แสงแดดยามเช้าไม่อาจลอดผ่านหน้าต่างที่ปิดมิดชิด
ทำให้ห้องทั้งห้องมืดมิดจนไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นยามใด จวบจนประตูห้องถูกเปิดออก
แสงสว่างจาง ๆ ได้ลอดผ่านเผยหญิงสาวที่กำลังนอนสบายอยู่บนที่นอน
ผู้เปิดประตูเข้ามาถือวิสาสะเดินไปเปิดหน้าต่างทำให้ทั้งห้องสว่างไสวอีกครั้ง
เฟยาที่เพิ่งจะได้หลับไม่นานถูกมารดาเขย่าตัวอย่างหนักปลุกให้ตื่น
จำใจต้องลุกจากที่นอนอย่างไม่เต็มใจ
“รีบลุกแล้วจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียเฟยา
แต่งตัวให้ดูสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าก็หวีให้เรียบร้อยด้วยล่ะ ข้าจะรออยู่หน้าห้อง รีบ
ๆ เข้าล่ะ” คำสั่งเป็นชุดให้ความรู้สึกต่างจากที่เคย
ปกติท่านแม่จะต้องเอะอะโวยวายเวลาปลุกนาง
อีกทั้งคำบ่นสารพันที่จะมาพร้อมกับงานบ้านที่นางจะต้องทำ
แต่คราวนี้ท่านแม่แค่ปลุกให้นางลุกขึ้นมาแล้วสั่งให้นางแต่งตัวให้เรียบร้อย...เท่านั้น
ถึงจะรู้สึกแปลกใจกับความผิดปกติ
แต่เฟยาก็ยังคงทำตามที่มารดาสั่ง
เพียงแต่นางไม่เร่งรีบอย่างที่มารดาต้องการเท่านั้น
ยามราตรีเฟยายังคงเข้าป่าต้องห้ามเช่นเคย
ถึงอาจารย์จะไม่อยู่แล้วแต่นางทำเช่นนี้ติดต่อกันมาเป็นเวลานับสิบ ๆ ปี จนมันกลายเป็นกิจวัตรของนางไปเสียแล้ว
นางยังคงแวะไปที่ถ้ำบ้าง แต่ส่วนใหญ่นางมักจะแช่น้ำอุ่นแล้วจิบสุราอยู่ข้างสระน้ำที่ประจำของนาง
หลังจากนั้นนางก็จะแวะไปที่ต้นเดวา
เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก
อีกไม่ถึงเดือนก็จะถึงวันที่มีพระจันทร์สีเลือด ไม่รู้ว่าผู้ที่ตั้งชื่อต้นไม้ว่า ‘เดวา’ นั้น
จะจำได้หรือเปล่าว่าต้นไม้ที่ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความทรงจำนั้นเป็นต้นใด
กว่านางจะออกมาจากป่าต้องห้ามก็เกือบรุ่งสาง
นอนได้ไม่ทันไรก็ถูกท่านแม่ปลุกเสียทุกครั้งไป
“เมื่อไรจะเสร็จเฟยา”
เมเรียเร่งเร้าบุตรสาวอีกครั้ง
“เสร็จแล้วท่านแม่”
เฟยาเปิดประตูเจอท่านแม่รออยู่หน้าห้อง มองสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หลังจากนั้นท่านก็ออกคำสั่งให้นางกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดที่ดูดีกว่านี้
และจัดผมให้ดูเรียบร้อยกว่านี้
“ปกติข้าก็แต่งตัวเช่นนี้นะท่านแม่
ท่านไม่เคยเห็นว่าอะไร”
“แต่ไม่ใช่วันนี้”
เมเรียผลักบุตรสาวเข้าห้องแล้วลงมือควานหาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เฟยาเองกับมือ
สร้างความประหลาดใจให้แก่เฟยานัก ร้อยวันพันปีท่านแม่ไม่เคยใส่ใจอะไรในตัวนาง
แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมเสื้อผ้าของเจ้ามีแต่สีทึม
ๆ แลดูสกปรกทั้งนั้นล่ะเฟยา ไม่มีเสื้อผ้าชุดที่ดีกว่านี้แล้วรึ” ไม่ว่าจะชุดไหนก็มีแต่สีมืด
ๆ อย่างสีดำ หรือสีน้ำเงินเข้มทั้งนั้น แถมยังดูเก่า ๆ ทั้งนั้น
ถ้าเทียบกับเสื้อผ้าของเฟเรียแล้ว ชุดพวกนี้อย่างกับผ้าขี้ริ้วได้เลย
“ข้าก็มีเสื้อผ้าอยู่เท่านั้นแหละท่านแม่
ไม่มีตัวไหนที่ดีกว่าหรือแย่กว่านี้แล้ว”
“นี่เจ้าไม่รู้จักหาเสื้อผ้าใหม่บ้างรึ
มีแต่ตัวเก่า ๆ ทั้งนั้นใส่เข้าไปได้อย่างไร เอาอย่างเฟเรียบ้างสิ
รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดี ใครเห็นใครก็ชมชอบ”
เมื่อถูกนำไปเปรียบเทียบกับแฝดผู้น้อง
อารมณ์ที่ราบเรียบมาตลอดดั่งถูกไฟสุมจนเผลอหลุดปากพูดจาในสิ่งที่ไม่เคยพูดออกไป
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าท่านแม่อยากให้ใครมาชมชอบข้าแบบเฟเรีย
ปกติท่านก็ไม่เคยติเตียนข้าเรื่องเสื้อผ้า ข้าจะใส่อะไรเก่าแค่ไหน
ข้าก็ไม่เคยเห็นท่านใส่ใจ
อีกอย่างเสื้อผ้าพวกนี้ก็เหมาะกับใส่ผ่าฟืนตักน้ำดีนี่ท่านแม่
แล้วคนที่เอาแต่ผ่าฟืนกับตักน้ำจะใส่เสื้อผ้าใหม่
ๆ ไปทำไปกัน”
“เฟยา...เจ้า!”
“อ้อ
ที่สำคัญ ท่านแม่อย่าลืมสิ ท่านบอกข้าเองนะว่าเงินที่ท่านพ่อหามาได้ก็ถูกใช้กับเรื่องภายในบ้านจนหมด
นอกนั้นก็เป็นทรัพย์สินของเฟเรียทั้งสิ้น แล้วของ ๆ เฟเรีย ก็คือของ ๆ เฟเรีย
ข้าหรือใคร ๆ ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายทั้งสิ้น” หรืออีกนัยหนึ่ง คือ
ในเมื่อนางไม่มีเงินที่จะซื้อผ้าใหม่ แล้วจะมาเรียกร้องให้นางใส่ชุดใหม่ ๆ
ได้อย่างไรกัน
แต่ถึงนางจะเก็บหอมรอมริบได้มากเพียงใด
นางก็ไม่กล้าเอาไปใช้จ่ายกับเรื่องเสื้อผ้านัก
วัน
ๆ นางได้แต่ตักน้ำ ผ่าฝืน เข้าป่า คงเสียดายหากต้องเอาเสื้อผ้าใหม่มาทำงานหนัก
“นี่เจ้ากำลังต่อว่าข้าหรือเฟยา
เจ้ากล้าดียังไงพูดกับข้าเช่นนี้ ข้าเป็นมารดาเจ้านะ” ได้ยินคำยอกย้อนของบุตรสาว
เมเรียก็ไม่อาจทำอารมณ์ให้นิ่งเฉย ๆ อยู่ได้
“ขออภัยท่านแม่
แต่ข้าไม่ได้ต่อว่าท่าน ข้าแค่พูดความจริง
และสิ่งที่ท่านเคยพูดกับข้าให้ท่านฟังเท่านั้น”
คำพูดของนางร้ายกาจนัก
แม้แต่ตนเองยังรู้ ตั้งแต่อาจารย์จากไป นิสัยของนางก็พลอยจะเปลี่ยนไปด้วย
นางเคยวางเฉยกับคำพูดเปรียบเทียบระหว่างนางกับเฟเรียได้
แม้นางจะไม่ชอบแต่นางก็รู้ว่านางสามารถระบายความไม่พอใจนั้นให้ใครฟังได้ แล้วก็จะได้รับคำปลอบประโลม
แต่ในเมื่อความอ่อนโยนที่เคยได้รับนั้นจะไม่มีอีกต่อไป
นางก็ทนไม่ได้ที่จะมีใครพูดเปรียบเทียบนางกับเฟเรีย
เพราะสิ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือการถูกเปรียบเทียบกับเฟเรีย
“คำพูดคำจาของเจ้ามันช่าง...
” เมเรียพยายามระงับอารมณ์ของตน เพราะมีเรื่องสำคัญรออยู่ด้านล่าง “เอาเถอะข้าไม่อยากเสียเวลากับเจ้าในตอนนี้
ความผิดที่เจ้าพูดจาไม่ดีกับข้า ข้าค่อยลงโทษเจ้าทีหลังได้ แต่ตอนนี้เจ้าต้องลงไปรับแขกกับข้าเสียก่อน
...มีคนมารอเจ้าอยู่ข้างล่าง”
เฟยานึกแปลกใจที่มีแขกมารอพบนาง
หรือว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านแม่ไม่โวยวายใส่นางเช่นที่ผ่านมา
...แล้วใครกันที่มารอพบนาง
บุรุษผิวขาวจัด
หน้าตาเกลี้ยงเกลานั่งรออยู่ในบ้านอย่างสงบนิ่ง แลดูสุขุมเรียบร้อย จนเจ้าบ้านเดินลงมาเขาถึงได้เผยรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าดูแจ่มใส
และเป็นมิตรยิ่งขึ้น
“ขออภัยแทนเฟยาด้วยที่นางลงมาต้อนรับช้า”
เมเรียกล่าว “เด็กคนนี้ชอบอ่านตำรานัก เมื่อได้อ่านก็จะไม่ยอมสนใจสิ่งอื่น
กว่าข้าจะทำให้นางยอมวางตำราได้ก็แทบแย่ เลยทำให้ท่านต้องเสียเวลารอนาน”
เฟยาหันหน้าไปมองมารดาที่กำลังโกหกคำโต
ท่านเพิ่งปลุกนางจากที่นอนแท้ ๆ ทำไมถึงได้กล่าวว่านางกำลังอ่านตำราอยู่
“หามิได้
ข้าต่างหากที่ต้องอภัย เพราะตัวข้าไม่ได้แจ้งพวกท่านไว้ก่อนจึงทำให้พวกท่านต้องวุ่นวาย”
เขากล่าวอย่างมีมารยาท “สตรีผู้นี้คงคือท่านเฟยาใช่หรือไม่”
“อย่าเรียกเฟยาว่า
‘ท่าน’ เลย
เรียกนางแค่เฟยาก็พอแล้ว” เมเรียเป็นฝ่ายพูดแทนบุตรสาวทั้งหมด
“เช่นนั้นข้าก็ขอเรียกท่านว่า
‘เฟยา’ แล้วกัน”
บุรุษหนุ่มเลื่อนสายตาไปทางเฟยา ประเมินหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มเยือนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ข้ามีนามว่า ‘อามารันส์’ เดินทางมาจากมิดการ์ด
การเดินทางของข้าครั้งนี้ก็เพื่อมาพบท่านเท่านั้น เฟยา”
“พบข้า?”
เฟยาได้เอ่ยเป็นครั้งแรก “ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรกับข้า”
“อันที่จริง
ที่ข้ามาหาท่านในวันนี้ก็เพื่อต้องการพบเจอท่าน เป็นข้าที่สนใจในตัวท่าน”
“ข้าน่ะหรือ”
นางน่ะหรือที่เขาสนใจ นางไม่เคยเจอเขามาก่อน
และนางก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเลื่องลือเช่นเฟเรีย เหตุใดเขาถึงได้สนใจในตัวนาง
คาดว่าเขาคงจำนางสับสนกับเฟเรีย “เกรงว่าท่านคงมาหาผิดคนแล้ว คนที่ท่านมาหาคงเป็นเฟเรียมากกว่า
ตอนนี้เป็นเวลาฝึกเวทย์ของนาง ท่านคงต้องรอนานสักหน่อย”
“เช่นที่ข้าบอก
ข้ามาหาท่านเพราะข้าสนใจในตัวท่าน ไม่ใช่เฟเรีย”
“ประเสริฐนัก”
เมเรียร้องอย่างดีใจ “ท่านช่างเป็นบุรุษที่ตรงไปตรงมาเสียจริง
เฟยาของเราโชคดีนักที่ได้เจอบุรุษเช่นท่าน”
อามารันส์ค้อมกายลงเชิงขอบคุณสำหรับคำพูดของเมเรีย
“ในเมื่อคนหนุ่มสาวมีความสนใจต่อกัน
ข้าก็จะไม่ขออยู่ขวางคอ ใช้เวลาทำความรู้จักกันเสียเถอะ
ข้ายินดีนักที่ท่านมาเยือนในวันนี้”
กล่าวจบเมเรียก็ออกไปเดินเที่ยวที่ตลาด
ปล่อยให้เฟยาและอามารันส์ทำความรู้จักกันตามลำพัง
เฟยามองบุรุษเบื้องหน้าอย่างพิจารณา
เขายังคงยืนอย่างสงบใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มไม่จางหาย
ยากนักที่จะเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ภายใน นางจึงตัดสินใจพูดออกไปตรง ๆ แทน
“ท่านสนใจในตัวข้ารึ
ท่านอามารันส์” แม้คำพูดจะแลดูสุภาพ แต่น้ำเสียงกับแห้งแล้งยิ่งนัก
“อย่าพูดจาสุภาพกับข้านักเลย
ฟังแล้วรู้สึกห่างเหินนัก ท่านพูดจาแบบเป็นกันเองกับข้าเถอะ
ข้าเองก็จะพูดจาแบบเป็นกันเองเช่นกัน”
“ไม่จำเป็น
เพราะข้าไม่ได้ต้องการสนิทสนมกับท่าน” นางปฏิเสธอย่างชัดเจน
ในตอนนั้นเองที่เฟเรียกลับจากฝึกเวทย์กับท่านผู้เฒ่า
เพียงแค่นางเดินเข้ามาเท่านั้นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มอยู่เสมอของอามารันส์ชะงักไปเมื่อได้เห็นหญิงงามที่เดินเข้ามา
เฟเรียไม่ละทิ้งโอกาสสังเกตเขา
อยากรู้นักว่าคนที่บอกว่าสนใจนางนั้น
เมื่อได้เห็นหญิงงามอย่างเฟเรียแล้วจะเป็นยังไง ...แล้วก็เป็นอย่างที่นางคิด
“อ้าว
เจ้ามีแขกหรอหรือเฟยา”
“ก็ไม่เชิงนักหรอก
แต่อีกเดี๋ยวเขาก็คงจะกลับแล้ว” เฟยาหันหน้าไปทางอามารันส์ จงใจพูดใส่หน้าเขา
เจตนาไล่เขากลับ
“เช่นนั้นข้าคงไม่อยู่กวนพวกเจ้าแล้ว
...เชิญท่านตามสบาย” ประโยคหลังเฟเรียหันไปพูดกับแขกของเฟยาทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี
ก่อนจะขอปลีกตัวออกไป
เฟยาสังเกตทุกท่าทางและสายตาของบุรุษเบื้องหน้าแล้วยิ้มเยือน
เขาเก่งยิ่งนั้นที่สามารถควบคุมตนเองให้นิ่งเฉยอยู่ได้ ทำเหมือนว่าไม่ได้สนใจเฟเรีย
ทั้งที่โดยปกติแล้ว บุรุษทุกผู้ทุกนายที่เห็นเฟเรียย่อมต้องแสดงอาการออกมาไม่มากก็น้อย
แต่ถึงเขาจะควบคุมตนเองได้ดีขนาดได้
แต่สายตามันก็ฟ้องอยู่ดี
“ข้าคิดว่าท่านคงไม่ได้สนใจในตัวข้าอีกต่อไปแล้ว
‘ท่านอามารันส์’ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น
ก็เชิญท่านกลับไปเถิด”
“ด้วยสัตย์จริง
ข้ายังคงสนใจในตัวท่านอยู่ ...พรุ่งนี้พบกัน” ชายหนุ่มขอตัวลา
ทว่าคำพูดทิ้งท้ายของเขาทำเอาเฟยาขมวดคิ้ว ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาสนใจในตัวเฟเรีย
แต่ยังพูดออกมาได้ว่าสนใจนาง มิหนำซ้ำยังบอกว่าพรุ่งนี้พบกันอีก
ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
ชายผู้นี้ยากจะคาดเดาเสียจริง
หลังจากออกมาจากบ้านของเฟยาแล้ว
อามารันส์ก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี วันนี้ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอหญิงงามเช่นเฟเรีย
หญิงที่มีความงามเลื่องลือไปทั่วทุกดินแดน เมื่อได้มาประจักษ์กับตาตนเอง
ถึงได้รู้ว่าคำล่ำลือนั้นด้อยลงไปถนัดตาเมื่อเทียบกับตัวจริง
และนั่นยิ่งทำให้เขาสนใจในตัวเฟยามากยิ่งขึ้น
วันต่อมา
อามารันส์ได้ทำตามที่พูดไว้ ในช่วงที่เฟเรียออกไปฝึกเวทย์กับท่านผู้เฒ่า
เขามาหาเฟยาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาได้เอ่ยปากขอหมั้นหมายเฟยากับเจ้าตัว
และบุพการีของนาง สร้างความยินดีให้แก่อัสคาและเมเรียยิ่งนัก
“เป็นโชคของเฟยาที่ได้เจอบุรุษเช่นท่าน”
อัสคากล่าวอย่างพึงพอใจเป็นที่สุด
“ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่า
‘ท่าน’ เลย
ต่อไปข้าก็จะกลายเป็นลูกชายคนหนึ่งของท่าน โปรดเรียกข้าอย่างลูกชายของพวกท่านด้วยเถอะ” ชายหนุ่มประจบ
อัสคาและเมเรียพึงพอใจเขาเป็นอย่างมาก
ซ้ำยังกล่าวชมเขาไม่ขาดปากว่าเป็นคนดีและสุภาพที่หาได้ยาก
“ข้าไม่ตกลง”
เฟยาโพล่งออกไป ทำให้คนทั้งสามหันมามองนางเป็นตาเดียว
“ข้าจะไม่หมั้นหมายกับผู้ใดทั้งนั้น”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าควรพูดนะเฟยา”
อัสคาปรามบุตรสาวเสียงหนัก แต่เฟยากลับไม่ใส่ใจ หากนางไม่พูดออกไปตอนนี้
แล้วนางจะได้พูดตอนไหนเล่า ในเมื่อท่านพ่อกับท่านแม่ทำเหมือนกับว่าพร้อมจะผลักไสนางให้เขาในทันทีเช่นนี้
“พวกท่านควรจะถามความสมัครใจของข้าก่อน
เรื่องคู่ครองต้องได้รับความยินยอมจากท่านพ่อท่านแม่ก็จริง
แต่เหนืออื่นใดต้องดูความสมัครใจของข้าด้วย ในเมื่อข้าไม่ต้องการหมั้นหมายกับเขา
...ทุกอย่างก็จบ”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเฟยา”
อัสคาออกคำสั่งเสียงกร้าว ยังไงก็ต้องให้เฟยาหมั้นหมายกับอามารันส์ให้ได้
“ท่านพ่อก็รู้ว่าข้ามีสิทธิ์ปฏิเสธ
ถึงพวกท่านต้องการให้ข้าหมั้นหมายกับเขามากแค่ไหน
แต่พวกท่านก็บังคับข้าไม่ได้หรอก” เฟยายังคงโต้ตอบอย่างสงบ
ในเมื่อนางไม่ยอมใครจะมาบังคับนางได้
โดยเฉพาะท่านพ่อท่านแม่ไม่เคยบังคับนางได้สักที
ที่ผ่านมาถึงพวกเขาจะคิดว่าบังคับหรือสั่งให้นางทำอะไรก็ได้
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ถ้านางไม่ยินยอมหรือเต็มใจเอง
พวกเขาก็ไม่เคยแม้แต่จะบังคับให้นางทำอะไรได้เลย
ผู้มาสู่ขอเห็นสถานการณ์ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
จึงเอ่ยปากขอยุติการหมั้นหมายไว้เพียงเท่านี้ แต่เขายังขอไปมาหาสู่ทำความรู้จักกับเฟยาให้มากขึ้น
เพื่อที่นางจะได้ตอบตกลงและหมั้นหมายกับเขาอย่างเต็มใจ ซึ่งอัสคาและเมเรียก็เห็นชอบด้วย
และนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเขาชื่นชอบในตัวบุรุษผู้นี้ยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อถึงเวลาที่เขาลากลับเฟยาขันอาสาขอเป็นคนเดินไปส่งเขาเอง
นางคงจะต้องทำความเข้าใจกับบุรุษผู้นี้ให้ชัดเจนเสียแล้ว
“ข้าดีใจที่เจ้ามาส่งข้านะเฟยา”
เขาหยอดคำหวานทั้งยังใช้สรรพนามอย่างสนิทสนม
“อย่าดีใจนักเลย
ข้าแค่อยากคุยกับเจ้าให้รู้เรื่องเท่านั้น” นางเองก็ไม่เรียกอามารันส์ว่า ‘ท่าน’ เช่นเคย
รู้สึกว่าการพูดการสุภาพกับเขาออกจะเป็นการให้เกียรติเขาไปหน่อย
ชายผู้นี้ไม่สมที่นางจะสุภาพด้วยเลย “ข้าคิดว่าเจ้าชอบเฟเรียเสียอีก
ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าจะมาขอหมั้นหมายข้า”
“ข้าน่ะหรือชอบเฟเรีย
ข้าบอกแล้วไงว่าข้าสนใจในตัวเจ้า”
“เจ้าใช้คำว่าสนใจกับข้า
ไม่ได้ใช้คำว่าชอบ นั่นแสดงว่าเจ้าไม่ได้ชอบข้า
ที่สำคัญ...แววตาเจ้ามันฟ้องเวลาเจ้าเห็นเฟเรีย เจ้าน่ะชอบเฟเรีย ไม่ใช่ข้า”
ได้ยินเฟยาพูดดังนั้น
อามารันส์ก็หัวเราะออกมา เขาคงตีค่าสตรีผู้นี้ต่ำเกินไปจริง ๆ
นึกว่านางจะโง่เง่าเสียอีก
ก็นางเป็นเพียงแค่คนที่อยู่ในเงามืดของเฟเรียเท่านั้นนี่นา
“เจ้าคงดูผิดไป...”
“อ้าว
เฟเรีย” เฟยามองเลยไปด้านหลังอามารันส์ มีผลให้เขารีบหันหลังกลับไปดู
จนได้รู้ว่าเขากำลังถูกหลอกเข้าเสียแล้ว
“คราวนี้ข้าคงดูไม่ผิดไปหรอกใช่ไหม”
นางยิ้มอย่างผู้ชนะ อามารันส์ผู้ถูกจับได้คาหนังคาเขาไม่สามารถแก้ตัวใด ๆ
ได้อีกต่อไป
“ข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปจริง
ๆ ไหน ๆ ข้าก็ถูกเจ้าจับได้แล้ว...เป็นอย่างที่เจ้าคิด
ข้าเดินทางมาจากมิดการ์ดก็เพราะเฟเรีย ยิ่งได้เห็นนางเมื่อวานนี้ข้าก็ยิ่งชอบและหลงใหลในตัวนาง”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ทำไมต้องมาขอหมั้นหมายข้า
ทำไมไม่เป็นเฟเรีย” นางข้องใจเหลือเกิน
หากเขาชอบเฟเรียก็น่าจะขอหมั้นหมายกับเฟเรียสิ ทำไมถึงเป็นนาง
อามารันส์นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบ
เฟยาไม่ใช่สตรีโง่เง่าอย่างที่เขาคิดเอาไว้
โกหกนางไปก็มีแต่จะยิ่งทำให้ตนเองดูโง่มากขึ้นเท่านั้น
“เจ้าคิดว่าพ่อแม่เจ้าจะยอมให้ข้าหมายกับเฟเรียหรือ”
เขาเคยได้ยินมาว่าไม่ว่าใครที่มาขอหมั้นหมายกับเฟเรีย เป็นต้องถูกปฏิเสธกลับไปทุกคน
ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นคหบดีร่ำรวย หรือจอมเวทย์ผู้สูงส่ง ทุกคนถูกตีค่าว่าด้อยค่าเกินกว่าจะคู่ควรกับเฟเรียทั้งสิ้น
แล้วมีหรือว่าพ่อแม่ของพวกนางจะยอมยกเฟเรียให้แก่เขาซึ่งเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง
ที่แม้จะร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้รวยล้นฟ้าและเด่นดังอะไร
“แต่ถ้าเป็นข้า ก็คงไม่แน่ใช่หรือไม่” บุรุษผู้แสนจะสุภาพคนนี้คิดจะใช้นางเป็นตัวแทนเฟเรียรึ
มันจะน่ารังเกียจเกินไปแล้ว “ในเมื่อเจ้าก็เห็นว่าข้ากับเฟเรียต่างกันขนาดนี้แล้ว
คงดูออกสินะว่าข้าคงจะเป็นตัวแทนนางให้เจ้าไม่ได้หรอก”
“ไม่จำเป็น
ข้าไม่เคยคิดจะใช้เจ้าเป็นตัวแทนเฟเรีย แต่ถ้าข้าได้หมั้นหมายกับเจ้า
ข้าก็ยังสามารถได้อยู่ใกล้ชิดเฟเรีย ในฐานะคนในครอบครัว”
“เจ้าบอกความจริงข้ามาอย่างนี้แล้ว
คิดหรือว่าเจ้ายังจะได้หมั้นหมายกับข้าอยู่ ถ้าท่านพ่อท่านแม่ข้ารู้เข้า
ย่อมไม่เป็นผลดีกับเจ้าแน่ ...แน่นอนว่าข้าต้องบอกเรื่องนี้ให้พวกเขารู้”
“พวกเขาไม่มีทางเชื่อเจ้าหรอกเฟยา
แค่เห็นพ่อแม่เจ้าวันนี้ก็รู้ว่าพวกเขาอยากยกเจ้าให้ข้าขนาดไหน
...พวกเขาเอนเอียงมาหาขนาดนี้ แค่ข้าบอกไปว่าเจ้าพูดจาเพ้อเจ้อ
พวกเขาย่อมเชื่อข้าแน่นอน”
น่ารังเกียจ
มันช่างน่ารังเกียจที่สุด คนผู้นี้คิดจะใช้ประโยชน์จากนางแน่นอนสินะ ...ไม่มีทางเสียหรอก ถึงท่านพ่อท่านแม่อยากจะยกนางให้เขาขนาดไหน
แต่คงไม่มีวันนั้นแน่
อัสคานั่งรอเฟยากลับมาอย่างอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
ลูกสาวฝาแฝดของเขาคลอดออกมาเวลาไล่เลี่ยกันแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกันนัก
เฟเรียสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ในขณะที่เฟยาไม่เคยได้ดั่งใจเขามาก่อน
เวทย์ก็ไม่ได้เรื่อง ดีแต่ทำตัวลอยชายหาสาระไม่ได้ไปวัน ๆ
วันนี้อุตส่าห์มีคนที่พอจะใช้ได้มาสู่ขอนาง
นางยังจะปฏิเสธอีก หรือนางต้องการจะต่อต้านเขาเสียทุกเรื่อง
“เจ้าคิดว่าจะมีคนอย่างอามารันส์มาสู่ขอเจ้าอีกรึ”
อัสคาเปิดฉากทันทีที่เฟยาย่างกรายเข้ามาในบ้าน
เฟยาเองอารมณ์ก็ไม่สู้จะสงบราบเรียบนักเมื่อใคร ๆ
ต่างก็คิดจะผลักนางให้คนน่ารังเกียจอย่างอามารันส์
“ท่านพ่อคงอยากผลักไสคนอย่างข้าเต็มทน
ถึงได้คิดจะยกข้าให้คนอื่นโดยไม่สนใจความต้องการของข้า”
“ความต้องการของเจ้าน่ะรึ
เจ้ามันก็ดีแต่โง่ และทำให้เสียเรื่องทุกที” อัสคาดูถูก ไม่ว่าอะไรที่เฟยาทำหรือตัดสินใจ
ในสายตาของเขาก็มีแต่ความไม่ได้เรื่องทั้งนั้น
“ท่านพ่อไม่ใส่ใจต่อความต้องการของข้าก็ช่างเถอะ
ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีวันยอมรับคนอย่างอามารันส์เด็ดขาด
หรือหากท่านพ่อต้องการเขามาเป็นลูกเขยนัก ก็ให้เขาหมั้นหมายกับเฟเรียเสียเลยสิ”
“เฟยา!”
เสียงตะคอกทำเอาเมเรียที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลถึงกับสะดุ้ง
น้อยครั้งนักที่อัสคาจะเดือดดาล จนต้องตะคอกเสียงดัง
เห็นทีคราวนี้เฟยาได้กวนโทสะของอัสคาจนเขาระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่
“อวดดีนักนะ
...ข้าหวังดีกับเจ้า เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ หรือเจ้าคิดว่าต่อจากนี้ไปจะมีบุรุษดี ๆ
มาให้เจ้าได้เลือกอีก อย่าฝันเฟื่องไปนัก”
“ท่านพ่อ!”
“ตั้งแต่วันนี้ไปข้าขอสั่งห้ามเจ้าไม่ให้ออกไปไหนอีก
จนกว่าเจ้าจะยอมหมั้นหมายกับอามารันส์”
วิธีกักบริเวณเฟยา
เป็นวิธีที่ทำบ่อยที่สุด และเป็นวิธีที่ไม่ได้ผลที่สุดเพราะไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถรั้งนางให้อยู่กับที่ได้ถ้านางไม่ต้องการ
แต่คนอื่นกลับคิดว่าเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด เพราะพวกเขาไม่เคยจับได้และไม่มีใครระแคะระคายสักครั้งเวลานางหนีออกไปข้างนอก อัสคาก็คิดว่าการกักบริเวณเฟยาเป็นวิธีที่ทำให้จะทำให้นางอยู่ในอาณัติ
และเชื่อฟังเขา
เฟยาไม่ตอบโต้อีกต่อไป
นางเดินขึ้นห้องของตนเหมือนทุกครั้งที่ต้องโดนกักบริเวณ อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องมีปากเสียงกับท่านพ่อหรือท่านแม่อีก
อยู่คนเดียวยังสบายใจกว่าเสียอีก
คราวนี้อัสคาโมโหเฟยามาก
เขาร่ายเวทย์กั้นอาณาเขตรอบห้องของนางไม่ให้นางหนีออกไปไหนได้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ทำให้ห้องของนางเปรียบเสมือนคุกจองจำโดยมีเขาเป็นผู้คุมถือกุญแจเพียงผู้เดียว
จนกว่านางจะยอมหมั้นหมายกับอามารันส์ เขาถึงจะยอมปลดอาณาเขตนี้ออกแล้วปล่อยให้นางเป็นอิสระ
เฟยาสัมผัสได้ถึงอาณาเขตที่ล้อมอยู่รอบห้องแล้วแค่นหัวเราะออกมา
อาณาเขตที่สร้างไว้ขังนางช่างเปราะบางเสียเหลือเกิน
นางร่างเวทย์ใส่แค่ไม่กี่ทีก็ทำลายได้แล้ว ท่านพ่อคงคิดว่าม่านพลังแค่นี้คงสามารถขังนางไว้ได้ตลอดไป ...ท่านคิดผิดอย่างมหันต์
“คิดว่าของแค่นี้จะขังคนอย่างเฟยาไว้ได้หรืออย่างไร”
นางพูดกับตนเอง หากนางไม่ยอมถูกขังเสียเอง ใครเล่าจะมากักขังคนอย่างนางได้
เฟยาปล่อยให้ตนเองถูกกักขังอยู่ในห้องโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักนิด
ท่านพ่อประเมินนางการกักขังนางต่ำเกินไป
การถูกขังไว้ในห้องนอกจากนางจะไม่เบื่อหน่าย และไม่อึดอัดที่ต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในห้องแล้ว
นางกลับรู้สึกสบายใจเสียอีกที่ไม่ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ และไม่ต้องเจอคนที่ไม่อยากเจอ
แต่ทุกวันเฟเรียจะแอบส่งข่าวให้นาง
ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวของบุรุษที่นางไม่อยากสนใจสักนิด ...อามารันส์มาหานางทุกวัน
แต่ท่านพ่อท่านแม่กลับปดไปว่านางไม่สบายหนักและไม่สามารถเยี่ยมได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับมาหานางทุกวัน
อามารันส์สร้างความประทับใจให้ท่านพ่อท่านแม่ของนางไปโดยปริยาย
พวกท่านคิดว่าอามารันส์เป็นห่วงเป็นใยนางจนต้องมาหาและสอบถามอาการป่วยของนางทุกวัน
ทว่าสิ่งที่เขาทำกลับทำให้นางนึกรังเกียจเขายิ่งขึ้น
เขาหลอกใช้นาง
ใช้สถานการณ์ของนางเป็นข้ออ้างเพื่อมาพบหน้าเฟเรีย
เฟเรียบอกนางว่าอามารันส์สอบถามอาการป่วยจากเฟเรียตลอด
แสร้งทำเป็นห่วงใยนางแต่ที่แท้กลับใช้สถานการณ์ของนางเป็นข้ออ้างในการพบปะกับเฟเรีย
ร้ายกาจและน่ารังเกียจยิ่งนัก...
ทว่า เฟเรียกลับไม่ระแคะระคายสักนิด
ตอนนี้ทุกคนคงคิดว่าอามารันส์รักและห่วงใยนางอย่างจริงใจ
ทั้งที่สิ่งที่เขาทำมีเจตนาแอบแฝงทั้งสิ้น
3
วันก่อนวันพระจันทร์สีเลือด
ม่านพลังที่กักขังเฟเรียไว้ในห้องได้ถูกปลดออก
เฟยาแปลกใจนักที่จู่ ๆ ท่านพ่อก็ปล่อยให้นางเป็นอิสระ
แต่เมื่อได้รู้ความจริงจากปากของเฟเรีย นางถึงได้เข้าใจ
อามารันส์มาลาท่านพ่อท่านแม่กลับมิดการ์ด
เพื่อไปทำธุระสำคัญประจวบกับใกล้วันพระจันทร์เลือดที่ชาวอีสการ์ดยึดถือกันนักหนาว่าไม่ให้ออกจากจากเรือน เขาจึงถือโอกาสนี้กลับมิดการ์ดเสีย
ทีแรกไม่คิดว่าการมาทาบทามสู่ขอเฟยาผู้เป็นดั่งเงามืดที่ไม่น่าสนใจจะเสียเวลามากมายถึงเพียงนี้
แต่ในการเสียเวลานั้นกลับมีข้อดีคือ อย่างน้อยเขาก็ยังได้เสวนากับเฟเรีย
หญิงที่เขาใฝ่ฝันอยู่ทุกค่ำคืน ชื่อเขาของยังได้ประทับอยู่ในใจของนาง
ผิดกับบุรุษอื่น ๆ ที่แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลย
“ข้าเห็นว่าอามารันส์นั้นจริงใจกับเจ้านัก
เหตุใดเจ้าถึงได้ปฏิเสธเขาอยู่ร่ำไปเล่าเฟยา” เมื่อม่านพลังของอัสคาถูกปลดออก
เฟเรียจึงถือโอกาสนี้เข้าไปเยี่ยมเยียนเฟยาและพูดจาตามประสาพี่น้อง
“ถึงเจ้าจะคิดว่าเขาจริงใจกับข้าสักเพียงไร
แต่ในเมื่อข้าไม่ได้ชอบพอในตัวเขา
แล้วเจ้าจะให้ข้ายอมรับการสู่ขอจากเขาอย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่ได้คิดจะเกลี้ยกล่อมเจ้าหรอก
เพียงแต่ข้าเห็นว่าอามารันส์จริงใจกับเจ้าจริง ๆ เขาชอบเจ้ามากนะเฟยา
ระหว่างที่เจ้าถูกท่านพ่อขังอยู่ในห้อง เขาก็มาหาเจ้าไม่ได้ขาด
ข้านั้นพอได้เห็นความตั้งใจของเขาแล้วก็อดจะเข้าข้างเขาไม่ได้
บุรุษที่ทุ่มเทเพื่อคน ๆ หนึ่งขนาดนี้ หาไม่ได้ง่ายนัก”
เฟยาไม่ได้พูดอันใดอีก
อามารันส์ร้ายนัก ทำให้ใครต่อใครพากันเห็นดีเห็นงามกับเขาไปหมด
แล้วนางจะพูดมากให้มีประโยชน์อันใดเล่า
แค่นางยืนกรานต่อความต้องการของตนเองก็พอแล้ว
ตอนนี้นางสนแค่เพียงคืนพระจันทร์สีเลือดที่ใกล้เข้ามาทุกที
“เฟยา
ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” เฟเรียอมยิ้มขณะพูด
ทำให้เฟยาสนใจนักว่าเฟเรียกำลังจะพูดเรื่องอะไร
“ข้าว่าคงเป็นเรื่องดีสินะ
เจ้าถึงได้ดูอารมณ์ดีเช่นนี้” เฟยาเย้าเล่น แต่กลับทำให้เฟเรียหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก
“ข้า...ข้าเจอเขา
ข้าเจอเขาที่นี่” ยิ่งพูดเฟเรียก็ยิ่งแสดงอาการเขินอาย
“เขา
นี่ใครกัน”
“เจ้าจำที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังได้ไหม
บุรุษที่ข้าเห็นที่เวสต์การ์ด ตอนนี้เขามาที่อีสการ์ดแล้ว
เฟยา...เจ้าคิดว่าเขามาหาข้าหรือไม่” แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังของสาวงาม
ดูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก พลอยให้เฟเยารู้สึกตื่นเต้นตาม
“ดูสีหน้าเจ้าสิ
เก็บอาการไม่อยู่เลย เจ้าคงดีใจมากสินะที่เจอเขา”
เป็นครั้งแรกที่เฟยาเห็นแฝดผู้น้องใคร่ให้บุรุษสนใจในตัวนาง
ดูท่าว่าบุรุษผู้นั้นคงมีดีไม่น้อย
“โธ่เฟยา
เจ้าตอบข้ามาเถอะ เจ้าคิดว่าเขามาหาข้าหรือเปล่า ข้าไม่อยากคิดไปเองฝ่ายเดียว”
“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่าเฟเรีย
ว่าเขามาหาเจ้า หรือแค่บังเอิญมาที่อีสการ์ด”
“ก็เมื่อตอนที่ข้าเห็นเขาที่ตลาด
เขาหันมายิ้มให้ข้าแล้วเหมือนเขาจะเรียกข้าด้วย แต่ว่า...”
น้ำเสียงพลันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเสียดาย สีหน้าพลอยดูหงอยเหงาลงไปด้วย
“แต่ว่าตอนนั้นคนในตลาดพลุกพล่านเหลือเกิน นอกจากข้าจะไม่ได้ยินเสียงเขาแล้ว
ข้ายังคลาดกับเขาอีกต่างหาก”
“อย่าคิดมากเลยเฟเรีย
หากเขาตั้งใจมาหาเจ้าจริง อีกไม่นานเขาก็ต้องมาปรากฏกายต่อหน้าเจ้าอีกครั้งแน่นอน”
เฟเรียได้กำลังใจจากเฟยาทำให้นางรู้สึกดีใจขึ้นมาก
แต่ก็กลัวว่าบรุษผู้นั้นจะไม่ได้มาหานางนี่สิ แต่ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่ง
ดูจากการกระทำของเขาแล้ว คาดว่าเขาคงมาหานางไม่ผิดแน่
เฟเรียนึกถึงบรุษที่นางได้เห็น
...เขาโดดเด่นท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่ เส้นผมยามต้องแสงแดดส่องประกายเหมือนเปลวเพลิงที่เจิดจ้า ใบหน้าคมคาย การแต่งกายที่ดูเหมือนอันธพาลต่างแดน
ยิ่งทำให้เขาดูสะดุดตายิ่งขึ้น
แต่ทุกท่วงท่าของเขากลับดูน่าเกรงขามและสง่างามกว่าใครที่นางเคยพบ
เมื่อไหร่กันนะที่เขาจะเข้ามาทักนาง...
เห็นเฟเรียกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก
เฟยาเองก็พลอยนึกถึงคีลไปด้วย เมื่อนางได้อยู่เพียงลำพัง
นางมักดึงจี้คริสตัลออกมาจากดูเพื่อเป็นกำลังใจแก่ตน ตั้งแต่วันที่คีลสวมให้นาง นางไม่เคยถอดออกเลยสักครั้ง
เพื่อรอวันที่นางจะมอบคืนให้เขา ...นางคิดถึงเขาเหลือเกิน
เมื่อใจทั้งดวงของนางมีแต่เขาจนไม่เหลือที่ว่างให้ใคร
แล้วนางจะยอมหมั้นหมายกับผู้อื่นให้ตนเองช้ำใจได้อย่างไร
“ข้ารอเจ้าอยู่นะ” นางพูดกับจี้คริสตัล
เปรียมเสมือนหนึ่งว่ามันคือตัวแทนของเขา
อีกเพียงไม่กี่ราตรีก็จะถึงวันพระจันทร์สีเลือด
เวลาที่นางรอคอยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
เมื่ออามารันส์กลับมิดการ์ด
อัสคาถึงปลดม่านพลังที่กักขังเฟยาไว้ออก เพราะไม่มีประโยชน์อันใดที่จะกักขังนางไว้
แล้ว ยิ่งใกล้ถึงวันที่พระจันทร์สีเลือด ก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกจากบ้านไปไหน
เพราะถือกันว่าแสงของพระจันทร์สีเลือดเปรียบดั่งเลือด
หากผู้ใดออกจากบ้านต้องแสงจันทร์ก็เปรียบกับต้องประสบเคราะห์ร้าย
ดังนั้นชาวอีสการ์ดจึงไม่มีใครยอมออกมาจากบ้านเมื่อวันพระจันทร์สีเลือด
คงมีเพียงหญิงสาวจอมดื้อรั้นเท่านั้น
นางไม่สนว่าจะต้องประสบเคราะห์ร้ายจนเลือดอาบไปทั้งร่าง
นางสนเพียงนัดหมายของนางกับคีลเท่านั้น
ถึงในอนาคตนางจะต้องประสบเคราะห์ร้ายถึงกับชีวิต
แต่นางก็จะไม่ยอมพลาดนัดหมายสำคัญนี้เด็ดขาด
โดยเฉพาะปีนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น