดเคราครึ้มเดินออกมาจากถ้ำ ชายหนุ่มที่นางเคยเรียกว่า ‘ท่านอา’สมัยเมื่อยังเด็กกว่านี้ ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นอาจารย์ของนางแล้ว
และนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้ตั้งชื่อให้นางว่า ‘เดวา’ ด้วยเหตุผลที่ว่า...นางเหมาะกับชื่อนี้และเป็นหลักฐานว่านางได้เป็นศิษย์ของเขา
“อาจารย์ ท่านได้อาบน้ำบ้างหรือไม่ ท่านดูสกปรกเหลือเกิน”
หากปราศจากหนวดเคราสกปรก ๆ นั่น อาจารย์ของนางจะดูอ่อนวัยลงมาก อ่อนวัยจนนางสงสัย ตั้งแต่นางเจอเขาจนถึงวันนี้ อาจารย์ของนางยังดูเหมือนคนหนุ่มไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ท่านพ่อของนางดูแก่ขึ้นทุกวัน แต่อาจารย์ของนางกลับดูไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
“ช่างข้าเถอะ แล้วเจ้าเข้าป่าในยามวิกาลนี้ทำไม”
“ข้าเอาของ ๆ ท่านมาให้น่ะสิ” นางยื่นขวดเหล้าให้อาจารย์ เขารับไว้แล้ววางลงข้าง ๆ ตัว
“เจ้าเอามาให้ข้าพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาตอนนี้หรอก ป่าตอนกลางคืนมันอันตราย”
“คือว่า...พรุ่งนี้ข้าโดนกักบริเวณ ท่านแม่ไม่ให้ข้าออกไปไหน ข้าก็เลยแอบออกมาหาอาจารย์เสียแต่ตอนนี้”
“เจ้าไปทำอะไรผิดมาอีกล่ะ”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ข้าแค่กลับบ้านช้าเท่านั้น แต่นั่นเป็นเพราะระหว่างทางกลับบ้านข้าเข้าไปช่วยเหลือคนต่างหาก ท่านแม่ไม่ยอมฟังเหตุผลของข้าเลย เอาแต่ลงโทษข้าอยู่ฝ่ายเดียว” นางระบายความในใจให้อาจารย์ฟัง นางไม่มีเพื่อน ก็มีแต่อาจารย์เท่านั้นที่นางสนิทด้วย
“วันไหนข้าเบื่อ ๆ ข้าจะย้ายมาอยู่กับอาจารย์ในถ้ำเสียดีกว่า” นางเดินเข้าไปในถ้ำอย่างเคยชิน
“ว้าว” เด็กสาวร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
ถ้ำในตอนกลางคืนช่างต่างกับเมื่อตอนกลางวันลิบลับ บ่อน้ำเล็ก ๆ ที่อยู่ในถ้ำส่องแสงสว่างเรืองรองสวยงามยิ่งนัก
“อาจารย์ อาจารย์” นางเรียกหาอาจารย์ “ทำไมมันเรืองแสงได้ล่ะ ตอนกลางวันไม่เห็นมันจะเรืองแสงเลย” นางถามอย่างตื่นเต้น
“เฮ้อ...เจ้าเด็กน้อย มันจะเรืองแสงหรือไม่ก็ช่างมันเถอะ เจ้าอย่าเข้าไปใกล้เชียวล่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” อาจารย์ห้ามไม่ให้นางเข้าใกล้น้ำบ่อนี้อยู่เสมอ โดยเฉพาะห้ามเล่น ห้ามตักน้ำ ห้ามสัมผัสน้ำในบ่อนี้เด็ดขาด ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแต่นางก็เชื่อฟังที่อาจารย์ห้ามเสมอ
“มา...ข้าจะส่งเจ้าออกจากป่าเอง” เขาจูงมือเด็กน้อยไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจุดคบไฟไว้เป็นแสงนำทาง “ในป่าตอนกลางคืนมันอันตราย ยิ่งในป่าต้องห้ามยิ่งอันตราย วันหลังเจ้าอย่าเข้ามาในป่านี้ตอนกลางคืนอีกล่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้วอาจารย์ ไม่จำเป็นข้าจะไม่มาตอนกลางคืน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น