หน้าเว็บ

บทที่ 13 : ตัวตายตัวแทน

                เฟยาออกจากป่าต้องห้ามเมื่อเวลาล่วงไปถึง 3 วัน นางกลับไปถึงบ้านด้วยสภาพอิดโรย เสื้อผ้าเต็มไปด้วยเศษใบไม้และเศษดิน บางจุดก็เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดที่นางกระอักออกมา ผมเผ้าปรกหน้าปรกตา สภาพสกปรกจนดูแทบไม่ได้
แต่มันก็อาจเทียบได้กับหัวใจอันบอบช้ำของนางตอนนี้
                เบื้องหน้ามองผ่านกระจก... ในบ้านมีหญิงสาวผู้มีหน้าตาพิมพ์เดียวกับนาง กับชายที่นางมอบดวงใจให้ สายตาแห่งความรักใคร่ของคนทั้งคู่ทำให้นางแทบอยากจะหยุดหายใจ
                ทั้งที่นางทำใจมานาน นานจนหัวใจแทบจะด้านชา แต่นางก็ยังเจ็บ สิ่งที่นางรัก สิ่งที่คิดว่าเป็นของนาง กลับกลายต้องมาเป็นของเฟเรียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ ทั้งที่นางเลิกคิดที่จะยึดติดต่อสิ่งใดเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้เสียใจ แต่สุดท้ายมันกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ นางยังคงต้องเจ็บปวดไม่ต่างจากที่ผ่านมา
                แต่จะโทษใครได้ ...นอกจากเขา ชายผู้ที่เชื่อมั่นว่าจะรักนางเพียงคนเดียว แต่เขากลับจำนางไม่ได้ และคิดว่านางคือ...เฟเรีย
                หรือนางควรจะโทษโชคชะตา แต่ไม่ว่าโทษใครหรืออะไร สุดท้ายคนที่ต้องเสียใจก็คือนาง ...เป็นนางทุกที
                “เฟยา”
                แรงกระชากฉุดจากด้านหลังจนเฟยาเซถอย ใบหน้างามของผู้เป็นแม่ที่มองยังบุตรสาวไม่ได้เรื่องมีแต่ความเครียดขึง
                “เจ้าหายไปไหนมาเสียหลายวันไม่ยอมกลับบ้าน เจ้าออกไปเที่ยวเตร่ที่ไหนมา แล้วดูสภาพของเจ้าสิ ทำไปถึงได้สกปรกมอมแมมขนาดนี้” สภาพของเฟยาบวกกับนางได้หายหน้าไม่ยอมกลับบ้านข้ามวันข้ามคืน ทำให้อารมณ์ที่คุกกรุ่นมาหลายวันระเบิดใส่นางในทันที
                เมเรียคว้าไม้ที่อยู่ใกล้มือที่สุด แล้วฟาดใส่เฟยาไม่ยั้ง ไม่อนาทรต่อเสียงร้องของบุตรสาวเลยสักนิด
                “ข้าเจ็บนะท่านแม่” เฟยาพยายามเดินหนีไปรอบ ๆ ด้วยเรี่ยวแรงที่มี น้ำเสียงแหบแห้งไม่ทำให้ผู้เป็นแม่สนใจใคร่จะฟัง นางยังคงฟาดไม้ใส่ขาของเฟยา จนขาสองข้างของเฟยาเต็มไปด้วยรอยแดง
                “หยุดนะท่านแม่ พอแล้วข้าเจ็บ”  เฟยายังคงเดินหนีวนไปรอบ ๆ
                “อย่าหนีนะเฟยา ข้าบอกให้หยุด” เมเรียเสียงดังสั่งให้เฟยาหยุดเดินหนี เสียงของนางทำให้เฟเรียและคีลที่อยู่ในบ้านต้องออกมาดูเหตุการณ์
                เฟยาทนให้เมเรียตีตนต่อไปไม่ไหว นางเลิกหนีแล้วคว้าไม้จากมือของเมเรียอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหักมันกับเข่าเป็น 2 ท่อน
                เมเรียที่ถูกแย่งไม้ไปอย่างง่ายดาย ยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิม คิดจะทำโทษบุตรสาวที่แสนจะไม่ได้เรื่องให้สาสม แต่เฟยากลับดื้อกับนางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
                เฟยามองมารดาผู้ให้กำเนิดด้วยความน้อยใจ แทนที่ท่านแม่จะถามไถ่นางด้วยความห่วงใย แต่ท่านกลับเอาแต่กล่าวโทษและลงโทษนาง ...เฟยายืนหอบหนัก นางเหนื่อยเกินกว่าจะคิดสิ่งใดต่อไปได้อีก นางเดินผ่านเมเรียเพื่อจะเข้าไปในบ้าน ไม่สนใจเสียงตะคอกที่ไล่หลังมา แต่แทนที่จะได้รีบกลับไปพักผ่อนในห้องของตน นางกลับต้องเจอเฟเรียและคีลที่ยืนขวางประตูไว้
                ทั้งสองรีบออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงของเมเรีย แล้วก็ได้เห็นภาพที่เฟยาแย่งไม้จากมือเมเรียแล้วหักมันด้วยเข่าต่อหน้าต่อตาผู้เป็นแม่
                แต่เมื่อได้เห็นสภาพของเฟยาชัด ๆ เฟเรียก็รีบปรี่เข้าไปถามไถ่ด้วยความห่วงใย แต่เฟยากลับเฉยเมยไม่สนใจต่อความห่วงใยของเฟเรีย นางมองผ่านแฝดผู้น้องไปยังชายที่สร้างความเจ็บช้ำให้แก่นาง
                เขาไม่รู้ว่าเป็นนาง ...ไม่รู้
                “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงได้มีสภาพเช่นนี้เล่า”
                “...”
                “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า เจ้าหายไปหลายวันทำให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่” เฟเรียไม่กล้าถามว่าเฟยาหายไปไหน เพราะนางตามเฟยาข้าไปในป่าต้องห้ามและคลาดกัน หากมีใครหลุดปากเรื่องแอบเข้าป่าต้องห้าม ทั้งนางและเฟยาต้องโดนลงโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้
                “เฟยา?”
                เฟยาเอาแต่ยืนยิ่งจนเฟเรียชักใจไม่ดี แต่ก็เบาใจขึ้นเมื่อเฟยาบอกว่านางอยากพักผ่อน แล้วเดินผ่านพวกเข้าเข้าบ้านโดยไม่สนใจอะไรอีก

                คีลมองตามหญิงสาวแปลกคนที่เดินเข้าบ้าน แล้วหันไปถามเฟเรียว่าใคร
                “พี่สาวของข้าเอง ชื่อเฟยา”
                “พี่สาวของเจ้าหรือ ...หากเจ้าเก่งด้านเวทย์ พี่สาวของเจ้าคงเก่งด้านการต่อสู้” คีลเอ่ยชื่นชม ตอนที่เฟยาแย่งไม้จากมือมารดา เมื่อเทียบกับความอ่อนล้าของร่างกายที่เห็นได้ชัดแล้ว ถือได้ว่ารวดเร็วและว่องไว หากผู้ที่ไม่เป็นการต่อสู้ทำเช่นเดียวกับนาง คงจะมีการยื้อแย่งกันเกิดขึ้น
                “ท่านคงล้อเล่นแล้ว เฟยาไม่เป็นทั้งเวทย์และการต่อสู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ร่างกายของนางอ่อนแอตั้งแต่เด็ก มักจะล้มป่วยอยู่บ่อย ๆ และข้าก็ไม่เคยเห็นนางฝึกเวทย์หรือการต่อสู้ใด ๆ มาก่อน”
                คีลหันไปมองทิศที่เฟยาเดินเข้าไปอีกครั้ง สายตาเขามองไม่ผิดแน่ แต่นึกสงสัยว่าทำไมเฟเรียถึงบอกว่าเฟยาไม่เป็นกาต่อสู้ ทั้งที่เห็นการกระทำของนางอยู่ชัด ๆ

                เฟยาผลัดเปลี่ยนผ้าแล้วเก็บตัวอยู่ในห้อง นางลงกลอนห้องไม่ยอมให้ใครเข้ามากวน ไม่แม้แต่จะออกนอกห้อง ถึงแม้เฟเรียจะตามนางลงไปทานข้าว แต่เฟยาก็ไม่นึกอยากอาหารใด ๆ ทั้งสิ้น นางมีแค่ความอ่อนล้าทั้งของร่างกายและจิตใจ นางแค่อยากจะพักผ่อนสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องคีลและเฟเรีย
                มันเหนื่อย เหนื่อยที่ต้องเจอกับความผิดหวังซ้ำซาก ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรนางถึงจะชินกับมันเสียที

                เฟเรียลอบมองขึ้นไปทางห้องของเฟยาอยู่บ่อยครั้ง นางค่อนข้างเป็นกังวลเมื่อเห็นเฟยากลับมาในสภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก และเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา อยากรู้เหลือเกินว่าหลายวันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง
                “เฟเรีย” อัสคาเรียกบุตรสาวคนโปรด “อย่าไปสนใจเฟยานักเลย ตอนนี้เจ้าควรสนใจเรื่องของตัวเองดีกว่า”
“ค่ะท่านพ่อ”
เมื่อวันก่อนท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นผู้ปกครองอีสการ์ดได้มาหาอัสคาและเมเรียถึงที่บ้าน ท่านต้องการฝากเฟเรียให้เป็นศิษย์ของมหาจอมเวทย์ผู้หนึ่งซึ่งหายตัวไปนานหลายสิบปี ไม่ว่าใครตามหาก็ไม่เคยพบ จนเมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านผู้เฒ่าได้ข่าวมาว่ามหาจอมเวทย์ผู้นั้นได้ปรากฏตัวอีกครั้ง จึงมีความคิดอยากจะฝากเฟเรียให้เป็นศิษย์ เพราะเฟเรียมีพรสวรรค์ทางด้านเวทย์ หากนางได้เป็นศิษย์ของจอมเวทย์ที่เก่งกาจที่สุด นางต้องไปได้ไกลมากกว่านี้หลายเท่า
“พ่ออยากให้เจ้าเดินทางไปกับท่านผู้เฒ่า โอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีมาง่าย ๆ หากเจ้าได้เป็นศิษย์ของมหาจอมเวทย์ รับรองว่าเจ้าต้องเป็นจอมเวทย์ที่เก่งกาจและยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ที่ผ่านมา”
“แต่ว่า” เฟเรียหลุบสายตาลง ยังคงลังเลและไม่อาจตัดสินใจได้
“หรือที่เจ้ายังไม่ตัดสินใจเป็นเพราะเจ้าหนุ่มนั่น” พอคิดถึงบุรุษที่มาติดพันเฟเรีย อัสคาก็ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก และยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้นเมื่อเฟเรียก็มีทีท่าว่าชอบพอมันเหมือนกัน
ลักษณะท่าทาง การแต่งกาย ดูยังไงก็พวกกุ๊ยไม่เอาถ่านดี ๆ นี่เอง หากไม่ติดที่คำบอกเล่าของท่านผู้เฒ่า มีหรือที่เขาจะยอมให้บุรุษกระจอก ๆ เยี่ยงนั้นเข้าใกล้เฟเรียได้
 ‘ชายผู้นี้เป็นผู้มีวาสนายิ่ง หากเขาชอบพอกับเฟเรียก็ถือว่าเป็นบุญของเฟเรียแล้ว คำพูดของท่านผู้เฒ่ายังคงคาใจอัสคาไม่หาย ท่านบอกแต่เพียงเท่านี้แต่ไม่ยอมบอกว่าเจ้าหนุ่มนั่นมันเป็นใครมาจากไหน ...เพราะคำของท่านผู้เฒ่า เขาถึงถึงยอมให้มันไปมาหาสู่เฟเรียได้ทุกวัน
“ให้เวลาข้าคิดอีกวันสองวันเถิดท่านพ่อ”
“พ่อให้เวลาเจ้าถึงพรุ่งนี้เท่านั้น เวลาไม่คอยท่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็อยากเป็นศิษย์ของมหาจอมเวทย์กันทั้งนั้น ยิ่งเจ้าคิดนานเท่าใด เจ้าก็ยิ่งพลาดโอกาสเท่านั้น”
เฟเรียที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักไม่นึกอยากอยู่ห่างจากคนรักสักนิด แม้นางอยากจะฝากตัวเป็นศิษย์ของมหาจอมเวทย์ ทว่านางก็ไม่อยากจากเขาไปไหนตอนนี้
แต่ถ้าให้นางปฏิเสธที่จะเดินทางไปกับอาจารย์ ท่านพ่อก็คงไม่ยอมเหมือนกัน

รุ่งขึ้นเมื่อคีลมาหาเฟเรีย นางจึงได้บอกเขาว่านางต้องเดินทางไปหาจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่กับอาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าใด หากเมื่อนางได้ฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว ไม่รู้ว่านางจะต้องอยู่ฝึกเวทย์อีกนานเท่าใด ซึ่งนางกลัวเหลือเกินที่จะต้องอยู่ห่างเขา
“เจ้าไปเถอะเฟเรีย โอกาสอย่างนี้ไม่ได้หากันง่าย ๆ ข้าเองก็ยังอยากพบหน้าคนผู้นั้นสักครั้ง เคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ของเขาเท่านั้น”
“แต่ไม่รู้อีกนานเท่าใดกว่าเราจะได้เจอกัน ...หรือท่านไม่ได้คิดถึงข้า”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร” ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งคิดถึงเรื่องของนาง คิดเพราะเขารู้สึกว่านางแปลกไป แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกไปอย่างไร รู้สึกเหมือนไม่ใช่เดวาคนก่อน ...ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า
“ก็เราเพิ่งได้พบกันได้ไม่นาน ข้าจะแน่ใจในตัวท่านได้อย่างไร”
“หลายปีที่ผ่านมา หญิงที่ข้านึกถึงก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น ข้าพูดอย่างนี้แล้วเจ้าจะแน่ใจในตัวข้าได้หรือยัง”
ได้ยินคำของคีล เฟเรียก็อายจนหน้าแดง นี่เขากำลังบอกว่าเขารักนางมานานแล้วอย่างนั้นหรือ
“อันที่จริงข้าเองวันนี้ก็ตั้งใจจะมาลาเจ้าเช่นกัน ข้าต้องกลับมิดการ์ดในวันนี้แล้ว ...เจ้าคงไม่ลืมที่ข้าเคยบอกเจ้าใช่ไหม เขายกมือเฟเรียขึ้นมากุมไว้แล้วพูดว่า ไปอยู่กับข้าที่มิดการ์ดเถอะนะเฟเรีย ไปเป็นรานีของข้า”
เฟเรียพยักหน้ารับในทันที นางยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ว่าชายใดมาเห็นเป็นต้องหลงใหล แม้จะแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้รู้จักกัน แต่นางกลับรู้สึกต่อเขาอย่างลึกซึ้ง บุรุษผู้นี้เท่านั้นที่นางจะมอบใจให้ และนางก็ดีใจเหลือเกินที่เขาจริงจังกับนางเช่นเดียวกับที่นางรู้สึกกับเขา โดยไม่สงสัยคำว่า รานี แม้แต่น้อย คิดเพียงแค่ว่าเป็นคำเปรียบเปรยเท่านั้น
“รอข้าเถอะนะ แล้วข้าจะส่งคนมารับเจ้าไปอยู่กับข้า”
“ข้าจะรอ” เฟเรียอิงแอบกับไหล่กว้าง ทุกการกระทำเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ไม่ว่าเขาจะเป็นใครนางก็ได้มอบใจทั้งดวงให้เขาแต่เพียงผู้เดียว
คีลโอบกอดเฟเรียไว้หลวม ๆ แม้จะรู้สึกว่านางแปลกไป แต่เขาก็ไม่ได้นำพามาใส่ใจนัก เพราะหากนางไม่ใช่เดวาของเขา นางจะเป็นใครได้ และเขาก็ต้องการให้นางมาอยู่เคียงข้างเขาโดยเร็วที่สุด

เฟยายอมออกมาจากห้องเมื่อเวลาผ่านไปอีกวัน เมื่อได้พักผ่อนร่างกายของนางก็ฟื้นคืนได้หลายส่วนเพียงแต่นางยังใช้เวทย์ไม่ได้เท่านั้น ซึ่งน่าแปลกใจเหลือเกิน เพราะปกติหลังตราสะกดกำเริบ ผ่านไปแค่วันเดียวนางก็จะใช้เวทย์ได้ ทว่านี่ก็ผ่านไปมากกว่าหนึ่งวันแล้ว ถึงนางจะไม่รู้ว่ากี่วัน แต่นางก็น่าจะใช้เวทย์ได้ตามปกติแล้วสิ
เพราะขณะตราสะกดกำเริบ ร่างกายของเฟยาได้มีการฝืนใช้พลังเวทย์ออกไปทำให้หลังจากนั้นนางจะใช้เวทย์ไม่ได้ไป 3 วัน แต่ในวันพระจันทร์สีเลือด พลังเวทย์ของนางที่ใช้ออกไปนั้นมากมายจนเกินไปทำให้ร่างกายของนางได้รับความเสียหายรุนแรง ถึงจะฟื้นตัวดีแล้วแต่กว่านางจะใช้เวทย์ได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 15 วัน
เนื่องจากไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน เฟยาจึงค่อนข้างกังวลกับอำนาจเวทย์ที่หายไป
เฟยา เสียงของเฟเรียเรียกเฟยาออกจากความคิด เจ้าออกมาแล้วหรือ ข้าเป็นห่วงเจ้ามากนะ
เฟยาไม่สนใจต่อความห่วงใยของเฟรีย นางมองหาคนที่น่าจะอยู่กับเฟเรียในเวลานี้มากกว่า
เขาล่ะ เฟยาถาม
เจ้าถามถึงใครหรือเฟยา
...คีล
คีลน่ะหรือ เขากลับมิดการ์ดแล้ว เฟเรียไม่ได้สังเกตว่าเฟยารู้จักชื่อของคีล เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้เฟเรียก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แล้วยังดึงเฟยาให้มาฟังในสิ่งที่ตนอยากจะเล่าให้ฟัง ลืมความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของเฟยาไปชั่วครู่
เจ้าจำคนที่ข้าเคยบอกว่าเจอที่เซาท์การ์ด และก็เจอเขาอีกทีที่อีสการ์ดนี้ได้ไหม ...คน ๆ นั้นก็คือคีล เขาตามข้ามาจากเซาท์การ์ดจริง ๆ ด้วย นางเล่าอย่างมีความสุข พูดไปก็อมยิ้มไปตลอดเวลา แล้วเขาก็ยังบอกอีกว่าเขาชอบข้ามานานแล้ว ก่อนที่เขาจะกลับมิดการ์ดเขาก็ยังบอกอีกว่า...
เฟเรียเว้นจังหวะพูด พอนึกถึงคำพูดของเขาทีไร นางก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที
เขาอยากให้ข้าไปอยู่กับเขาที่มิดการ์ด ไปเป็นรานีของเขา ...เจ้าว่าตลกไหมเฟยา เขาบอกว่าอยากให้ข้าเป็นรานีของเขาล่ะ ช่างสรรหาคำพูดมาเปรียบเปรยเสียจริง
เฟยาแค่นหัวเราะออกมา รู้สึกสมเพชต่อโชคชะตาเสียจริง โชคชะตาของนาง โชคชะตาของเฟเรีย
ยินดีด้วยนะ ดวงตาตาฉายแววของความเสียใจ ไม่ได้ยินดีอย่างที่พูดสักนิด ก็ใครเล่าจะยินดีต่อความสูญเสียของตนเองได้
ขอบใจนะเฟยา เฟเรียมีความสุขเสียจนไม่ได้สังเกตสีหน้าของเฟยา ตอนนี้นางเพียงแค่อยากจะร่วมแบ่งปันความสุขของนางให้เฟยาได้รับรู้เท่านั้น หารู้ไม่ว่าคำพูดของนางทุกคำเสมือนยาพิษที่ทำให้ใจของเฟยาด้านชาขึ้นทุกที
ไปอยู่กับข้าที่มิดการ์ดเถอะ เป็นรานีของข้า อยู่เคียงข้างข้าตลอดไป
ทำไมนางต้องคิดถึงคำพูดของเขาด้วย

เฟเรียออกเดินทางไปเวสต์การ์ด ดินแดนแห่งทะเลทรายพร้อมท่านผู้เฒ่า หมายมั่นจะใช้เวลาในการเดินทางให้เร็วที่สุด  นางอยากจะรีบพบมหาจอมเวทย์ หลังจากนั้นก็จะรีบกลับ เพราะคีลบอกว่าจะส่งคนมารับนางไปอยู่ด้วยกันที่มิดการ์ด
ท่านผู้เฒ่าเตรียมรุคไว้สองตัว ตัวหนึ่งสำหรับตนอีกตัวหนึ่งพร้อมคนบังคับรุคสำหรับเฟเรียเพราะนางบังคับรุคไม่เป็น การเดินทางข้ามดินแดนโดยใช้รุคไม่ได้สบายเหมือนนั่งเรือ แต่ใช้ระยะเวลาสั้นกว่ากันมาก ท่านผู้เฒ่าเองก็ร้อนใจอยากเจอมหาจอมเวทย์ผู้เกรียงไกร จึงได้เลือกใช้รุคแทนการนั่งเรือ
ท่านผู้เฒ่านัดหมายคนนำทางในเวสต์การ์ดให้มารับเพื่อพาตนและเฟเรียไปยังสถานที่ที่ท่านมหาจอมเวทย์พำนักอยู่  ท่านผู้เฒ่าสวมชุดสีน้ำตาลหม่นแทนชุดสีขาวที่ใช้ประจำ ใช้ผ้าโพกศีรษะปิดหน้าตาและหนวดเคราขาวไว้เพื่อไม่ให้เป็นจุดเด่น ส่วนเฟเรียสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำเงินสดใส ใบหน้าใช้ผ้าสีเดียวกันปกปิดความงามไว้ไม่ให้เป็นที่สะดุดตา
พวกเขาเดินทางมาจนถึงสถานที่ที่จอมเวทย์ผู้นั้นพำนักอยู่ ทว่า...มาถึงแล้วคนกลับไม่อยู่ จอมเวทย์ผู้นั้นได้ออกจากสถานที่แห่งนี้ไปได้ 2 วันแล้ว ไม่มีใครบอกได้ว่าไปไหน รู้เพียงว่าเขายังไม่ออกจากเวสต์การ์ด
ท่านผู้เฒ่านึกว่าตนรีบเร่งแล้วเสียอีก ที่ไหนได้กลับช้าไปเสียนี่ ...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เมื่อมาถึงเวสต์การ์ด ก็ต้องตามคนให้เจอให้จงได้
เฟเรียค่อนข้างผิดหวังที่ไม่ได้เจอมหาจอมเวทย์ แต่ในเมื่อไม่เจอคน ใจของนางกลับต่างกับท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นอาจารย์ ใจของนางโบยบินกลับอีสการ์ด อยากกลับอีสการ์ดไปรอให้คีลมารับ
“เราคงต้องอยู่ที่เวสต์การ์ดนี่กันสักพัก ข้าจะติดต่อกับคนส่งข่าวก่อน จะได้รู้ว่าท่านมหาจอมเวทย์ไปที่ใด”
“ค่ะอาจารย์” เฟเรียค้านไม่ออก จำต้องอยู่เวสต์การ์ดสักพัก หวังว่านางจะได้กลับอีสการ์ดในเร็ววัน

ผ่านไป 1 เดือน
เฟเรียยังคงอยู่ที่เวสต์การ์ด นางส่งข่าวถึงที่บ้าน บอกว่าตอนนี้ยังคงตามหาตัวของมหาจอมเวทย์ไม่เจอ ทุกครั้งที่ไปพบจะต้องคลาดกันเสียทุกครั้ง ทำให้เสียเวลาอยู่ที่เวสต์การ์ดนานกว่าที่คาดไว้
“เฟเรียจะเป็นอย่างไรบ้างนะ” เมเรียรำพึงถึงบุตรสาวคนโปรด เฟเรียไม่เคยจากพวกตนไปไกลเป็นเวลานานขนาดนี้มาก่อน และตั้งแต่เล็กนางไม่เคยให้เฟเรียต้องลำบาก พอนางไปอยู่ไกลหูไกลตาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวว่าเฟเรียจะต้องไปตกระกำลำบาก
“อัสคา ข้าว่าเราควรไปหาเฟเรียที่เวสต์การ์ดดีหรือไม่ ข้าเป็นห่วงลูก” เมเรียหันไปถามความเห็นจากสามี
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เฟเรียไม่ได้เป็นเที่ยวเล่นนะ อีกอย่างนางไปกับท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่าย่อมต้องดูแลนางเป็นอย่างดี”
“แต่นี่มันก็ผ่านมาตั้งเดือนหนึ่งแล้วนะ ข้าคิดถึงลูกเหลือเกินอัสคา”
อัสคาเข้าไปโอบกอดภรรยา ปลอบโยนให้นางหายกังวล เขาเข้าใดดีว่าเมเรียเป็นห่วงเฟเรียขนาดไหน เขาเองก็ไม่ต่างกัน แต่ถ้าเพื่ออนาคตของเฟเรีย เขาก็อยากให้เฟเรียเจอมหาจอมเวทย์ให้จงได้ หากจอมเวทย์ผู้นั้นได้เจอเฟเรีย แน่นอนว่าต้องรับเฟเรียเป็นศิษย์ เพราะนางมีพรสวรรค์อย่างที่ใครก็หาเทียบได้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ มีคนมาหาพวกท่าน” เฟยาพรวดพราดเข้ามา พอพูดจบก็เดินขึ้นห้องของตนไป
คนที่นางว่ามาหาท่านพ่อท่านแม่นั้น แท้จริงแล้วมาหาเฟเรีย เป็นคนของคีลมาจากมิดการ์ด มารับเฟเรียไปมิดการ์ดตามคำสั่งของรายา
เฟยานั่งทำใจพยายามสงบสติของตน คำพูดชักชวนที่เขาเคยบอกว่าอยากให้นางไปอยู่เคียงข้างเขา วนเวียนอยู่หัวไม่ขาด แต่คำนั้นเขาก็ได้พูดกับเฟเรียเช่นกัน แต่คนที่เขาส่งคนมารับกลับเป็นเฟเรีย ...ไม่ใช่นาง
“ลืมมันเสียเฟยา” นางพยายามย้ำให้ตนเองลืมคำหวานที่เขาได้เคยพูดกับนางไว้ อีกทั้งความรู้สึกที่นางมีต่อเขา เพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ต้องเจ็บ
ลืมให้หมดทุกอย่าง ...การทำอย่างนี้ก็เพื่อตัวนางเอง แต่ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่หน้าอก มันรู้สึกแน่น อึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก ...ช่างทรมานเหลือเกิน

ชายรูปร่างกำยำในเครื่องแบบองครักษ์ประจำพระองค์ขององค์รายา ได้มาเยือนอีสการ์ดเพราะคำสั่งของเจ้าเหนือหัวอย่างองค์รายา ให้มารับหญิงผู้หนึ่งเข้าวัง พร้อมกับคุ้มครองดูแลความปลอดภัยของนางระหว่างการเดินทาง
“ข้ามีนามว่าซาร์ก เป็นองครักษ์ประจำองค์รายา ได้รับคำสั่งจากพระองค์ให้มารับท่านเฟเรียบุตรสาวของพวกท่านเข้าไปพำนักในปราสาทที่มิดการ์ด” องครักษ์คนสนิทขององค์รายากล่าวอย่างนอบน้อมกับสองสามีภรรยา แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม
เมื่อเห็นสองสามีภรรยามองหน้ากันเลิกลั่กเพราะรู้สึกสงสัย เขาจึงได้กล่าวต่อไปว่า
“องค์รายาได้ฝากข้ามาบอกกับพวกท่านว่า พระองค์กับท่านเฟเรียได้รู้สึกกันมาเป็นเวลานาน และชอบพอซึ่งกันและกัน พระองค์กล่าวว่าทรงได้ให้คำมั่นกับท่านเฟเรียว่าจะรับท่านเฟเรียเข้าไปอยู่เคียงข้างเป็นรานีของพระองค์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ส่งข้ามารับท่านเฟเรียเข้าวัง”
อัสคาและเมเรียนึกสงสัยว่าเฟเรียไปชอบพอกับองค์รายาเมื่อตอนไหนกัน บุรุษที่เฟเรียชอบพอที่พวกเขาเห็นก็มีเพียงชายหนุ่มท่าทางไม่เอาถ่านผู้นั้น
นึกได้ดังนั้นทั้งสองต่างก็พากันตกใจ หรือว่าบุรุษท่าทางไม่เอาถ่านผู้นั้นจะเป็นองค์รายา ...ท่านผู้เฒ่าถึงได้ห้ามพวกเขาไม่ให้ไปขัดขวางคนทั้งสอง
“ขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ไม่ทราบว่าองค์รายามีนามว่า ‘คีล’ รึเปล่า” อัสคาถามให้แน่ใจ
“นามที่ท่านเอ่ยมาถูกแล้ว แต่นามนี้เป็นนามที่มีไว้เฉพาะให้ผู้ที่พระองค์อนุญาตเท่านั้น ถึงจะเรียกขานได้”
“ขะ ขออภัย” อัสคาพูดตะกุกตะกัก ด้วยความไม่รู้ทำให้เขาล่วงเกินองค์รายาไปหลายต่อครั้ง ทั้งคำพูดและสายตาดูถูกเหยียดหยาม แต่ก็ใช่ว่าเขาจะผิดเสียทีเดียว ก็ใครใช้ให้พระองค์แต่กายเหมือนพวกกุ๊ยกันเล่า
“ไม่ทราบว่าท่านเฟเรียอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้าต้องการแจ้งประสงค์ขององค์รายาให้แก่นางด้วยตนเอง”
เมเรียหันไปมองหน้าอัสคาอย่างขอความช่วยเหลือ พวกเขาส่งเฟเรียไปเวสต์การ์ด ขณะนี้นางย่อมไม่อยู่ที่บ้านอยู่แล้ว คนไม่อยู่ถึงจะถามหาอย่างไรก็ไม่พบ แต่ตำแหน่งรานีมาลอยอยู่ตรงหน้า หากไม่รีบคว้าไว้ก็กลัวจะตกไปอยู่ในมือแก่ผู้อื่น
“ขออภัยท่านองครักษ์ ตอนนี้เฟเรียกำลังไม่สบาย เกรงว่าจะลงมาพบท่านตอนนี้ไม่ได้ คาดว่าประมาณอีกสัปดาห์หนึ่งถึงจะหายดี และพร้อมเดินทางไปกับท่าน” อัสคาปดเพื่อซื้อเวลาหาทางแก้ไข
“หากพวกท่านไม่ว่าอะไร ข้าสามารถพาแพทย์จากปราสาทมารักษาท่านเฟเรียได้ แพทย์เหล่านั้นมีวิชารักษาล้ำเลิศ ไม่ว่าโรคอะไรก็รักษาให้หายขาดได้ องค์รายาห่วงใยในตัวท่านเฟเรียยิ่ง ย่อมต้องยินดีส่งแพทย์ประจำปราสาทมาที่นี่”
“ไม่เป็นไร” เมเรียรีบค้านเพราะกลัวเรื่องราวจะบานปลายยิ่งกว่านี้ “คือว่า...นางหายป่วยแล้ว แต่ร่างกายอ่อนแอยังต้องการการพักฟื้น ที่สำคัญ...นางเป็นหญิง ย่อมต้องใช้เวลาเตรียมตัวเดินทาง ไม่เหมือนบุรุษที่คิดจะเดินทางก็สามารถทำได้ในทันที”
“ขออภัยที่ข้าลืมนึกถึงข้อนี้ ...เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะรออีก 7 วัน ...อีก 7 วันให้หลังข้าจะมารับท่านเฟเรียอีกครั้ง” กล่าวจบ องครักษ์หนุ่มก็หันกายกลับออกไป เขาต้องแจ้งข่าวแก่องค์รายาว่าต้องออกเดินทางล่าช้ากว่าที่คิด ไม่เช่นนั้นพระองค์จะร้อนใจแย่

“เราจะทำกันอย่างไรดีอัสคา” เมื่อแน่ใจว่าองครักษ์หนุ่มจากไปแล้วจริง ๆ เมเรียก็รีบหันไปหาสามี เผื่อว่าเขาจะมีทางออกไว้แล้ว “ไม่นึกเลยว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะกลายเป็นองค์รายาไปเสียได้”
“นั่นสิ” อัสคาพูดได้เพียงเท่านี้ เขาเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน เลยเผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะไม่ควรออกไปเสียมากมาย
“ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ข้าจะไม่ให้เฟเรียออกเดินทางไปพร้อมท่านผู้เฒ่าเลย”
“ไม่ได้ ยังไงเฟเรียก็ต้องได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของมหาจอมเวทย์” ได้เป็นรานีเป็นโอกาสที่หาไม่ได้ก็จริง แต่อัสคากลับต้องการให้เฟเรียเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ มากกว่า
“ท่านพูดอะไรน่ะอัสคา หรือว่าท่านไม่ต้องการให้เฟเรียเป็นรานี ...หากหลุดจากองค์รายาแล้ว ท่านคิดว่าใครจะเหมาะสมกับลูกเราอีกเล่า”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นหรอกเมเรีย ข้าแค่ต้องการให้เฟเรียเป็นจอมเวทย์ที่เก่งกาจที่สุดก็เท่านั้น ส่วนตำแหน่งรานีข้าก็คิดว่าไม่มีใครเหมาะสมเท่าเฟเรียอีกแล้วเช่นกัน” โอกาสหายากทั้งสองลอยมาอยู่ตรงหน้า ใครบ้างจะไม่คว้าไว้
“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด หากต้องการให้เฟเรียได้เป็นรานี เราก็ต้องตามนางกลับมา แล้วให้นางเลิกตามหาจอมเวทย์นั่นซะ แต่ถ้าต้องการให้นางเป็นจอมเวทย์ที่เก่งกาจที่สุด ก็ต้องปล่อยตำแหน่งรานีไปแล้วให้นางตามหาตัวจอมเวทย์ผู้นั้นต่อ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีแต่ได้อย่างเสียอย่างเท่านั้น แล้วท่านจะคว้าทั้งสองอย่างมาให้เฟเรียได้อย่างไร”
“ขอเวลาข้าคิดสักนิดเถิด”
อัสคาไม่มีความคิดจะตามตัวเฟเรียกลับมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความหวังของเขาคือให้เฟเรียเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ แต่ตำแหน่งรานี ผู้ซึ่งอยู่เหนือคนทั่วไปอยู่ใต้เพียงคนเดียวนั้นช่างยั่วยวน ไม่อาจปล่อยไปได้เหมือนกัน หากจะคว้าทั้งสองสิ่งนี้ไว้ให้เฟเรีย เขาควรจะทำเช่นไรดี

ผ่านไป 6 วัน
พรุ่งนี้องครักษ์ขององค์รายาก็จะมารับเฟเรียที่บ้านแล้ว เมเรียร้อนใจนัก อัสคาเอาแต่เก็บตัวอ่านหนังสือไม่ยอมบอกอะไรนางสักอย่าง เวลาก็กระชั้นชิดขึ้นมาทุกที พอนางบอกว่าจะตามตัวเฟเรียกลับมา เขาก็ไม่ยอม ตอนนี้นางไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรดี
“เมเรีย” อัสคาเรียกหานางในรอบหลายวัน เขายื่นขวดแก้วขนาดเล็กข้างในบรรจุของเหลวสีแดงข้นเอาไว้
“นี่คืออะไร ...แล้วมือท่านเป็นอะไร” เมเรียสังเกตเห็นมือข้างหนึ่งของสามีพันแผลไว้ลวก ๆ แถมยังมีคราบเลือดติดอยู่ “ท่านบาดเจ็บหรืออัสคา”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกเมเรีย เจ้าอย่าห่วงไปเลย ...เรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกัน” อัสคายัดขวดแก้วซึ่งบรรจุเลือดของตนใส่มือเมเรีย บอกให้นางหยดเลือดของเขาใส่ในอาหารให้เฟยากิน
“เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเฟยากินเลือดเข้าไป”
อัสคาลังเลอยู่สักพักก่อนจะบอกภรรยาของตนว่า เขาคิดจะให้เฟยาเดินทางไปมิดการ์ดแทนเฟเรีย รอจนกว่าเฟเรียจะกลับมาจากเวสต์การ์ด ค่อยพานางไปเปลี่ยนตัวกับเฟยาทีหลัง
“ท่านจะบ้าหรืออัสคา ส่งเฟยาไปแทนเฟเรีย ใคร ๆ ก็จับได้น่ะสิ พวกนางเหมือนกันซะที่ไหน” คนหนึ่งอ่อนหวานงดงาม อีกคนหนึ่งหยาบกระด้างหน้าตา... เอ่อ หน้าตาไม่แน่ชัด แล้วอย่างนี้จะส่งเฟยาไปแทนได้อย่างไร “ทำอย่างนี้แล้วท่านไม่กลัวโทษทัณฑ์หรือ แทนที่เฟเรียจะได้เป็นรานี เผลอ ๆ เราอาจจะต้องตายกันหมดทั้งครอบครัวนะ”
“ใช่ว่าข้าจะไม่คิด แต่ยังไงเราก็ต้องลองเสี่ยง หรือเจ้าไม่อยากให้เฟเรียเป็นรานี”
“ข้า...” อยากน่ะมันก็อยากอยู่ แต่วิธีการของสามีมันเสี่ยงเกินไปน่ะสิ
“เอาเถอะเมเรีย ทำตามที่ข้าบอก เจ้าก็รู้ว่าที่ข้าทำไปก็เพื่อเฟเรีย ข้าย่อมกันนางออกจากเรื่องอันตรายอยู่แล้ว” ถึงแม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้อาจต้องเสียสละบุตรสาวไปหนึ่งคน แต่เพื่อบุตรสาวอีกหนึ่งคนซึ่งเป็นความหวังของครอบครัว เขาจำต้องตัดใจ
เลือดของตนที่อัสคาให้เมเรียนำไปใส่อาหารให้เฟยานั้น เขาลงอาคมไว้แล้ว เมื่อใดที่มันเข้าไปอยู่ในร่างกายของเฟยา เขาก็จะมีอำนาจบังคับให้เฟยาทำตามคำสั่งเขาทุกประการ เสียแต่ว่าอำนาจควบคุมของเขาอยู่ได้เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น
เมเรียหยดเลือดของอัสคาลงในถ้วยซุปของเฟยา จากนั้นก็ใส่เครื่องเทศดับกลิ่นคาวลงไป เมื่อเฟยาทานซุปไปแล้วก็ถือได้ว่าครึ่งหนึ่งนางตกอยู่ในอำนาจของอัสคาผู้เป็นบิดาแล้ว
รุ่งขึ้นเมเรียปลุกเฟยาตั้งแต่เช้า จับนางให้ใส่ชุดของเฟเรีย อีกทั้งยังช่วยนางสางผมและเกล้าผมไว้อย่างงดงาม แต่พอเมเรียจะหวีเอาผมที่ปรกหน้าเฟยาขึ้นเท่านั้น นางก็รีบโวยวายทันที
“ท่านจะทำอะไรของท่านน่ะท่านแม่ จับข้าใส่ชุดของเฟเรีย ทั้งยังมาหวีผมให้ข้าอีก” คราวก่อนที่ท่านแม่ปลุกนางแล้วบังคับให้นางแต่งกายให้ เพราะคิดจะโยนนางให้อามารันส์ แล้วคราวนี้คิดจะโยนนางให้ใครอีกล่ะ
“อยู่เฉย ๆ สิ ข้ายังเกล้าผมให้เจ้าไม่เสร็จเลยนะ”
“ข้าไม่เกล้า” หัวเด็ดตีนขาดนางก็ไม่ยอม
ทันใดนั้นฝ่ามือหยาบกระด้างก็ฉวยโอกาสคว้าข้อมือของเฟยา แล้วพูดออกคำสั่งกับนาง
“กลับไปนั่งนิ่ง ๆ ให้แม่เจ้าช่วยแต่งตัวให้เรียบร้อยเสีย”
ดั่งมนต์สะกด เฟยากลับไปนั่งให้เมเรียเกล้าผมอย่างว่าง่าย ไม่มีทีท่าขัดขืนเหมือนตอนแรก
“ท่านทำอะไรกับข้า” เฟยายังคงนั่งนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับกระด้างแสดงความไม่พอใจออกมา
เหตุใดนางถึงไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของท่านพ่อได้เช่นนี้ นางไม่ได้อยากนั่งให้ท่านแม่เกล้าผมให้ แต่ร่างกายกลับทำตามคำสั่งอย่างง่าย
เมเรียสางผมให้เฟยาอีกครั้ง นางหวีผมที่ปรกหน้าเฟยาที่เคยดูรุงรังขึ้นให้พ้นใบหน้าเผยให้เห็นดวงตาเรียวคมภายใต้ดวงหน้างดงาม
“เฟเรีย!” เมเรียอุทานออกมาเมื่อได้เห็นบุตรสาวชัด ๆ ใบหน้าของเฟยาช่างเหมือนเฟเรียไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่อัสคาเองยังนึกแปลกใจ
“ที่แท้เจ้าก็มีใบหน้าเหมือนเฟเรีย” เมเรียและอัสคายิ่งอยากพึงพอใจ “ทีนี้เราก็ไม่ต้องกลัวว่าความจะแตกแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านหมายความว่าอย่างไร” เสียงของเฟยาเกรี้ยวกราดขึ้นทุกที
“วันนี้จะมีคนมารับเฟเรียเข้าวัง เจ้าต้องไปเป็นตัวแทนเฟเรีย” อัสคาเอ่ยขึ้น แต่เฟยาไม่ยอม นางค้านท่าเดียวจนอัสคาต้องต้องใช้วิธีเดิมอีกครั้ง
เขาจับที่ต้นคอของเฟยาและออกคำสั่งกับนาง
“เจ้าต้องไปมิดการ์ดแทนเฟเรีย” เฟยาปฏิเสธไม่ออก คำที่นางพูดออกมากลับกลายเป็นคำว่า ‘ตกลง’
“จากนี้ไปเจ้าชื่อเฟเรีย มิใช่เฟยา” อัสคายังคงออกคำสั่ง “เจ้าต้องไปมิดการ์ดเป็นตัวแทนของเฟเรีย จนกว่าเฟเรียจะกลับมา” อัสคาปล่อยมือออกจากลำคอของเฟยา แล้วถามนางว่า
“ทีนี้ตอบข้ามาสิว่าเจ้าชื่ออะไร”
“ข้าคือเฟเรีย” เสียงกร้าวบอกชื่อของตน นางต้องการจะพูดว่า นางคือเฟยา แต่นางกลับพูดออกมาอีกอย่าง “ท่านทำอะไรกับข้า”
“ข้าไม่ใช่เฟยา ข้าคือเฟเรีย” ไม่จริง! นางต้องการพูดว่านางไม่ใช่เฟเรีย นางคือเฟยาต่างหาก แล้วทำไม...
“ท่านช่างโหดร้ายนัก ท่านพ่อ” แววตาเต็มโทสะและคำตัดพ้อ ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยคิดจะเป็นใครอื่นนอกจากตนเอง เหตุใดพวกเขาถึงได้ทำกับนางเยี่ยงนี้
“เฟเรียกำลังจะได้เป็นรานี ข้าไม่อาจปล่อยโอกาสนี้ไปได้ ตอนนี้เฟเรียยังไม่กลับมา เจ้าจึงต้องทำหน้าที่แทนนางชั่วคราว ไว้เฟเรียกลับมาเมื่อไรข้าจะคลายอำนาจสะกดให้เจ้า”
“ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ ท่านถึงกับต้องบังคับให้ข้าเป็นตัวแทนของเฟเรียเชียวหรือ” พวกเขายังเห็นนางเป็นลูกอยู่หรือเปล่า หรือในสายตาของพวกเขามีเพียงเฟเรียเท่านั้น
นางทั้งเสียใจและปวดใจ การกระทำของพวกเขาไม่ต่างกับถีบนางลงเหว หากความแตกขึ้นมาว่านางหลอกลวงองค์รายา มีหรือที่นางจะไม่ต้องรับโทษ ...พวกเขาห่วงเพียงเฟเรีย แต่ไม่นึกห่วงนางบ้างเลย
“ถือเสียว่าทำเพื่อเฟเรียเถอะนะ” เมเรียกล่าว
“ได้” ในเมื่อพวกเขาต้องการให้นางไปเป็นตัวแทนเฟเรีย นางก็จะไป แต่อย่านึกเสียใจภายหลังแล้วกันที่คิดส่งนางเข้าวัง
เมื่อองครักษ์คนเดิมมาเยือนอีกครั้ง ก็เป็นเวลาที่เฟยาต้องออกเดินทางไปมิดการ์ด นางใช้ผ้าปิดบังใบหน้าตนไว้ครึ่งหนึ่ง โผล่ให้เห็นเพียงดวงตาคมที่มีแววลึกลับน่าค้นหาเท่านั้น
“ข้าลาล่ะท่านพ่อท่านแม่” นางพูดเสียงแข็ง ทั้งยังไม่ยอมเคารพบุพการี แต่ทั้งสองหาได้ใส่ใจไม่ ก่อนจากอัสคายังคงกำชับเฟยาไว้ว่าเมื่อได้เข้าวังไปแล้ว อย่าได้คิดอาจเอื้อมในตัวองค์รายาเป็นอันขาด เพราะผู้ที่มีสิทธิ์ในตัวองค์รายามีเพียงเฟเรียเท่านั้น
“ข้าได้ยินแล้ว” นางได้ยินแต่ไม่รับรู้ เดิมทีคนที่คีลรักก็คือนาง หากเขาเลือกนางขึ้นมาจริง ๆ มันจะแปลกอะไรล่ะ
เฟยาขึ้นรถม้าคันใหญ่ที่องครักษ์ผู้นั้นได้เตรียมมาไว้สำหรับเดินทางไปยังท่าเรือ แม้ระยะจะไม่ไกลแต่รานีในอนาคตต้องได้รับการรับรองอย่างดีที่สุด
ซาร์กขึ้นไปนั่งบนรถม้ากับเฟยา เขานั่งตรงข้ามคอยลอบมองหญิงเบื้องหน้าเป็นระยะ ชื่นชมความงามของนางอยู่ในใจแม้เผยให้เห็นใบหน้าเพียงบางส่วนเท่านั้น

แค่ดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของนางก็พอจะทำให้ใครต่อใครหลงใหลได้แล้ว ...มิน่าองค์รายาถึงได้ร้อนใจอยากนำตัวนางเข้าวังนัก

2 ความคิดเห็น: