“เฟยา” หญิงร่างอ้วนตะโกนหาเมื่อเห็นด้านหลังของหญิงสาวคุ้นตา
“...”
“เฟยา” ร้องเรียกซ้ำอยู่นานหญิงสาวถึงได้หันหลังมอง
หญิงสาวรูปงามดวงตากลมโตแลดูสดใส
จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่มที่หยักได้รูป ดวงหน้าเรียวสวยสะอาดสะอ้าน หันมามองที่นางอย่างฉงน
“อ้าว เฟเรียหรอกหรือ
ข้านึกว่าเป็นเฟยาเสียอีก” หญิงร่างอ้วนเข้าใจผิดนึกว่าหญิงสาวที่ตนตะโกนเรียกคือเฟยา
เพราะเฟเรียยืนอยู่ในที่ร่ม ทำให้นางเข้าใจผิด
สองพี่น้องฝาแฝดนี้แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใครได้ในทันที เพียงโดยเฉพาะเวลาพวกนางหันหลังให้
น้อยคนนักที่จะแยกพวกนางออก ถึงแม้ว่าเฟเรียจะมีผมยาวสีน้ำตาลอ่อน
และเฟยามีผมยาวสีน้ำตาลเข้ม หากเมื่อเฟเรียยืนอยู่ในที่ร่ม
เงาของร่มไม้จะทำให้มองเห็นสีผมของนางเป็นสีน้ำตาลเข้ม เฉกเช่นเดียวกับเฟยาที่เมื่อยืนอยู่กลางแจ้ง
แสงแดดจ้าจะช่วยสะท้อนให้ผมของนางเป็นประกายแลดูเหมือนสีผมของเฟเรียไม่ผิด
แต่สิ่งที่สามารถแยกฝาแฝดสองนางนี้ได้ชัดเจนก็คงจะเป็นเสื้อผ้าการแต่งกาย
และท่าทาง เฟเรียมักจะแต่งกายสวยงามน่ามองอยู่เสมอ ใบหน้าสะอาดสะอ้าน
ผมถูกจัดแต่งไว้อย่างดีไม่มีปรกหน้าให้ดูรำคาญตา ส่วนเฟยานั้นมักจะแต่งกายด้วยสีทึม
ๆ และเสื้อผ้าของนางก็มักจะดูทะมัดแทมง มากกว่าดูอ่อนหวาน ผมเผ้าก็มักจะปรกหน้าปรกตาอยู่เสมอ
“ไม่เป็นไรหรอกท่านป้า
ท่านมีธุระอะไรกับเฟยาหรือ ฝากบอกข้าได้นะ”
เฟเรียยิ้มให้หญิงร่างอ้วน
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก
เมื่อวันก่อนเฟยามาถามข้า เห็นว่าแม่ของพวกเจ้าอยากได้ผ้าใหม่
พอดีที่ร้านเพิ่งได้ผ้าใหม่ ๆ มาหลายพับ ข้าเลยจะฝากไปบอกเมเรียสักหน่อย
เผื่อนางจะสนใจ”
“แล้วข้าจะบอกท่านแม่ให้” เมเรียบอกไปอย่างสุภาพ ซึ่งถูกใจหญิงร่างอ้วนเจ้าของร้านขายผ้ายิ่งนัก
“เจ้างดงามขนาดนี้
ข้าล่ะอิจฉาเสียจริง เจ้าอยากได้ผ้าใหม่บ้างไหมล่ะ ข้ายกให้เจ้าเปล่า ๆ เลยก็ได้นะ
ข้าชอบเวลาเห็นผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ ใส่เสื้อผ้าสวย ๆ แล้วถ้ามีคนมาถามเจ้า
เจ้าต้องบอกด้วยนะว่าได้ผ้ามาจากร้านข้า”
“ข้าขอบคุณท่านป้ามาก แต่ของซื้อของขายข้าไม่กล้าเอามาเปล่า
ๆ หรอก”
“แหม จะเป็นไรไปเล่า
ร้านข้ามีผ้าตั้งหลายพับ ยกให้เจ้าสักพักสองพับไม่ทำให้ข้าเดือดร้อนหรอก” หญิงเจ้าของร้านยังคงคะยั้นคะยอเฟเรีย แต่เฟเรียก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
อย่างรักษาน้ำใจ
“ไว้โอกาสหน้าแล้วกันท่านป้า
หากวันใดข้าอยากได้ผ้าใหม่สักพื้น ข้าจะมาหาท่านแล้วกัน”
“ได้ ๆ”
รอยยิ้มและดวงตากลมโตของเฟเรีย
พาให้ใครต่อใครต่างหลงใหล นางเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่คอยให้ความสว่าง
แลดูสดใจอยู่ตลอดเวลา ยิ่งนางเป็นเป็นศิษย์เอกของท่านผู้เฒ่าแห่งอีสการ์ดด้วยแล้ว
ผู้คนก็ยิ่งชื่นชอบและเคารพในตัวนาง
เฟเรียเดินตลาดด้วยความเบิกบาน
ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างทักทายนาง และนางก็ทักทายตอบไปอย่างสุภาพทุกคน
ทุกร้านที่เดินผ่านต่างนำเสนอสินค้าที่เหมาะให้แก่นาง
ร้านค้าที่นางหยุดยืนดูต่างก็พากันมอบสินค้าให้นางโดยที่นางยังไม่ออกปาก
แต่นางก็ปฏิเสธที่จะรับของจากทุกคน
ใช่ว่านางจะรังเกียจ แต่นางมีพร้อมสรรพไม่ต้องสิ่งใดเพิ่มอีกแล้ว
นับแต่นางเติบใหญ่เป็นหญิงสาวเต็มตัว ได้มีผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าวานิช
จอมเวทย์ ผู้คนจากดินแดนอื่น ต่างพากันนำของมากำนัลแก่นาง ขอเพียงแค่นางยอมพบกับพวกเข้าเหล่านั้นแม้เพียงวินาทีเดียว
ของล้ำค่าที่นางมีไว้ในครอบครองล้ำค่ายิ่งกว่าของสวยงามที่วางขายในตลาดของอีสการ์ดนี้มากนัก
ทำให้ของที่วางอยู่ตรงหน้า แลดูด้อยค่าไปถนัด
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” เฟเรียกลับมาถึงบ้าน หลังจากเดินตลาดโดยไม่ได้ของใด ๆ ติดไม้ติดมือกลับมา
“เจ้ามาแล้วหรือ
ฝึกเวทย์กับท่านผู้เฒ่าเสร็จคงเหนื่อยแย่สิ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
“ข้าไม่เหนื่อยเท่าใดหรอกท่านแม่
เมื่อสักครู่ข้าเพิ่งไปเที่ยวตลาดมา ท่านป้าที่ร้านผ้าฝากมาบอกด้วยท่านด้วยว่าที่ร้านเพิ่งได้ผ้าใหม่มา”
“จริงหรือ ดีเลย
แม่ว่าจะหาผ้าใหม่มาตัดอยู่พอดี”
เฟเรียมองออกไปทางหน้าต่างหลังบ้านเพราะได้ยินเสียงโป๊ก
ๆ ดังอยู่เป็นระยะ ๆ แล้วก็ได้เห็นเฟยาที่กำลังผ่าฟืนกองโตอย่างขะมักเขม้น
นางเดินไปหาฝาแฝดของตนทันทีกะว่าจะช่วยให้งานของเฟยาเสร็จเร็วขึ้น
แต่ถูกเมเรียดักทางไว้เสียก่อน
“ถ้าเจ้าจะไปหาเฟยาแม่ไม่ว่า
แต่อย่าไปช่วยนางผ่าฟืนเชียวล่ะ”
“ทำไมกันเล่าท่านแม่” เพียงแค่นางใช้เวทย์ ฟืนกองโตก็ถูกผ่าเป็นชิ้นในเสี้ยววินาที
ไม่ได้ใช้พลังอะไรมากมาย
“เพราะว่าเฟยาว่างงานน่ะสิ
มิหนำซ้ำนางยังเกียจคร้าน ไม่ยอมฝึกเวทย์ ไม่ยอมทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แม่ถึงต้องให้นางทำอะไรบ้างน่ะสิ หากเจ้าช่วยนาง จะยิ่งทำให้นางได้ใจและเกียจคร้านหนัก”
“ค่ะ ท่านแม่” เฟเรียน้อมรับคำสั่งของเมเรียก่อนจะออกไปหาแฝดของตน
“เป็นอย่างไรบ้างเฟยา”
หญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลเข้มรวบผมยาวเป็นหางม้า
เหงื่อผุดพรายตามใบหน้าใบหน้าเรียว ดวงตาคมผิดกับแฝดของตนถูกบดบังด้วยผมหน้า ดูรกรุงรัง
เสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มเกือบดำเต็มไปด้วยฝุ่นและเศษไม้เล็ก ๆ ที่ปลิวมาติด
ทำให้เฟยาดูมอมแมมยิ่งนัก
“เหงื่อออกกำลังดีเชียว
หากท่านแม่สั่งให้ข้าฝ่าฟืนทุกวัน แขนทั้งสองข้างของข้าคงมีกล้ามลูกใหญ่ ๆ
ขึ้นในอีกไม่นาน เผลอ ๆ อาจจะเท่า ๆ กับท่านพ่อก็ได้”
เฟยาพูดติดตลก จนเรียกหัวเราะจากเฟเรียได้
“แค่เจ้าตั้งใจฝึกเวทย์อย่างเสียบ้าง
กองไม้พวกนี้ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ”
เฟยาเองก็คิดว่ากองไม้แค่นี้ นางแค่ใช้เวทย์ไม่นานก็เสร็จ
เพียงแต่นางอยากออกกำลังเท่านั้น เพราะอาจารย์คอยย้ำเตือนนางตลอดว่า
เวทย์ของนางถูกสะกดไว้ จึงต้องสร้างพละกำลังมาทดแทนในส่วนที่ขาดหาย
แต่นางก็คิดว่าเวทย์ที่นางใช้ได้ในแต่ละครั้ง
มันไม่ได้น้อยนิดขนาดที่อาจารย์ต้องกังวล แม้จะเป็นเพียง
ทว่าเทียบกับพลังเวทย์ที่ถูกสะกดไว้แล้วมันจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ตาม
เพียงแต่ว่าระยะหลังมากนี้
อำนาจเวทย์ของนางแข็งแกร่งขึ้นมากจนนางเองรู้สึกได้ จึงทำให้การใช้เวทย์แต่ละครั้งของนางถึงขีดจำกัดอย่างรวดเร็ว
และทุกครั้งนางต้องเจ็บปวดเพราะตราสะกดบนแผ่นหลัง แม้จะเจ็บไม่มากเพราะนางไม่ได้ฝืนใช้เวทย์
แต่นั่นก็แสดงให้นางรู้ว่าเวทย์ที่นางใช้แต่ละครั้งถึงจะดูน้อยนิดในสายตานาง
แต่มันกลับเต็มไปด้วยอำนาจเวทย์ที่มากมายและแข็งแกร่ง และด้วยเหตุนี้นางจึงต้องสร้างพละกำลังให้ตัวเองและพยายามลดการใช้เวทย์ของตน
“แล้ววันนี้เจ้าฝึกเวทย์เป็นอย่างไรบ้าง” เฟยาถาม
“อาจารย์ท่านเริ่มสอนให้ข้าสร้างอาวุธเวทย์แล้ว
แต่ทำยังไงข้าก็สร้างไม่ได้เสียที พอข้าคิดว่าทำได้แล้ว อาวุธที่สร้างขึ้นก็เสียรูป
คืนสภาพเดิมทุกที” เฟเรียกล่าวอย่างเป็นกังวล หากนางยังไม่สามารถสร้างอาวุธเวทย์ขึ้นมาได้
นางต้องถูกอาจารย์ต่อว่าแน่ อาจารย์ของนางและคนอื่น ๆ ต่างคาดหวังในตัวนางสูง คิดว่านางสามารถใช้เวทย์ให้ทุกอย่าง
เรียนรู้ได้เร็วและสามารถใช้ได้ทันที จนตอนนี้นางรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
“ข้ามีวิธีทำให้เจ้าสร้างอาวุธเวทย์ได้เก่งขึ้นนะเฟเรีย”
เฟเรียเสนอ
“อย่างไรหรือ”
“เจ้าก็ลองสร้างขวานจากเวทย์สิ” เฟยาชูขวานที่อยู่ในมือตนให้เฟเรียดูเป็นตัวอย่าง “แล้วก็ใช้ขวานที่เจ้าสร้างช่วยข้าผ่าฟืนพวกนี้
นอกจากเจ้าจะได้ฝึกเวทย์แล้ว เจ้ายังได้ลองด้วยนะว่าอาวุธที่เจ้าสร้างขึ้นสามารถใช้งานได้หรือไม่”
“เจ้านี่...เฮ้อ” นางนึกว่าเฟยาจะมีความคิดดี ๆ
ที่ทำให้นางสร้างอาวุธเวทย์ได้เก่งขึ้นเสียอีก ที่แท้เฟยาก็แค่หาคนมาช่วยตนผ่าฟืนเท่านั้นเอง
“ถึงข้าจะอยากช่วยเจ้าผ่าฟืนมากขนาดไหนนะเฟยา แต่ท่านแม่คงไม่ยอมหรอก
ยิ่งรู้ว่าข้าช่วยเจ้า เจ้าเองนั่นแหละที่จะถูกท่านแม่ทำโทษ”
เฟยายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
นางก็พูดไปอย่างนั้นเอง
ขณะที่เฟยากำลังฝ่าฟืนอย่างแข็งขัน
เฟเรียก็นั่งลงบนกองฟืนที่ผ่าแล้วและวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ นางพยายามสร้างอาวุธเวทย์ขึ้นมาจากไฟ
แต่เปลวไฟไม่อาจมีรูปลักษณ์ที่ชัดเจน เมื่อนางตั้งสมาธิจนเปลวไฟมีรูปร่างใกล้เคียงกับที่นางต้องการ
แต่เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นมันคลายรูปร่างจนไร้รูปทรงดังเดิม
เฟยาหันไปมองเฟเรียหลายต่อหลายครั้ง
แล้วก็เห็นความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางก็ไม่อาจช่วยอะไรเฟเรียได้ ยิ่งเฟเรียตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการสร้างอาวุธจนเผลอไผลต่อสิ่งรอบข้าง
จนละเลยความระมัดระวังว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ใกล้กับกองเชื้อเพลิง
ทำให้ประกายไฟของเฟเรียติดกับกองไม้กองฟืนอยู่บ่อยครั้ง จนนางต้องเหลียวมองเฟเรียอยู่บ่อย
ๆ และคอยดับไฟโดยไม่ให้เฟเรียรู้ตัว
“เฟเรีย
ข้าว่าเจ้าไปนั่งที่อื่นเถอะ” เฟยาชักเบื่อ
นางต้องผ่าฟืนอีกกองใหญ่ที่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อใด
แล้วยังต้องมาคอยระมัดระวังให้เฟเรียอีก แล้วอย่างนี้นางจะทำงานเสร็จได้อย่างไร “เจ้ามาใช้เวทย์ไฟบนกองฟืนเนี่ยนะ...ดูสินั่น”
เฟยาชี้เปลวเพลิงเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นข้าง ๆ เฟเรีย
“ว้าย” เฟเรียตกใจที่เห็นผลงานความเลินเล่อของตนเอง จึงรีบดับไฟแล้วลุกไปนั่งบนพื้นที่อยู่ห่างจากกองฟืนที่นางนั่ง
“เกือบไปแล้ว”
“เจ้าเข้าบ้านไปเถอะเฟเรีย
ถ้าเจ้าไม่เข้า ก็มาช่วยข้าผ่าฟืนดีกว่า”
“ท่านแม่ได้ลงโทษเจ้าน่ะสิ”
ถูกอย่างที่เฟเรียพูด
หากเฟเรียช่วยนางทำงาน นางคงต้องถูกท่านแม่ลงโทษ ซึ่งแน่นอนว่าเฟเรียจะไม่ถูกลงโทษเช่นนาง
ไม่ว่าจะในแง่ผู้ร่วมกระทำผิด หรือฝ่าฝืนคำสั่ง
เฟเรียก็จะไม่มีวันถูกท่านพ่อท่านแม่ลงโทษเด็ดขาด
ก็มีแต่นางนี่แหละที่รับเคราะห์ไปเต็ม ๆ
เฟเรียคิดถูกแล้วที่ไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านแม่
เมื่อราตรีมาเยือนแสงจันทร์กระจ่างทั่วนภา
ผู้คนต่างหลับใหลเข้าสู่นิทรารมย์ เมื่อนั้นก็เป็นเวลาของเฟยา
หญิงสาวลุกออกจากที่นอนโดยแน่ใจแล้วว่าห้องนอนของตนลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา และที่สำคัญคือ...ทุกคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว
เฟยาค่อย ๆ โรยตัวออกทางหน้าต่างห้องนอนของตนซึ่งอยู่ชั้น
2 อย่างแผ่วเบาและสวยงาม เมื่อสังเกตรอบ ๆ แล้วว่าไม่มีใครเห็นนาง
นางจึงรีบรุดไปยังป่าต้องห้าม
ป่าต้องห้ามที่ต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม
ยากที่แสงแดดจะส่องถึงนับประสาอะไรกับแสงจันทร์กระจ่าง
ที่ให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ทำให้ในป่ามีแต่ความืดมิด
แต่เฟยาก็ยังคงเดินเข้าป่าต้องห้ามไปอย่างไม่สะดุด
นางเข้าออกป่านี้มาหลายปีแล้วถึงนางจะหลับตาเดินนางก็ยังเดินได้อย่างชำนาญทาง
แม้ในป่าจะมืดสักเพียงใดเฟยาก็ยังคงเหยียบย่างเดินอย่างสบาย ๆ นางเลือกที่จะเดินเข้าป่าแบบมืด
ๆ แทนที่จะใช้เวทย์สร้างแสงสว่างนำทาง
เพราะนางต้องการความแน่ใจว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นนาง
ยิ่งนางเข้าออกป่าต้องห้ามมานานเท่าใด
นางก็ยิ่งต้องอาศัยความระมัดระวังไม่ให้ใครจับได้มากขึ้นเท่านั้น
“อาจารย์ข้ามาแล้ว”
ชายหนุ่มที่ยังดูอ่อนวัย
มีหนวดเครารกครึ้มบดบังใบหน้า นั่งอยู่หน้ากองไฟซึ่งก่อไว้หน้าถ้ำ
เฟเรียเข้าไปนั่งข้าง ๆ อาจารย์ ทว่าก้นยังแตะไม่ถึงพื้นนางก็ต้องรีบถอยห่างออกมา
“อาจารย์
นี่ท่านไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้ว”
“เรื่องแค่นี้เจ้าอย่าใส่ใจนักเลย”
“ก็ท่าน...” เฟยาเอานิ้วบีบจมูกตนเอง “เหม็นนี่”
“นังเด็กนี่”
“หนวดเคราก็ไม่ยอมโกน
ผมท่านน่ะสามารถให้พวกนกมาทำรังอยู่ได้เลยนะอาจารย์
ข้าว่าท่านไปอาบน้ำเสียบ้างเถอะ ไม่เห็นแก่ตนเองก็เห็นแก่ลูกศิษย์ของท่านบ้างเถอะ” หากอาจารย์ของนางหมั่นอาบน้ำบ้างก็คงดี ยิ่งหนวดเครายิ่งแล้วใหญ่ นาน ๆ
ครั้งนางถึงจะเห็นใบหน้าที่เกลี้ยเกลาของอาจารย์โดยปราศจากเครารก ๆ พวกนั้นเสียที
แต่ยิ่งนึกนางก็ยิ่งสงสัย
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดอาจารย์ของนางก็ยังดูหนุ่มอยู่เสมอ
ผิดกับท่านพ่อของนางที่นับวันจะยิ่งแก่ลงเรื่อย ๆ จนนางไม่อาจคาดเดาได้ว่าอาจารย์อายุเท่าไรแล้ว
“เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นอาจารย์
ข้าจะอาบน้ำหรือไม่อาบมันก็เรื่องของข้า”
“แต่ว่า” เฟยาหน้างอง้ำ “กลิ่นมันเหลือทนแล้วนี่อาจารย์
ขนาดข้านั่งห่าง ๆ ท่านข้ายังได้กลิ่นเลย เอาน่าอาจารย์ก็แค่อาบน้ำเท่านั้นเอง แล้วพรุ่งนี้ข้าจะเอาของโปรดท่านมาให้” เฟยาชักจูงด้วยเหล้าโปรดของอาจารย์
“ได้
แล้วเจ้าอย่าลืมเสียล่ะ พรุ่งนี้เอามาให้ข้าสองขวด”
“สองขวด!!” เหล้าที่อาจารย์โปรดปรานนั้นแรงเป็นพิเศษ
หนึ่งขวดอาจารย์ดื่มหมดภายในหนึ่งเดือน แล้วนี่จะให้นางเอามาให้ตั้งสองขวดเชียว
อาจารย์คงไม่ดื่มทั้งสองขวดภายในเดือนเดียวหรอกนะ
“ใช่สองขวด
แต่ว่าตอนนี้เจ้าไปเก็บฟืนมาให้ข้าเสียก่อน ฟืนใกล้จะหมดแล้ว”
ตอนเช้านางต้องผ่าฟืน
ตกกลางคืนนางก็ต้องหาฟืน นางกลายเป็นคนหาฟืนไปแล้วหรือนี่
เฟยาสร้างดวงไฟขึ้นมาดวงหนึ่งไว้แทนตะเกียงเพื่อส่องนำทาง
เพียงแต่ดวงไฟนั้นส่องสว่างชัดเจนกว่าตะเกียงใด ๆ แต่กลับนวลตาดั่งแสงจันทร์ และลอยล่องส่องนำทางอยู่ข้างหน้านาง
“เดวา” เกวลเรียก
“อะไรหรืออาจารย์”
“คราวก่อนเจ้าก็ไปหาฟืนแถวนั้น
ป่านนี้มันยังคงเหลือให้เจ้าเก็บอยู่หรอก”
เกวลชี้ให้เฟยาเดินไปอีกทางหนึ่ง “เก็บมาให้เยอะ ๆ ล่ะ”
“ทราบแล้วอาจารย์” เฟยาตอบเสียงอ่อย
นางเดินเก็บเศษกิ่งไม้ไปตามทาง
ใหญ่บ้างเล็กบ้าง บ้างก็เจอท่อนไม้ใหญ่ที่หักลงมาอยู่ใต้ต้น พอเก็บได้เยอะขึ้น
นางก็จะหาเถาวัลย์มามัดพวกฟืนเข้าไว้ด้วยกัน มัดเข้า มัดเข้า
มัดไปมัดมากลายเป็นว่านางต้องลากมัดฟืนเกือบสิบมัดและฟืนที่เก็บได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นท่อนไม้ใหญ่ทั้งนั้น
ที่อาจารย์สั่งให้นางมาเก็บฟืนทางนี้เพราะอาจารย์ต้องการใช้งานนางให้หนักหรือนี่...อาจารย์คงไม่ได้ทำให้ท่อนไม้ใหญ่
ๆ พวกนี้ตกลงมาหรอกนะ
เฟยาเดินกลับไปหาอาจารย์ที่ถ้ำ โดยมีดวงไฟที่สร้างขึ้นลอยนำหน้า
และกองท่อนฟืนลอยตามหลัง...แล้วนางจะเสียแรงแบกไปทำไมกันเล่า
“อาจารย์ข้ากลับมาแล้ว”
เกวลแค่ปรายตามองลูกศิษย์แล้วสั่งให้นางผ่าฟืนที่นางเก็บมาได้ทั้งหมดให้เสร็จ
เฟยาน้อมรับคำอย่างว่าง่าย นางนำท่อนไม้ และเศษไม้ที่เก็บได้กองไว้รวมกันอย่างเป็นระเบียบ
เฟยามองกองไม้ที่ซ้อนกันเป็นชั้น
ๆ อย่างพึงพอใจ แล้วตวัดมือขึ้น เพียงแค่ไม่กี่ครั้งสายลมแหลมคมที่พัดผ่านได้ผ่ากองไม้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่เสียเวลา
“นี่ ๆ
ใครใช้ให้เจ้าใช้เวทย์ฮึ เดวา” ชายหนุ่มท้วง
“แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามข้านี่” เฟยาย้อน
“ข้าอยากให้เจ้าฝึกกำลังไว้บ้าง
เอาแต่ใช้เวทย์อย่างนี้ สักวันจะกลายเป็นคนปวกเปียกเอา”
“โธ่! อาจารย์ ...วันนี้ข้าโดนท่านแม่ใช้ผ่าฟืนตั้งแต่เช้า
แล้วนี่อาจารย์ก็จะให้ข้าผ่าฟืนอีก ท่านไม่สงสารข้าบ้างเหรอ
ตอนนี้ข้าแทบไม่มีแรงแล้วนา แล้วท่านดูนี่สิ” นางถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วโชว์กล้ามเนื้อเล็ก
ๆ ที่ต้นแขนของนาง “แขนข้ากล้ามขึ้นแล้วนะอาจารย์
ผู้หญิงที่มีกล้ามน่ะน่าเกลียดจะตายไป”
“แค่นี้เขาไม่เรียกว่ากล้ามหรอกนังเด็กน้อย”
“เฮอะ
ข้าไม่เถียงท่านแล้ว ข้าไปดีกว่า อ้อ! ถ้าพรุ่งนี้ข้ามาหาแล้วเห็นว่าท่านยังไม่อาบน้ำโกนหนวดโกนเครานะ
ถ้าจะเอาเหล้าของท่านไปเททิ้งให้หมด”
“ไปได้แล้ว” เกวลไล่ เขาชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าใครกันแน่ที่เป็นอาจารย์ ใครเป็นลูกศิษย์
ก็ดูนางสิไม่มีเกรงเขาบ้างเลย
เฟยาไม่ได้ตรงออกจากป่าในทันที
นางลัดเลาะพุ่มไม้ไปยังสระน้ำ ที่นางถือสิทธิ์เอาเองว่ามันคือของนาง ข้าง ๆ
สระน้ำมีถังไม้สูงเลยหัวเข่าเล็กน้อย ยาวเท่าลำตัวของนางวางตั้งอยู่
ทันใดนั้นน้ำในสระค่อย ๆ พวยพุ่งขึ้นเป็นสายเล็ก
ๆ แล้วพากันไหลลงสู่อ่างไม้จนน้ำปริ่มขอบอ่าง แม้ว่าป่าแถบนี้จะมีแต่ต้นไม้สูงรกครึ้ม
แต่บริเวณรอบ ๆ สระน้ำนี้เท่านั้นที่แสงแดด และแสงจันทร์จะสามารถส่องลงมาได้เพราะไม่มีต้นไม้คอยบดบัง
เฟยามองเงาของพระจันทร์เสี้ยวที่ปรากฏอยู่บนผิวน้ำในอ่างไม้อย่างพึงพอใจ
นางมักจะมาอาบน้ำที่นี่เป็นประจำ เพราะนอกจากกลิ่นหอมของต้นไม้นานาพันธุ์แล้ว
การได้ชมจันทร์ระหว่างแช่ตัวในน้ำเป็นสิ่งที่นางหลงใหลยิ่ง
เฟยาจุ่มมือลงในอ่างน้ำ
แล้วกวนน้ำอยู่
2-3 รอบ จากน้ำเย็นสดชื่นได้กลายมาเป็นน้ำอุ่นที่มีไอน้ำลอยคลุ้ง
นางค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าทีละชิ้น ทีละชิ้น แล้วแขวนไว้บนกิ่งไม้เตี้ย ๆ ข้างอ่างน้ำก่อนจะลงไปแช่ตัวในน้ำอุ่น
“ฮ้า...สบายตัวจังเลย” วันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวัน
แต่การได้แช่น้ำอุ่นและชมแสงจันทร์ก็นับว่าคุ้มค่า และทำให้ความเหนื่อยล้าของนางหายเป็นปลิดทิ้ง
นิ้วเรียวยาวค่อย ๆ
วักน้ำแล้วล้างคราบสกปรกออกจากตัว และใบหน้า
เส้นผมที่เคยปรกหน้าถูกมือเปียกน้ำลูบขึ้นให้อยู่บนศีรษะ เผยให้เห็นดวงหน้าคมที่มีเสน่ห์เย้ายวน
ใบหน้าสวยคมของเฟยาต่างจากใบหน้าสวยหวานของเฟเรียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากไม่ยืนเทียบกันผู้คนก็แทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีเดียวว่าใครเป็นใคร
เฟยาจึงพยายามทำให้ตนเองดูแตกต่างจากเฟเรียมากที่สุด
นางหาเสื้อผ้าสีเข้มมาสวมใส่ขณะที่เฟเรียมักสวมเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใจ
นางไม่มีเครื่องประดับติดกายสักชิ้น ในขณะที่เฟเรียต้องสวมสร้อยหรือใส่ต่างหูทุกครั้ง
ผมเผ้าของนางมักจะรุงรังไม่เรียบร้อยจนถูกท่านแม่ต่อว่าเอาบ่อย ๆ
ในขณะที่เส้นผมของเฟเรียจะดูสวยงามทุกวัน
เฟยาไม่ยี่หระหากใครจะเปรียบเทียบนางกับเฟเรีย
และมองนางอย่างดูแคลนในสภาพที่ดูรุ่มร่ามและไม่สวยงามอย่างหญิงสาวทั่วไป
ขอเพียงแค่ไม่มีใครจำนางสับสนกับเฟเรียได้ก็เพียงพอแล้ว
แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า...ด้านหลังของนางกับเฟเรียยังทำให้ผู้คนทักผิดอยู่บ่อย
ๆ แม้ว่าสีของผมจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่มันก็ใกล้เคียงกัน หากไม่ได้มายืนคู่กันก็ทำให้ทักผิดทักถูกอยู่เสมอ
หรือนางจะหาทางเปลี่ยนสีผมของนางดี
คงไม่...นางชอบสีผมของนางมาก
มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม ในเวลากลางมันจะดูเหมือนสีดำ หากเมื่อต้องแสงแดดมันจะเห็นเป็นสีน้ำตาลอ่อน
“หรือข้าจะตัดผมให้สั้นดี” ความคิดนี้เป็นต้องหายไปในเวลาอันสั้น
เพราะนางชอบเวลาที่เส้นผมคลอเคลียไหล่และแผ่นหลังมากกว่า “เฮ้อ ช่างเถอะ
ก็แค่ด้านหลังเอง”
เฟยาแช่น้ำอย่างเพลิดเพลิน
จนผิวขาวเนียนเริ่มเหี่ยวย่นเพราะแช่น้ำนานเกินไปนางจึงขึ้นจากน้ำ ทันใดน้ำในอ่างไม้ก็ไหลออกจนหมด
ในขณะที่นางใส่เสื้อผ้าจนเสร็จ
นางย่ำเท้าไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ร่วง
ท่ามกลางความมืดมิดของราตรี แต่นางก็ยังคงก้าวต่อไปอย่างคล่องแคล่ว ...จนถึงต้นไม้ใหญ่
ดวงไฟเล็ก ๆ
นับสิบดวงขนาดเท่ากำปั้นที่เฟยาสร้างขึ้นมา ส่องแสงสว่างนวลรอบ ๆ ต้นไม้
ตั้งแต่โคนต้นจนถึงปลายยอด เฟยาค่อย ๆ ลอยตัวสูงขึ้นจนถึงกิ่งไม้ใหญ่ที่หนาและแข็งแรง
นางนั่งหย่อนขาแล้วปล่อยใจให้ลอยไปไกล
“ตอนนี้เจ้าอยู่ไหนนะคีล
เจ้ายังจำนัดของเราได้หรือไม่นะ เจ้ายังจำต้นเดวาต้นนี้ได้อยู่หรือเปล่า” นางมักจะแวะมานั่งที่ต้นไม้นี้บ่อย ๆ คาดหวังไว้เสมอว่าจะได้เจอคีลที่นี่
...แม้มันจะไม่ใช่วันที่ตกลงกันไว้ก็ตาม
ผ่านมาหลายปี นางก็ยังคงได้แต่เฝ้าคอย
ไม่รู้เมื่อใดจะได้พบเขาอีก บัดนี้คีลได้กลายเป็นรายาแล้ว เป็นผู้นำดินแดนทั้งห้า ภาระหน้าที่ย่อมทำให้เขาปลีกตัวมาตามนัดไม่ได้ง่าย
ๆ ...แล้วเมื่อไรกันที่นางจะได้เจอเขา เพื่อนคนแรกและเพียงคนเดียวของนาง
“เจ้ารีบมาได้แล้วคีล หากข้ารอไม่ไหวข้าจะเป็นฝ่ายไปหาเจ้าเองนะ” หากนางรอไม่ไหวขึ้นมา นางจะเป็นฝ่ายไปหาเขาเอง ต่อให้ต้องบุกปราสาทแห่งมิดการ์ดนางก็จะทำ
แล้วถ้าหากนางจับได้ว่าเขาลืมสัญญาของเราไปแล้ว นางก็จะสั่งสอนเขาให้หลาบจำ
...ต่อให้เป็นรายานางก็ไม่สน
เฟยากลับเข้าบ้านเมื่อเวลาใกล้รุ่งสาง
(เวลานอนที่แท้จริงของนาง) นางแอบเข้าห้องทางหน้าต่างที่เปิดไว้
(ทางที่นางใช้ออกตั้งแต่เมื่อคืน) แล้วล้มตัวลงนอน
อากาศเย็นสบายในช่วงรุ่งสางทำให้นางผลอยหลับได้ในทันที
และกว่านางจะถูกปลุกให้ตื่นก็เกือบเที่ยงวันแล้ว
“เจ้าลูกคนนี้
เกียจคร้านเป็นที่หนึ่ง ต้องให้ข้าปลุกทุกวันสิน่า” เมเรียบ่นกระปอดกระแปดเมื่อต้องปลุกเฟยาทุก
ๆ วัน
ลูกสาวคนนี้นับเป็นความอับอายอย่างยิ่ง
นอกจากหน้าตาจะชอบทำตัวให้ดูสกปรกรุงรังแล้ว ยังเกียจคร้าน นอนตื่นสาย
และไม่ยอมฝึกเวทย์ วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่น ช่างต่างกับเฟเรียเสียจริง ทั้ง ๆ ที่พวกนางเป็นฝาแฝดกันแต่ทำไมถึงได้ต่างกันถึงเพียงนี้
“ขออีกนิดเดียวนะท่านแม่” น้ำเสียงงัวเงียต่อรอง นางเพิ่งนอนไปได้ไม่นานนี้เอง
ยังอยากจะพักผ่อนต่ออีกสักหน่อย
“ไม่ได้ ลุกขึ้นมาได้แล้ว
ตอนนี้แขกเหรื่อเต็มบ้าน เจ้าจะให้แม่ต้อนรับเพียงคนเดียวหรือ ข้าให้เวลาเจ้าเพียง
3 นาทีเท่านั้นเฟยา แล้วเจ้าต้องรีบลงไปช่วยแม่ต้อนรับแขก”
ทันทีที่เมเรียออกจากห้องของเฟยาไป
เฟยาก็แทบตาสว่างทันที
3 นาที?
ช่างมากมายเสียจริง
“เฮ้อ
คราวนี้ใครมาอีกล่ะเนี่ย แล้วตอนนี้เฟเรียยังไม่กลับมาอีกหรืออย่างไรนะ” แขกเหรื่อที่ท่านแม่ว่า
ก็คงหนีไม่พ้นชายหนุ่มต่างแดนที่ได้ยินกิตติศัพท์ความงาม และความเก่งกาจของเฟเรีย
บ่อยครั้งนักที่นางต้องต้อนรับขับสู้ผู้มาเยือนเหล่านั้น
มันทำให้นางเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเขาจะมีของมีค่าติดไม้ติดมือมากำนัลก็ตาม
เฟยาลุกจากที่นอนลงไปช่วยท่านแม่ต้อนรับแขกเหรื่อจากต่างแดน
คราวนี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา เป็นผู้ใช้เวทย์ที่พ่วงคำว่าร่ำรวย และพ่วงข้ารับใช้มาด้วยมากมาย
นางไม่ชอบใจชายหนุ่นผู้นี้เลย
เป็นเพียงผู้ใช้เวทย์ที่สามารถใช้เวทย์ได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น แต่กลับโอ้อวดตัวราวกับตนเองเป็นจอมเวทย์
แล้วยิ่งไอ้การใช้เวทย์มาเคลื่อนย้ายข้าวของในบ้างของนางโดยพละการ โดยอ้างว่ายังควบคุมพลังของตนเองไม่ได้นั้น
นางดูแล้วก็เห็นว่าเขาหลอกลวงชัด ๆ
ดูท่าว่าท่านแม่เองก็คงไม่ชอบใจเช่นกัน
“ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะได้พบลูกสาวของท่าน” ชายหนุ่มถามเมเรีย
“ตอนนี้ยังเป็นเวลาที่นางฝึกเวทย์อยู่
ท่านรอสักนิดเถอะ อีกไม่นานนางก็จะกลับมาแล้ว”
“ข้าเดินทางมาจากมิดการ์ด
นำของมีค่ามามอบให้แก่เฟเรีย เพราะได้ยินคำร่ำลือถึงความงามของนาง
จึงใคร่อยากพบนางสักครา เพราะต้องการประจักษ์แก่สายตาตนเองว่านางคู่ควรกับข้าหรือไม่”
คู่ควรกับเขา?
เมเรียพะอืดพะอมกับคำพูดของชายหนุ่มรุ่นลูกเต็มทน
เขาพูดมาได้อย่างไรว่าเฟเรียจะคู่ควรกับเขาหรือไม่
...นางว่าชายคนนี้ไม่มีค่าคู่ควรกับเฟเรียของนางด้วยซ้ำ ถึงจะเป็นเศรษฐีก็เถอะ
ทุกวันนี้คนที่ต้องการพบเฟเรียมีมากมายนัก เป็นถึงจอมเวทย์ระดับสูงก็มี
เศรษฐีอับดับหนึ่งก็มี แล้วนับประสาอะไรกับชายตรงหน้า
ของมีค่าที่เขานำมามอบให้เฟเรีย
นับไม่ได้กับโกดังหลังบ้านนางด้วยซ้ำ
ในนั้นมีแต่ของมีค่าที่มีคนนำมามอบให้เฟเรียทั้งนั้น หากไม่ติดว่าต้องมีมารยาท
นางคงไล่ชายคนนี้กลับไปตั้งนานแล้ว
ส่วนเฟยานางก็ทำดั่งเช่นทุกครั้งคือเงียบไว้ก่อน
เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่นางจะยุ่งด้วยได้ ชายคนนี้ไม่ใช่แขกของนาง
นางไม่มีสิทธิ์ไล่เขาไป ถึงนางจะดูออกว่าท่านแม่ของนางอยากจะไล่ชายคนนี้ออกไปเสียเต็มประดา
จวบจวนเฟเรียกลับมาถึงบ้าน
ชายหนุ่มที่นั่งคอยการกลับมาของนาง
ก็ได้ประจักษ์กับความงามที่สมกับคำร่ำลือ ไม่สิ...นางงามยิ่งกว่าคำร่ำลือเสียอีก
“ขออภัยที่ข้าไม่ได้อยู่ต้อนรับท่าน” เฟเรียพูดประโยคประจำเมื่อเห็นว่ามีคนมานั่งรอนางอยู่ในบ้าน
“ไม่เป็นไรมิได้ เพียงข้าได้เห็นใบหน้าของท่านก็นับว่าคุ้มค่ากับความเหนื่อยยากที่ต้องเดินมาทางถึงนี่
มาคราวนี้ข้าได้นำของเล็ก ๆ น้อย ๆ มามอบให้ท่านด้วย”
ชายหนุ่มยื่นหีบขนาดย่อมมาวางไว้ตรงหน้าเฟเรียแล้วเปิดฝาหีบออก
เผยให้เห็นอัญมณีมีค่าหลายหลายสีนับสิบ ๆ เม็ด มูลค่ามหาศาล
“อัญมณีพวกนี้ถือเป็นของหมั้นหมายจากข้า
ท่านได้โปรดรับไว้ด้วย หากข้ากลับไปมิดการ์ดแล้ว ข้าจะส่งของมีค่าอื่น ๆ ตามมา” คำพูดเหนือความคาดหมายจากชายหนุ่ม ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่หญิงทั้งสามที่อยู่ในห้องนั้นแม้แต่น้อย
บ่อยครั้งนักที่แขกผู้มาเยือนต้องการหมั้นหมายกับเฟเรียในทันทีที่ได้พบหน้า
“ข้าคงรับไว้ไม่ได้
ท่านได้โปรดนำกลับไปเถอะ”
เฟเรียปิดฝาหีบลงแล้วผลักมันกลับไปให้ชายหนุ่มที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อ
“ทำไมกัน
หรือว่ามันน้อยเกินไป ข้าบอกท่านแล้วว่าเมื่อข้ากลับไปมิดการ์ดจะส่งของมาให้ท่านอีก
หรือท่านต้องการสิ่งใด ท่านบอกข้ามาได้”
ชายหนุ่มยังคงดื้อดึง
“ที่ข้าไม่รับของจากท่าน
ไม่ใช่ว่ามันน้อยเกินไป แต่เพราะข้าไม่ประสงค์จะหมั้นหมายกับท่านต่างหาก”
“เหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธข้า” ชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกเฟเรียจากท่านเป็นเจ้า “ข้าเห็นว่าเจ้าคู่ควรกับข้า
แล้วเจ้าเองก็คงหาคนที่เหมาะเท่าข้าไม่ได้อีกแล้ว”
เฟเรียยังคงใจเย็น
เหตุการณ์แบบนี้นางเคยเจอมานักต่อนักแล้ว นางสามารถจัดการชายตรงหน้านี้ได้แน่
“ที่ข้าปฏิเสธท่าน
เป็นเพราะว่าข้าเจอท่านวันนี้เป็นครั้งแรก แม้แต่ชื่อท่านข้าก็ยังไม่รู้
ที่สำคัญข้าไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใด ๆ ต่อท่าน
ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยที่ไม่สามารถตอบรับท่านได้”
“แต่ว่า”
“ข้าไม่เหมาะสมกับท่านหรอก
โปรดอภัยให้ข้าด้วย ...เชิญ”
เฟเรียผายมือไปทางประตูเป็นเชิงไล่
ผู้ชายน่ารังเกียจอย่างนี้นางไม่ค่อยอยากจะเสวนา
หรือมีมารยาทด้วยสักเท่าใด
“เจ้า”
“ตอนนี้ข้าเหนื่อยจากการฝึกเวทย์มา
อยากพักผ่อน ข้าคิดว่าท่านคงเป็นคนใจกว้าง บุรุษเช่นท่านคงไม่ถือที่ข้าเสียมารยาท
และเรื่องที่ข้าปฏิเสธท่านหรอกนะ” นางส่งยิ้มให้
รอยยิ้มของเฟเรียทำให้ใบหน้างาม งดงามยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า
ชายหนุ่มที่มองไม่กระพริบตาได้หลงใหลความงามของเฟเรียมากยิ่งขึ้น จนยากที่จะถือเอาความโกรธมาเป็นอารมณ์
แม้ว่านางจะปฏิเสธเขาต่อหน้าคนของเขาเอง
“ม...ไม่
ข้าไม่ถือ เชิญเจ้าตามสบาย ข้า...ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
เฟยาถือโอกาสที่เฟเรียกำลังไล่ชายจากต่างแดน
แอบแวบออกมาจากบ้านแล้วตรงไปกระท่อมท้ายตลาดของเจ้าคนแคระ
“มาแล้วรึเฟยา”
เจ้าคนแคระทัก “วันนี้จะเอาเหมือนเดิมใช่ไหม”
“ข้าขอสามขวดเลยละกัน”
“สามเชียวรึ”
ถึงอาจารย์จะบอกนางว่าต้องการสองขวด
แต่นางก็คิดว่าจะซื้อเหล้าไปให้อาจารย์สามขวด ถือว่าเป็นการเอาใจท่าน นางว่าถ้าอาจารย์เห็นนางหิ้วเหล้าไปให้ท่านถีงสามขวด
อาจารย์ต้องอารมณ์ดีแน่ ๆ
ขณะที่เจ้าคนแคระกำลังจัดเตรียมเหล้าให้นาง
เฟยาก็เดินไปที่ผนังถ้ำด้านในสุดซึ่งมีขวดเหล้ามากมายวางอยู่บนชั้นเรียงรายจนเต็มผนัง
นางเอื้อมไปหยิบขวดเหล้ากระเบื้องเคลือบสีดำออกมาหนึ่งขวด แล้วเปิดฝาออกสูดดมกลิ่นหอมของเหล้าที่อยู่ภายใน
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่าในฤดูใบไม้ผลิ
นางถือขวดเหล้าสีดำแล้วส่งให้เจ้าคนแคระ
นำไปสมทบกับขวดเหล้าสีขาวของอาจารย์ทั้งสามขวด
“ก่อนไปเจ้ามาช่วยชิมเหล้าให้ข้าหน่อยสิเฟยา
ข้าเพิ่งหมักเสร็จไม่กี่วันนี้เอง”
“ได้สิ”
เจ้าคนแคระเดินไปทางโรงหมักเหล้าของตนแล้วเดินกลับมาพร้อมกับเหล้าหนึ่งขวดที่ไม่ได้ปิดฝา
เขายื่นมันให้นาง
“เหล้าใหม่หรือ”
นางสูดดมกลิ่นของมันก่อน กลิ่นหอมสดชื่นเหมือนต้นไม้ยามได้รับน้ำฝน
ทำให้นึกถึงทุ่งหญ้ากว้างเขียวขจี กลิ่นดิน และกลิ่นฝน
“ข้าเพิ่งจะลองหมักสูตรใหม่ดู”
เฟยาค่อยชิมเหล้าทีละน้อย ค่อย ๆ
ซึมซาบรสชาติ หลังจากนั้นก็ดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่
“มันแปลกดีนะ
แต่ข้าชอบ” เหล้าที่มีกลิ่นของทุ่งหญ้า
ทว่ารสชาติกลับหวานอมเปรี้ยวและมีรสขมอยู่นิด ๆ
“อย่างนั้นก็แสดงว่าใช้ได้”
เขามักจะให้เฟยาเป็นคนชิมเหล้าสูตรใหม่ก่อนเอามาขายเสมอ
เพราะเมื่อใดที่นางได้ดื่มเหล้า แล้วบอกว่ารสชาติดี เหล้านั้นมักจะขายได้เสมอ “อ๊ะ
ๆ นั่นเจ้าทำอะไรน่ะเฟยา”
เจ้าคนแคระเห็นเฟยาดื่มเหล้าที่เขาเอามาให้หมดขวดก็ตกใจ
“ทำไมเหรอ
เอิ๊ก!” เอ๋ นางสะอึกหรือนี่ “เหล้าของเจ้าแรงชะมัดเลย”
เพียงขวดเดียวก็ทำให้นางเมามายได้แล้ว
“ข้าก็ลืมบอกเจ้าไป
เอาเถอะ ๆ เจ้ากลับไปแล้วได้ เหล้าสี่ขวดข้าไม่คิดเงินแล้วกัน
ถือว่าเป็นค่าที่เจ้าช่วยชิมเหล้าให้ข้า”
หนอย...พอหมดธุระก็ไล่นางกลับทันที
แล้วนางจะกลับบ้านได้อย่างไรกันล่ะตอนนี้ ขืนเมากลับไปอย่างนี้
ท่านแม่ได้ไล่ตีนางน่ะสิ ทางที่ดีนางคงต้องไปหาอาจารย์ตั้งแต่ยังไม่มืดเสียแล้ว
“เอิ๊ก!”
เฟยาสะอึกไม่หยุด
“ยังยืนอยู่นี่อีก
กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นเขาเห็นว่าเจ้าอยู่นี่หรอก”
“รู้แล้ว
จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ทำไมนางต้องทำตัวหลบ ๆ ซ่อน ๆ
แบบนี้ด้วยนะ จะเข้าป่าต้องห้ามก็ต้องรอมืด จะมาซื้อเหล้าให้อาจารย์ก็กลัวคนเห็น
ยิ่งคราวนี้หิ้วมาตั้งสี่ขวด ใครมาเห็นเข้าคงได้หาว่านางขี้เหล้าแน่
ปึ้ก!!!
“โอ๊ย”
เฟยากระโดดเหยง ๆ ไม่รู้ว่าเดินไปเตะโดนอะไรเข้า
แต่กระโดดได้ไม่กี่ครั้งนางก็มีอันต้องเซล้มกองกับพื้น
“หะ...ก้อนหิน”
นี่นางเมาขนาดนี้เชียวหรือนี่ ก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้นทางเดินระหว่างกระท่อมของเจ้าคนแคระกับด้านหลังตลาด
ทั้ง ๆ ที่นางเองก็เห็นอยู่เป็นประจำแต่วันนี้นางกลับเดินแล้วเตะโดนมันเชียวหรือนี่
“ไม่น่าเลย
รู้ทั้งรู้ว่า เอิ๊ก! เหล้าของเจ้าคนแคระน่ะแรงขนาดไหน
ยังเผลอดื่มเสียหมดขวด”
เฟยาสำรวจขวดเหล้าทั้งสี่ว่าไม่มีขวดไหนแตก ก็เบาใจแล้วนั่งลงข้าง ๆ ก้อนหินเจ้าปัญหาก้อนนั้นเพื่อรอให้สร่างเมาเสียก่อน
“เจ้าหายไปไหนมาเฟยา”
เมเรียทำเสียงดุใส่ลูกสาวจนเฟยาสะดุ้งเฮือก
“ท
ท่านแม่”
ภาวนาขออย่าให้ท่านแม่ให้กลิ่นเหล้าที่นางดื่มไปเลยนะ
หลังจากนางสร่างเมาแล้ว
เฟยาก็ตัดสินใจกลับบ้านก่อนแทนที่จะเข้าไปหาอาจารย์ที่ป่าต้องห้ามตามความคิดเดิม
นางเห็นว่าอีกไม่นานก็เย็นแล้ว รอให้มืดเสียก่อนค่อยไปหาอาจารย์ดีกว่า
เมื่อกลับถึงบ้านนางก็รีบเอาขวดเหล้าทั้งสี่ไปซ่อนไว้ที่พุ่มไม้นอกบ้าน
ตรงกำแพงบ้านฟากเดียวกับห้องนอนของนาง เสร็จแล้วก็เดินวกเข้าหน้าบ้าน
“มีงานตั้งมากมายรอให้เจ้าทำ
แต่เจ้ากลับหนีไปเที่ยวเล่นอีกแล้วหรือ”
“...”
มีงานให้นางทำอีกแล้วหรือนี่!
“เจ้ารีบไปตักน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ
ทำให้เสร็จก่อนมืดล่ะ”
“แต่ว่าท่านแม่
ตอนนี้ข้าหิวมากเลย ขอข้าทานอะไรก่อนได้ไหม เสร็จแล้วข้าจะรีบไปตักน้ำทันที”
“ไม่ได้”
เมเรียตวาดใส่ลูกสาว “เป็นการลงโทษเจ้าที่เอาแต่หนีเที่ยวไม่ยอมทำงาน”
เฟยาคอตกหิ้วถังน้ำเดินตรงไปที่บ่อน้ำข้างบ้านซึ่งขุดไว้ใช้
นางค่อย ๆ ตักน้ำจากบ่อใส่ถังที่หิ้วมา
หลังจากนั้นก็หิ้วถังน้ำไปเทใส่ถังไม้ใบใหญ่
ทำอย่างนี้อยู่สิบกว่าเที่ยวเพราะนางต้องเติมน้ำให้เต็มถังไม้
ซึ่งมีอยู่ตั้งห้าถังใหญ่
ท่านแม่นะท่านแม่ ให้นางทานอะไรรองท้องก่อนก็ไม่ได้
นางโดนปลุกตั้งแต่เช้าให้มาต้อนรับแขก หลังจากนั้นนางก็ไปที่กระท่อมหลังตลาดเพื่อไปเอาเหล้าให้อาจารย์
กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบเย็น วันทั้งวันนางไม่ได้ทานอะไรเลย
นอกจากเหล้าไปขวดเดียว ตอนนี้นางทั้งหิวทั้งหมดแรงจะแย่อยู่แล้ว
จะใช้เวทย์แทนการตักน้ำก็กลัวใครจะมาเห็น และหากมีใครรู้ว่านางใช้เวทย์ได้
ไม่พ้นนางต้องถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเฟเรียแน่ ๆ ...รับรอง
และที่สำคัญถ้าเกิดเฟเรียไปใช้เวทย์แล้วเผลอทำให้คนอื่นเดือดร้อนเหมือนคราวเหตุไฟไหม้เมื่อหลายปีก่อน
นางคงไม่พ้นเป็นผู้กระทำผิดอีก ทำให้นางไม่ค่อยใช้เวทย์เมื่ออยู่นอกป่าต้องห้าม
แต่เมื่อใดที่ใช้เวทย์นางก็จะไม่ให้ใครเห็น หรือรู้เป็นอันขาด
ปล่อยให้ใครต่อใครคิดว่านางเป็นคนไม่เอาไหน
ยังดีกว่าจำนางผิดคิดว่านางคือเฟเรียเสียอีก
“เฟยา
เจ้าตักน้ำเสร็จหรือยัง ให้ข้าช่วยไหม” เฟเรียออกมาช่วยเฟยาเมื่อรู้ว่าท่านแม่ใช้เฟยาตักน้ำใส่ถัง
“เจ้าน่าจะมาเร็วกว่านี้นะเฟเรีย
ข้าตักน้ำใส่ถังเสร็จหมดแล้ว แล้วตอนนี้ข้าก็หิวมากด้วย ท่านแม่ตั้งโต๊ะรึยังล่ะ”
“ตั้งแล้ว
ตอนนี้ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่ รีบเข้าไปเถอะ ขืนช้าเดี๋ยวก็โดนท่านแม่ว่าเอาอีกหรอก”
“นั่นสิ”
บนโต๊ะอาหารเฟยาเอาแต่นั่งกินลูกเดียวไม่สนใจอะไรทั้งนั้นให้สมกับที่ไม่ได้ทานอะไรทั้งวัน
แม้ว่าบนโต๊ะจะมีการสนทนาภายในครอบครัว แต่นางก็ไม่สนใจ ถึงไม่ฟังนางก็รู้ว่าใครจะพูดอะไรบ้าง
ท่านพ่อจะพูดกับเฟเรียเสียเป็นส่วนใหญ่
ท่านมักจะถามเฟเรียเรื่องฝึกเวทย์และเรื่องของท่านผู้เฒ่า
และไม่ใคร่สนใจถามไถ่นางซึ่งเป็นลูกสาวอีกคน
เฟเรียก็จะตอบไปว่าแต่ละวันนางได้ฝึกอะไรไปบ้าง
ท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นอาจารย์ของนางได้สอนอะไรบ้าง
ส่วนท่านแม่
...ถ้าวันไหนมีแขกมาหาเฟเรีย ท่านแม่ก็จะรายงานให้ท่านพ่อฟังว่าผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างไร
คู่ควรกับเฟเรียหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ท่านแม่ก็มักจะพูดว่า ‘ไม่คู่ควรกับเฟเรียเลยสักนิด’
นางคิดว่าในสายตาของท่านพ่อและท่านแม่คงไม่มีใครคู่ควรกับเฟเรียทั้งนั้น
“เฟยาเจ้าอย่าเอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน
ๆ สิ อยู่ช่วยแม่ของเจ้าทำงานเสียบ้าง”
“ค่ะ”
สงสัยท่านแม่ต้องฟ้องท่านพ่ออีกแน่เลยว่านางหนีเที่ยว
แต่นางก็ช่วยงานท่านแม่ทุกครั้งนี่ ดูอย่างวันนี้สิ ฟ้าจะมืดอยู่แล้วนางยังต้องไปตักน้ำใส่ถังอยู่เลย
เฟยาขอตัวขึ้นห้องก่อน
นางล้มตัวลงนอนพักผ่อนรอเวลาที่ทุกคนหลับแล้วค่อยออกไปหาอาจารย์
วันนี้นางรู้สึกล้าไปหมด อยากนอนเต็มแก่แล้ว แต่วันนี้นางต้องออกไปหาอาจารย์
ถ้านางไม่ไปอาจารย์คงเหงาแย่
“หรือว่าวันนี้ไม่ไปดี”
ก็นางเหนื่อยเต็มทนแล้วนี่นา
แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าของอาจารย์ที่เกลี้ยงเกลาปราศจากหนวดเครารก
ๆ นั่น นางก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
นางไม่ได้เห็นใบหน้าอันอ่อนวัยของอาจารย์มานานแล้ว ถ้าวันนี้ไม่ได้เห็นคงเสียดายแย่
เมื่อทุกคนในบ้านหลับกันหมด
ก็เป็นเวลาที่เฟยาจะต้องออกจากบ้าน นางออกทางหน้าต่างห้องนอนของตนเองดังเฉกเช่นทุกครั้ง
โดยไม่ลืมหิ้วขวดเหล้าของอาจารย์ไปด้วย
“อาจ๊าน”
เฟยาเรียกหาอาจารย์ของตนมาแต่ไกล
นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอาจารย์ “โอ้ว!
อาจารย์ ท่านช่างอ่อนเยาว์นัก” ใบหน้าที่แท้จริงของอาจารย์ที่นางไม่ได้เห็นมานาน
แต่ไม่ว่าจะมองเมื่อไร ก็ดูอ่อนวัยอยู่เสมอ ไม่เสียเที่ยวที่นางหิ้วเหล้ามาให้
“เจ้าอย่ามาแซวข้าหน่อยเลย
ไหนล่ะเหล้าของข้า สองขวดนะไม่ใช่ขวดเดียว”
“ข้ารู้ว่าท่านสั่งข้าไว้สองขวด
แต่วันนี้ข้าเอามาให้ท่านสามขวดเชียวนะอาจารย์ ดูสิข้าเป็นลูกศิษย์ที่น่ารักไหมล่ะ”
เฟยายื่นขวดเหล้ากระเบื้องสีขาวให้เกวลสองขวด
ส่วนอีกขวดหนึ่งนางบอกเขาว่าจะเอาไปเก็บในถ้ำให้ นางเดินเข้าไปในถ้ำอย่างชำนาญ
เพราะในถ้ำมีแสงสว่างจากบ่อน้ำเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างใน ทำให้นางมองเห็นภายในถ้ำได้อย่างชัดเจน
เฟยาวางขวดเหล้าไว้ริมผนังถ้ำ แล้วออกมานั่งสนทนากับเกวลข้างนอกถ้ำ
“ข้าสงสัยจริง ๆ
นะอาจารย์ว่าท่านอายุเท่าไหร่แล้ว
ใบหน้าท่านยังดูเยาว์วัยดังเช่นวันแรกที่ข้าเจอท่านไม่ผิด ท่านดูไม่แก่ลงเลยสักนิด
เหมือนกับท่านผู้เฒ่า เพียงแต่ท่านผู้เฒ่ามีผมสีขาวดั่งคนแก่เท่านั้น ส่วนท่าน...ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงอายุของท่านได้เลย”
เกวลมองศิษย์รักแล้วจิบสุราก่อนจะแถลงไขความอยากรู้ของนาง
“อายุของข้า ข้าก็เลือน ๆ
ไปแล้วเหมือนกันว่าตนอายุเท่าไร ส่วนใบหน้าที่ยังคงความหนุ่มไม่แก่เช่นนี้
ก็เป็นเพราะอำนาจเวทย์ ผู้ใดที่มีอำนาจเวทย์แก่กล้าพอ คนผู้นั้นจะไม่แก่ไปตามอายุ
และมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนทั่วไปเสียอีก”
“ถ้าเช่นนั้น
ก็แสดงว่าอาจารย์เก่งกว่าท่านพ่อข้าจริง ๆ น่ะสิ”
“เจ้าเพิ่งรู้รึ”
เกวลถอนหายใจกับความคิดของลูกศิษย์ตัวดี
ที่ชอบเอาเขาไปเปรียบเทียบกับพ่อของตนอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่พ่อของนางไม่สามารถเทียบกับเขาได้เลย
“แล้วท่านก็เก่งกว่าท่านผู้เฒ่าด้วยน่ะสิ”
“ผู้ปกครองอีสการ์ดย่อมต้องเก่งกล้าเป็นธรรมดา
แต่ข้าก็เก่งกว่าเขาอยู่ดี”
ได้ทีอดีตมหาจอมเวทย์ก็โอ้อวดความเก่งกาจของตนต่อหน้าลูกศิษย์
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้ที่อาจารย์จะอายุมากกว่าท่านผู้เฒ่าน่ะสิ
ข้าเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่าท่านผู้เฒ่ามีอายุร้อยกว่าปีแล้ว
อย่างนั้นก็แสดงว่าอาจารย์...” พูดยังไม่ทันจบ
กบาลของเฟยาก็ได้รับรางวัลเป็นมะเหงกแรง ๆ เสียทีหนึ่ง
“ท่านเขกหัวข้าทำไมล่ะอาจารย์ ข้าเจ็บนะ”
“ก็ข้าอยากเขก ใครจะทำไม”
“ใจร้าย” นางพูดเสียงอ่อย
มือลูบหัวตรงจุดที่โดนเขก แต่ถึงนางจะเจ็บแต่ก็ไม่โกรธอาจารย์เลยสักนิด เพราะนางรู้ว่าอาจารย์ไม่ได้ลงโทษนางจริงจัง
แค่หยอกเล่นแรง ๆ ก็เท่านั้น และคนที่ทำกับนางอย่างนี้มีเพียงอาจารย์คนเดียว
ท่านพ่อท่านแม่ไม่เคยจะหยอกนางเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเบาหรือแรง
คนที่นางสนิทด้วยที่สุดตอนนี้ก็มีเพียงอาจารย์เท่านั้น
ท่านเป็นทั้งอาจารย์และครอบครัวของนางเลยทีเดียว
และนางก็รู้ว่าคนที่รักนางที่สุดก็คืออาจารย์
ท่านรักนางยิ่งกว่าคนในครอบครัวจริง
ๆ ของนางเสียอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น